บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1243: ได้ยินเสียงระฆังอีกครั้ง
ตอนที่ 1243: ได้ยินเสียงระฆังอีกครั้ง
ดวงดาราทอแสง สายลมรัตติกาลพัดโชย
ณ ข้างธารแห่งหนึ่งบนภูเขา
ซูอี้กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้หวาย
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ผดุงคุณธรรม บุญคุณนี้ ตระกูลซางของเราจะไม่มีวันลืม!”
ซางเหวินเจิ้งก้มหัวคำนับ
ใบหน้าของเจ้าตระกูลซางดูซาบซึ้งปลาบปลื้ม
กระทั่งคำเรียกซูอี้ก็ยังเปลี่ยนแปลง!
ซางชิงพิงและเหยาเสวี่ยก็รีบก้มหัวขอบคุณ
การวางตัวของสตรีทั้งสองคนก็แปรเปลี่ยน ยามเผชิญหน้ากับซูอี้ พวกนางสำรวมตนอย่างหวาดเกรงราวได้เห็นเทพอยู่ตรงหน้า!
และไม่กล้าปฏิบัติต่อเขาเป็นสหายเช่นกาลก่อน
“เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ”
ซูอี้นำไหสุราขึ้นยกดื่ม กล่าวว่า “กลับตระกูลหนนี้ จุดธูปเซ่นสุราแก่ซางเจี้ยนโหลวให้ข้าทีนะ”
ซางเหวินเจิ้งตะลึงอึ้ง กล่าวอย่างมิอยากเชื่อ “ผู้อาวุโสรู้จักกับปู่ข้าหรือ?”
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ “มันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว อย่าพูดถึงเลย”
ซางเหวินเจิ้งรู้สึกปั่นป่วนในใจ
เขาแน่ใจว่าเสิ่นมู่ผู้ดูอ่อนเยาว์ตรงหน้าเขาน่าจะมีความสัมพันธ์เหนือธรรมดากับท่านปู่ผู้ล่วงลับของเขา!
ซูอี้นำขวดหยกใบหนึ่งจากในแขนเสื้อส่งให้กับซางชิงพิง “ก่อนที่เจ้าจะเข้าสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ หล่อหลอมโอสถทิพย์เร้นปริศนาสิบจินนี้เสีย”
“ยามบรรลุสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ เจ้าจงไปยัง ‘โถงดาบธาราม่วง’ ในเขตดาราเทพยุทธ์เสีย เดิมปู่ทวดของเจ้าเคยทิ้งวิชาดาบอันภาคภูมิที่สุดวิชาหนึ่งไว้ในสำนักนี้ เจ้ามีเส้นชีพทมิฬเก้าหยิน ขอเพียงไปที่นั่น เจ้าจะได้รับมรดกวิชาดาบนี้”
“เมื่อเจ้าบรรลุวิชาดาบนี้เต็มที่ ก็ออกจากโถงดาบธาราม่วงได้”
ซูอี้กล่าวเสียงนุ่มนวล อดทนพร่ำสอนซางชิงพิงอย่างจริงจัง
“ยามแรก ปู่ทวดของเจ้าเตร็ดเตร่ไปทั่วจักรวาลพร่างดาวก็เพื่อสร้างวิถีดาบของเขาเอง ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถเปิดวิถีดาบใหม่เหมือนเช่นปู่ทวดเจ้าได้ในภายหน้า และก้าวล้ำนำเขาไป”
“หากทำเช่นนี้ ก็เพียงพอจะประโลมวิญญาณปู่ทวดของเจ้าบนสวรรค์ได้แล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็กระซิบกับตนเองในใจ ‘และข้าก็จะได้ไร้ความอาวรณ์อีก…’
ในอดีตชาติ เขารับเพียงชิงถังเป็นศิษย์ผู้เดียว
ทว่าเขาก็ยังชื่นชมในฝีมือและพื้นฐานของซางเจี้ยนโหลวจากใจ
หาไม่ มีหรือเขาจะพาซางเจี้ยนโหลวยามอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิไปหาโอสถทิพย์เร้นปริศนาในวังวายุเร้นอาสัญ?
มีหรือเขาจะสั่งสอนวิถีดาบแก่อีกฝ่ายอย่างตั้งใจ?
น่าเสียดายที่ซางเจี้ยนโหลวตายตกไปเสียก่อน
เขาตายไปใน ‘เทือกเขาหมื่นมาร’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดพื้นที่ต้องห้ามในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว
เมื่อซูอี้ได้รับรู้ข่าวร้ายนี้ เขาเคยคว้าดาบเข้าเข่นฆ่าทั่วเทือกเขาหมื่นมาร แม้ว่าสุดท้ายจะสังหารมารนับแสนได้ในอึดใจและล้างแค้นให้ซางเจี้ยนโหลวได้ แต่เขาก็ยังมิอาจช่วยชีวิตซางเจี้ยนโหลวอยู่ดี
นี่จึงกลายเป็นหนึ่งในความอาวรณ์ไม่กี่อย่างในใจเขา
ยามนี้ เมื่อได้พบกับทายาทของซางเจี้ยนโหลว เห็นว่าซางชิงพิงก็มีเส้นชีพทมิฬเก้าหยินเหมือนกับซางเจี้ยนโหลว เขาก็ย่อมเมตตานางเช่นกัน
“พิสูจน์เต๋าเป็นราชันแห่งภูมิ โถงดาบธาราม่วง วิชาดาบที่ท่านปู่ทวดภาคภูมิที่สุด ก้าวล้ำนำเขาไป…”
ซางชิงพิงตกตะลึงอยู่กับที่ หัวใจละล่องและเหม่อลอย
ผู้อาวุโสท่านนี้ร้อยเรียงเส้นทางฝึกฝนในภายหน้าให้นางแล้ว!!
ซางเหวินเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แม่หนู มัวทำอันใดอยู่ ยังไม่รีบขอบคุณอีกหรือ?”
ซางชิงพิงราวกับตื่นจากฝัน ในขณะที่นางกำลังจะขอบคุณ ซูอี้ก็โบกมือพลางกล่าวว่า “ข้าบอกแล้ว ว่าขอแค่เจ้าไม่ทำให้เส้นชีพทมิฬเก้าหยินเสียเปล่าก็พอแล้ว”
ซางชิงพิงสูดลมหายใจลึก ๆ และรับปากอย่างจริงจัง
ซูอี้กล่าวกับซางเหวินเจิ้งว่า “จากคืนนี้ไป จะไม่มีขุมกำลังใดในภูมิดารานภาม่วงเป็นภัยต่อตระกูลเจ้าได้อีก แต่ข้าก็ช่วยเจ้าได้เพียงชั่วคราว ไม่มีทางช่วยเจ้าไปชั่วชีวิตได้ หนทางข้างหน้าจะขึ้นกับเจ้าแล้ว”
ซางเหวินเจิ้งคำนับกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้น้อยซางเหวินเจิ้งรับคำสอนผู้อาวุโส!”
ยามนี้ เมิ่งฉางอวิ๋นและจวงเซียวอวิ๋นทะยานมาจากระยะไกล
“คุณชาย เรื่องราวสะสางแล้วขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นก้าวเข้ามารายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์ตามความจริง
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันไปมองจวงเซียวอวิ๋น “เจ้าตามมาทำไมอีก?”
จวงเซียวอวิ๋นชะงักและรีบคลี่ยิ้ม “ข้ามาทักทายผู้อาวุโส ก่อนจะกลับตระกูลขอรับ”
ซูอี้ว่า “งั้นเจ้าก็ไปได้แล้ว”
จวงเซียวอวิ๋น “…”
เขาหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “ก่อนจาก ขอข้าถามผู้อาวุโสสักเรื่องได้หรือไม่ขอรับ?”
ซูอี้เหลือบมองเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากรู้ตัวตนของข้า และเมื่อเจ้ากลับไปพบปู่ทวดเจ้า เขาอาจบอกคำตอบแก่เจ้าเอง”
เห็นได้ชัดว่าจวงเซียวอวิ๋นดูหงอยลงเล็กน้อย “งั้น… ก็ได้ขอรับ”
ก่อนที่เขาจะแย้มยิ้มขึ้นอีกครั้ง และกล่าวกับซางเหวินเจิ้งว่า “ข้าเข้าใจเรื่องวันนี้แล้ว หากภายหน้าข้าจวงเซียวอวิ๋นพอมีประโยชน์บ้างก็ขอให้เรียกกล่าวกัน”
กล่าวจบ เขาก็นำป้ายแขวนเอวของเขาส่งให้กับซางเหวินเจิ้งด้วยสองมือ “นี่คือเครื่องประดับประจำตระกูลข้า โปรดรับไว้ด้วย”
ซางเหวินเจิ้งพลันเกรงใจขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเผลอหันมองซูอี้
ซูอี้ยิ้มบาง ๆ “ยังต้องให้ข้าช่วยคิดหรือ? เขาให้โอกาสเจ้าแล้ว รับไว้สิ”
ซางเหวินเจิ้งจึงรับมันมา
จวงเซียวอวิ๋นเองก็โล่งใจ แย้มยิ้มคำนับประคองกำปั้น “งั้นข้าไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อนนะขอรับ!”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังจากไปทันทีราวกับกลัวจะทำให้ซูอี้ขุ่นเคือง
เมิ่งฉางอวิ๋นทอดถอนใจ “ข้าเคยคิดอยู่ว่าเจ้าเด็กนี่อวดดีโอหัง ไม่เข้าใจเรื่องในโลกหล้า ใครเล่าจะคิดว่าเขาก็เป็นคนมีไหวพริบเช่นกัน”
กระทั่งเขาเองยังตะลึงที่จวงเซียวอวิ๋นควักป้ายข้างเอวออกมามอบให้
เขาดูเหมือนจะสร้างบุญคุณกับตระกูลซาง ทว่าที่จริง มันคือการประจบนายน้อยทางอ้อมมิใช่หรือ?
ลูกไม้หนนี้งดงาม!
“ลูกหลานตระกูลยิ่งใหญ่เช่นนี้อวดเก่งโอหัง มิเคยแสดงความนอบน้อมต่อผู้ที่มีความแข็งแกร่งหรือฐานะอ่อนแอกว่าตนเอง และเมื่อพบกับผู้แข็งแกร่งที่สูงส่งกว่าก็จะเปลี่ยนท่าทีเป็นนอบน้อมเยือกเย็นทันที”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “นี่เป็นทั้งข้อได้เปรียบและปัญหาคาราคาซังของพวกเขาด้วย”
เขากล่าวพลางลุกขึ้น ก่อนจะเก็บเก้าอี้หวายไป “ถึงเวลาต้องไปแล้ว”
ซางเหวินเจิ้งรีบกล่าวรั้ง
ทว่าซูอี้กลับปฏิเสธไป
ไม่นานนัก ซูอี้ก็พาเมิ่งฉางอวิ๋นทะยานลับฟ้าไป
“ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสท่านนั้นคือใคร?”
ซางชิงพิงอดถามไม่ได้
เหยาเสวี่ยเองก็เงี่ยหูฟัง
ซางเหวินเจิ้งส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้านึกไม่ออกเลย”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวอย่างให้เกียรติ “ทว่า ข้าแน่ใจว่าผู้อาวุโสเสิ่นมู่ต้องรู้จักกับปู่ทวดของเจ้า และมีความสัมพันธ์เน้นแฟ้นเกินธรรมดา!”
เหยาเสวี่ยยิ้มเขิน “ทีแรก ข้านึกว่าผู้อาวุโสเป็นหนึ่งในผู้หมายปองชิงพิง วาจาที่ใช้เลยจาบจ้วงเอาการ ทว่าผู้อาวุโสกลับมิคิดตอบโต้ใด ๆ กับข้า เมื่อหวนคิดในยามนี้ ข้าก็รู้สึกละอายยิ่งนัก”
ซางเหวินเจิ้งลอบกล่าวว่า ตัวตนซึ่งสามารถสังหารราชันแห่งภูมิขอบเขตคืนสู่สามัญได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ไหนเลยจะมาคิดเกินเลยกับแม่นางน้อยอย่างพวกเจ้าด้วย
…
ในจักรวาลพร่างดาวอันกว้างใหญ่เยียบเย็น
เรือท้องแบนลำหนึ่งเคลื่อนผ่าน
“คุณชาย”
ระหว่างทาง เมิ่งฉางอวิ๋นผู้ขับเคลื่อนเรือท้องแบนลังเลชั่วขณะ ก่อนที่จะกล่าวเสียงเบา “ตาเฒ่าผู้น้อยคิดหวนคืนสำนักเพื่อไปอำลาญาติสนิทมิตรสหายสักหน่อยขอรับ”
วาจานั้นเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน
แรกเริ่มเดิมที สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิและยักษ์ใหญ่แห่งอื่นในจักรวาลพร่างดาวร่วมมือกันส่งกำลังคนไปถล่มภูมิดาราฟ้าดินด้วยกัน
ทว่าสุดท้ายก็ถูกกวาดล้างเกือบสิ้น
ในขณะนั้น เมิ่งฉางอวิ๋นติดตามยอดฝีมือของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิสู่ภูมิดาราฟ้าดิน และยอมสวามิภักดิ์ต่อซูอี้ในแดนหวงห้ามสิ้นเซียน
เมิ่งฉางอวิ๋นหามองตนเป็นคนทรยศไม่
เพราะเขาไม่ได้มาจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ แต่เป็นยอดฝีมือในขอบเขตราชันแห่งภูมิจากสำนักซึ่งทำงานรับใช้สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิที่ถูกเกณฑ์มาด้วย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาสวามิภักดิ์ต่อทัศนาจารย์!
สิ่งนี้ทำให้เมิ่งฉางอวิ๋นไร้ความรู้สึกผิดใด ๆ และยังรู้สึกภาคภูมิใจ และสามารถคุยโอ่ไปได้ชั่วชีวิตอีกต่างหาก!
และเมื่อหวนคืนสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว ท้ายที่สุดเมิ่งฉางอวิ๋นก็หาเหลือตัวคนเดียวไม่ เขาก็ยังมีสำนักและญาติมิตรอยู่
ดังนั้น เขาจึงอยากกลับไปกล่าวอำลาพวกเขา ก่อนจะติดตามซูอี้อย่างสบายใจ
ซูอี้คิดสักพักและกล่าวว่า “ได้สิ ข้าจะไปกับเจ้าด้วยสักเดี๋ยว”
นับแต่จากภูมิดาราฟ้าดินมาจวบจนยามนี้เพิ่งผ่านไปเพียงสองเดือน ยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะไปหอเก้าสวรรค์
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเดินทางไปยังหอเก้าสวรรค์ก็ต้องผ่านภูมิดาราหมื่นโฉลก ที่ตั้งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิซึ่งบังเอิญอยู่ระหว่างทางอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เป็นการเสียเวลามากนัก
นอกจากนั้น ซูอี้ยังจำอาไฉ่ได้
สตรีลึกลับซึ่งแปลงร่างมาจากหนอนไหมสีทอง
และซูอี้ก็ย่อมไม่ลืมว่าขุมกำลังอันดับหนึ่ง ‘สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ’ ในภูมิดาราหมื่นโฉลก เดิมเคยส่งกองกำลังมาฆ่าเขาเพื่อชิงเคล็ดเวียนวัฏสงสารในภูมิดาราฟ้าดินด้วย!
ต่อให้มองในเชิงรายละเอียด ที่หน้าต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ ผีเฒ่าแบกโลงก็เคยถูกศรคนชื่อ ‘ชิงเซียว’ จากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิทำให้บาดเจ็บมาก่อนเช่นกัน!
“ใต้เท้าอยากจะไปกับตาเฒ่าผู้น้อยด้วยหรือขอรับ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นเผยสีหน้าประหลาดใจราวกับไม่อยากจะเชื่อ
ซูอี้แย้มยิ้มกล่าวขึ้น “แค่ไปเที่ยวเล่นน่ะ แล้วก็… ว่าจะไปเยือนสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิสักหน่อยด้วย”
เขากล่าวอย่างเฉื่อยชา ทว่าหัวใจของเมิ่งฉางอวิ๋นกลับกระตุกวูบ จนสร้างแรงกระเพื่อมอย่างหวาดหวั่นร้ายแรง
ใต้เท้าทัศนาจารย์คิดไปลงมีดกับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิหรือ!?
ทว่าซูอี้ก็ต้องประหลาดใจที่แผนมิได้ดำเนินไปตามคาด
ครึ่งเดือนต่อมา
ขณะเดินทางผ่านสถานที่แห่งหนึ่งที่มีนาม ‘ธารดาราพร่างอนธการ’ บนจักรวาลพร่างดาวนั้นเอง ซูอี้พลันลุกขึ้นจากเรือท้องแบน
เขาได้ยินเสียงระฆังประหลาดดังมาจากก้นธารดาราพร่างอนธการ มันเบาหวิวเสียจนแทบไม่ได้ยิน
“ไยร้านจำนำนั่นจึงมาโผล่ที่นี่ได้?”
เขาคุ้นเคยกับเสียงระฆังนั้นมาก ไม่มีทางจำผิดไปได้แน่ มันมาจากร้านรับจำนำนั่น!
“คุณชายพบสิ่งใดหรือขอรับ?”
ม่านตาของเมิ่งฉางอวิ๋นหดตัวเล็กน้อย ก่อนถามเสียงเบา
ธารดาราพร่างอนธการ
เป็นบริเวณมืดมนปั่นป่วนอันเลื่องชื่อในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว กว้างใหญ่เยี่ยงหนึ่งภูมิดารา มารปีศาจพลุกพล่านอาละวาด โจรชั่วเหิมเกริม วุ่นวายอลหม่าน
ที่แห่งนี้ไร้ระเบียบดุจขุมนรกนองเลือด
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไปเลย กระทั่งยอดฝีมือจากขุมกำลังสูงสุดยังกลัวที่แห่งนี้ มิกล้าเข้าไปง่าย ๆ!
และเท่าที่เมิ่งฉางอวิ๋นรู้ เนิ่นนานมาแล้ว มีตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิมากมายได้ถูกฝังอยู่ในธารดาราพร่างอนธการนี้!
“เฒ่าเมิ่ง ไปทางนั้น”
ซูอี้หาได้อธิบายไม่ จากนั้นเขาก็ยกมือชี้ไปตามเสียงระฆัง
ที่แห่งนั้นอยู่ลึกเข้าไปในม่านหมอก จมอยู่ภายใต้ธารดาราพร่างอนธการ