บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 490 ถูกผีหลอก
“เธอกลับไปก่อน ฉันอยากคิดอะไรเงียบๆ” หลี่จิ้งชูเสียงสั่นเล็กน้อย เรื่องตรงหน้าพิลึกเกินไป
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น อาตมาไปล่ะ อ้อ หัวหน้า อาตมาเคยอยู่วัด เข้าใจเรื่องลี้ลับไม่น้อย ในบ้านนี้มีอยู่หลายคน…”
“พูดอะไรไร้สาระ? ออกไป!” หลี่จิ้งชูได้ยินแบบนั้นก็ตกใจสะดุ้งอย่างชัดเจน หันกลับไปมองด้วยความระแวง
ฟางเจิ้งเสริมมาประโยคหนึ่ง “อาตมาเคยได้ยินว่าตอนที่สีกาอยู่บ้านคนเดียว ถ้าไม่มีแสงสว่าง บนผนังข้างหลังสีกาจะมีใบหน้านูนออกมา เขาจะมองสีกาอยู่ตลอดเลย…”
“ออกไป! พวกเราเชื่อวัตถุนิยม จากนี้ห้ามพูดเรื่องแบบนี้อีก!” หลี่จิ้งชูโมโหจริงๆ แล้ว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์แก้วน้ำชารวมถึงสิ่งที่เคยทำ ใจเธอก็สั่นไหวนิดๆ
ฟางเจิ้งยิ้มๆ แล้วออกไป
ฟางเจิ้งออกไปแล้ว หลี่จิ้งชูรีบตามมาปิดประตูก่อนหันกลับไปจ้องผนัง เห็นไม่มีอะไร เธอถึงถอนหายใจโล่งอก แต่พอมองที่โต๊ะก็ตกใจจนทรุดลงกับพื้น! เพราะว่าบนโต๊ะมีแต่น้ำ! พื้นก ก็มีน้ำเต็มไปหมด!
“นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลี่จิ้งชูตกใจหนักมากจริงๆ เธอจำได้แม่นว่าตอนรินน้ำ น้ำไม่ล้นแล้ว ทำไมพริบตาเดียวถึงมีน้ำอยู่ทุกที่? ประหลาดเกินไปแล้ว! พิลึกเกินไป! เธอจะรู้ได ด้อย่างไรว่าที่เธอเห็นน้ำนั่นเพราะเจ้าคนไร้ความดีบางคนคลายอภินิหารออก ทำให้เธอเห็นภาพในความเป็นจริงก็เท่านั้น
ฟางเจิ้งได้ยินเสียงข้างหลังก็ฮัมเพลงเบาๆ เดินกลับห้องไป
มื้อเย็น หลี่จิ้งชูไม่ออกมาทานข้าว สวีเหยียนไปหาด้วยความแปลกใจ แต่ก็ถูกไล่ออกมา แถมยังถูกต่อว่า
หลังกินอาหารเสร็จ ฟ้ามืดลงทีละน้อย ฟางเจิ้งเดินผ่านข้างกายสวีเหยียน พูดเสียงเบาว่า “ประสกสวี อาตมาเห็นมีคนตามประสกตลอดเลย”
สวีเหยียนขมวดคิ้ว “ใคร?”
“เห็นไม่ชัด น่าจะไม่ใช่คนเป็นนะ” ฟางเจิ้งตอบ
“ฟางเจิ้ง! นายเป็นคนทะเลดาวแล้ว ไม่ใช่หลวงจีน พูดเรื่องผีสางเทวดาให้น้อยๆ ลงหน่อย” สวีเหยียนแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วจากไป
ฟางเจิ้งแสยะปากยิ้มให้แผ่นหลังสวีเหยียน ก่อนกลับห้องไป
แม้สวีเหยียนจะพูดจามีเหตุผลและเด็ดขาด แถมยังมั่นใจเต็มสิบ ทว่าเขามั่นใจเต็มสิบจริงๆ หรือ? เขาหันหลังไปมองตลอดเวลา…ไม่รู้ว่าทำไม พอฟางเจิ้งพูดแบบนั้นแล้วเขาก็รู้สึกว่ามีค คนตามหลังตนจริงๆ
สวีเหยียนเปิดประตูเตรียมเข้าห้อง ทันใดนั้นเอง เขาเห็นร่างเงาคนยืนอยู่ข้างหลังจากในกระจกบนประตู! คุ้นตานิดๆ แต่นึกไม่ออกว่าใคร สวีเหยียนหันไปมองก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
สวีเหยียนกลืนน้ำลายลงคอ มือสั่นนิดๆ หันไปมองในกระจกอีกครั้ง ในนั้นไม่มีคน แต่พอมองดีๆ เหมือนมีบางสิ่งกำลังแกว่งไกวอยู่ในนั้น เขาเข้าไปมองใกล้ๆ มองดีๆ…
บางสิ่งในนั้นพลันแนบชิดเข้ามา สวีเหยียนตกใจจนแทบจะร้องเสียงดัง ใบหน้านั้นใกล้เข้ามาแล้ว เห็นชัดเจนเลยว่าคือซ่งเข่อหลิง!
จากนั้นประตูถูกเปิดออก ซ่งเข่อหลิงมองสวีเหยียนด้วยความแปลกใจ “ผู้ดูแล คุณทำอะไร? มาทำลับๆ ล่อๆ เป็นผีตรงปากประตู…”
“อย่าพูดถึงผี” สวีเหยียนกดหน้าอกพลางถอนหายใจโล่งอกยาวๆ จากนั้นรีบเข้าห้องไป
ที่รังธุรกิจแบบขั้นพีระมิดนี้ ปกติสองทุ่มถึงอนุญาตให้เปิดไฟ แน่นอนถ้ามีคนใหม่มาจะเปิดไฟก่อนล่วงหน้าได้ ตอนนี้ฟางเจิ้งจ่ายเงินแล้วไม่ถือว่าเป็นคนใหม่ ดังนั้นจึงปิดไฟกัน จึง งทำให้ข้างนอกมองเห็นในห้องไม่ชัด แต่คนในห้องมองเห็นข้างนอกชัดเจนเล็กน้อย
ภายในห้องอึมครึม กลุ่มคนนั่งอยู่ คนที่ได้รับความเชื่อใจอย่างยิ่งแล้วกำลังใช้มือถือตอบกลับข่าวสารสมัครงานเหล่านั้น บางคนกำลังคุยเรื่องข้อมูลรับสมัครงาน ทุกคนดูยุ่งมาก
สวีเหยียนเห็นคนก็อุ่นใจ รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย เมื่อกลับมาที่เตียงตนเตรียมจะนั่งลง กลับพบว่ามีคนนั่งอยู่บนเตียงเขา นั่งกุมหัวอยู่ ไม่รู้ทำอะไร
สวีเหยียนขมวดคิ้ว พูดด้วยความโกรธว่า “นายมานั่งอะไรบนเตียงฉัน? ไม่รู้กฎรึไง หลีกไป”
ได้ยินสวีเหยียนพูด คนในห้องต่างมองเขา ซ่งเข่อหลิงตบสวีเหยียนด้วยสีหน้าตกใจ สวีเหยียนหันมามอง ซ่งเข่อหลิงถามว่า “สวีเหยียน คุณพูดกับใคร? บนเตียงคุณไม่มีใครนี่”
สวีเหยียนใจสั่น หันไปมองเตียงของตน พบว่าว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่! วินาทีนั้นเขารู้สึกเพียงว่าขนตามตัวลุกชัน! ขนลุกเป็นตุ่มๆ รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
“เธอ…เมื่อกี้ไม่เห็นว่ามีคนบนเตียงฉันเหรอ?” สวีเหยียนถามซ่งเข่อหลิงด้วยอาการตัวสั่น
ซ่งเข่อหลิงกลัวนิดๆ แล้วเหมือนกัน “คุณอย่าพูดอะไรซี้ซั้วนะ ไม่มีคนจริงๆ…คุณเห็นคนจริงๆ เหรอ?”
“คงจะหลอนไปเอง” สวีเหยียนเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก
ตอนนี้เอง ซ่งเข่อหลิงพลันหน้าเคร่ง มองสวีเหยียนด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ใช้เสียงแหบแห้งที่มีเพียงสองคนได้ยิน “อาจจะเป็นผี”
สวีเหยียนเห็นภาพนี้ก็ตกใจจนกรีดร้อง ยกเท้าถีบซ่งเข่อหลิงลงไปนอนกองกับพื้น ก่อนจะวิ่งไปเปิดไฟ!
พอเปิดไฟก็เห็นซ่งเข่อหลิงกุมท้องร้องโอดครวญ “สวีเหยียน คุณถีบฉันทำไม โอย…เจ็บชะมัด”
“แกเป็นใครกันแน่?” สวีเหยียนกรีดร้องด้วยความตื่นกลัวสุดขีด
“ซ่งเข่อหลิงไง! เจ้าโง่!” ซ่งเข่อหลิงว่า
สวีเหยียนจ้องซ่งเข่อหลิงเขม็ง จนเมื่อมั่นใจว่าเป็นซ่งเข่อหลิงจริงๆ แล้วก็ถึงกับนอนแผ่บนพื้น ปาดเหงื่อพลางพูด “เมื่อกี้เธอพูดอะไรไม่รู้ตัวเหรอ?”
“ไม่ได้พูดอะไรเลยนี่?” ซ่งเข่อหลิงมองสวีเหยียนด้วยสีหน้ามึนงง
สวีเหยียนกล่าว “พวกนายล่ะ? เมื่อกี้ได้ยินเธอพูดอะไรไหม?”
คนในห้องส่ายหน้าพร้อมกัน ประมาณว่าไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเลย
สวีเหยียนหวาดกลัวกว่าเดิม เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่ง แม้คนจะเยอะ แต่คนเหล่านี้ช่วยเขาไม่ได้! มีบางสิ่งกำลังมาหาเขา!
“สวีเหยียน คุณเป็นอะไรกันแน่?” ซ่งเข่อหลิงถามด้วยความเป็นห่วง
“อย่าถามเลย” สวีเหยียนหยิบบุหรี่ออกมาสูบมวนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ตอนนี้เองไฟพลันขยับวูบวาบ เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด…
สวีเหยียนถึงกับเส้นประสาทบีบรัดตัว ประหนึ่งว่าทั้งตัวตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีคนกำลังเป่าไอเย็นรดต้นคอเขา! มีคนกระซิบข้างหูเขาว่า ‘ยังจำฉันได้ไหม? ฉันฉีลี่หย่า!’
สวีเหยียนกระโดดขึ้นทำเสียงดังโครมคราม พลันหันกลับไปพร้อมกับร้องโวย “ข้างหลังฉันมีคน!”
สรุปบนผนังมีคนจริงๆ! ผนังนูนออกมารวมเป็นร่างคนคนหนึ่ง ลักษณะคล้ายผู้หญิง!
ทว่าสิ่งที่ทำให้สวีเหยียนเป็นบ้าคือคนอื่นๆ มองหน้ากันราวกับไม่เห็นอะไรเลย! พากันถามว่า “ผู้ดูแล คุณพูดอะไรน่ะ? ไม่เห็นมีใครเลย”
“ใช่ ผู้ดูแล ไม่มีใครนะ”
“มีคนจริงๆ…” สวีเหยียนแทบจะร้องไห้ เพราะเขาเห็นฉีลี่หย่ากำลังยิ้มให้เขา ยิ้มน่าสยดสยองมาก!
สวีเหยียนร้องด้วยความตื่นกลัว “ฉันไม่ได้ฆ่าแก แกยังไม่ตายนี่! แกเป็นตัวอะไรกันแน่…ฮือๆๆ…ฉันรู้แล้ว แกคือเจียงอัน! ใช่ไหม? แกคือเจียงอัน! ถ้าแกไม่หนีฉันคงไม่จับแก อย่ างมาก…อย่างมากก็แค่ตีแก ฉันแค่ขู่แก ไม่ได้คิดจะผลักแกตกหน้าผาจริงๆ…ถ้าแกจ่ายเงิน ฉันคงไม่ต้องตีแกทุกวัน และก็ไม่ต้องข่มขู่แกด้วย…ฮือๆ…”