บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1256: วิถีจุติสรวง
ตอนที่ 1256: วิถีจุติสรวง
นักซ่อนกลตะลึงเสียจนหนังศีรษะชายิบ ดวงตาแทบถลน
เป็นเพียงเงาของดาบเล่มหนึ่ง แต่กลับสะกดหยุดทั่วฟ้าดิน และทำให้ ‘ดาบปลายมนแผดเซียน’ สั่นกลัวได้?
ดาบปลายมนแผดเซียนเป็นสมบัติลับต้องห้ามชิ้นหนึ่ง!
กาลก่อน นักซ่อนกลออกค้นหาไปทั่วเมืองสวรรค์เทพมายาไม่รู้กี่ปี และในที่สุดก็มีโชคใหญ่ ขุดพบสมบัติชิ้นนี้จากใต้แท่นกลางสนามเต๋านั่น
จากการคาดเดาของเขา ดาบปลายมนแผดเซียนนี้น่าจะเป็นอาวุธเซียนโดยแท้จริง และมีอำนาจแข็งแกร่งเกินคาดเดา
แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะมีรอยร้าวปรากฏขึ้นมากมาย ทว่าหนึ่งการโจมตีของมันยังคงแผดสุริยัน เผาจันทรา หลอมหมู่ดาราละลายปฐพีกว้างได้!
ทว่าเพราะเขาต้องขัดเกลาสมบัติชิ้นนี้ นักซ่อนกลจึงติดอยู่ในเมืองสวรรค์เทพมายา ไม่อาจออกไปได้จวบจนยามนี้
เหตุผลนั้นแสนง่าย เมืองสวรรค์เทพมายานี้เป็นดั่งกรงขังที่มีไว้หยุดดาบปลายมนแผดเซียนเล่มนี้
และเมื่อนักซ่อนกลจะหล่อหลอมสมบัตินี้เป็นของตนเอง เขาก็ถูกลากมาพัวพัน ถูกขังภายใต้กฎฟ้าดินแห่งเมืองสวรรค์เทพมายาไปด้วย!
เว้นเพียงเขาจะทำลายกฎสวรรค์ของเมืองสวรรค์เทพมายาได้ หรือทิ้งดาบปลายมนแผดเซียนไป
หาไม่ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบออกจากเมืองสวรรค์เทพมายาชั่วชีวิต
ทว่ายามนี้ ดาบปลายมนแผดเซียนซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสมบัติเซียนกลับสั่นระรัว ตื่นกลัวในภาพเงาของดาบเล่มหนึ่ง นักซ่อนกลจะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
ก่อนที่เขาจะทันได้คืนสติ…
ไกลออกไปบนอากาศ เงาของดาบเก้าคุมขังปาดลงมาเบา ๆ
ภาพอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นในจักษุของซูอี้ ดาบปลายมนแผดเซียนถูกหั่นแยกเป็นชิ้น ๆ ราวกับเนื้อชิ้นอวบอ้วนบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็ถูกเงาของดาบเก้าคุมขังกลืนกินเสียสิ้น
ดุจวาฬใหญ่กลืนน้ำ
ซูอี้อดถอนใจเบา ๆ อย่างแสนเสียดายมิได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าดาบหยกปลายมนสีแดงเพลิงเล่มนั้นแปลกประหลาดน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง หาอ่อนแอไปกว่า ‘หอกศึกพิสูจน์สวรรค์’ ที่ถูกผนึกไว้ในห้วงลึกของสมุทรฮุ่นตุ้นในแดนหวงห้ามสิ้นเซียนไม่!
เหมือนการที่ ‘หอกศึกพิสูจน์สวรรค์’ เป็นสมบัติจากยุคมายามที่ฉินชงซูควบคุม สร้างหายนะทำให้กฎสวรรค์แห่งภูมิดาราฟ้าดินเสียหายหนักได้ในพริบตา
จากนี้ก็คาดได้ว่าดาบหยกปลายมนสีเพลิงของนักซ่อนกลก็แข็งแกร่งร้ายกาจยิ่งนัก!
และนี่ก็ทำให้ซูอี้แสนเสียดาย
สมบัติอันร้ายกาจท้าทายสวรรค์กลับถูกดาบเก้าคุมขังมองเป็นอาหาร ทำให้ผู้คนรู้สึกเสียดายอย่างมิอาจเลี่ยง…
อัก!
ไกลออกไปในอากาศ นักซ่อนกลกระอักโลหิตออกมา
ดาบปลายมนแผดเซียนประสบหายนะแหลกลาญ ตัวเขาเองก็รับผลกระทบไปด้วยอย่างแรงกล้า ร่างของเขาสั่นเทิ้ม ใบหน้าซีดขาว
“หมดสิ้นแล้ว… ทุกอย่างจบสิ้นไม่เหลือดี…”
ดวงตาของนักซ่อนกลเลื่อนลอย ดูมิอาจรับเรื่องเช่นนี้ได้จนแทบสิ้นสติ
กาลก่อน เขาออกค้นหาทุกซอกมุมอยู่แสนนานเพื่อดาบปลายมนแผดเซียน และเพื่อขัดเกลาสมบัติชิ้นนี้ เขาจึงต้องทุ่มเทเสียสละมากมาย
และเพราะสมบัติชิ้นนี้ เขาจึงถูกขังอยู่ในเมืองสวรรค์เทพมายาไม่อาจทราบปี!
ทว่ายามนี้ สมบัติเซียนที่เขาถือเทียบชีวิตตนเช่นนี้ถูกเขมือบไปเยี่ยงอาหาร…
เป็นการกระทบจิตใจอันรุนแรงเกินไป
ทำให้นักซ่อนกลรู้สึกแย่ยิ่งกว่าบุพการีลาลับ
เพราะถึงอย่างไร หลังทุ่มเททุกสิ่งแสนนาน ใครเล่าจะคิดว่าวันหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งจะโผล่มาเขมือบมันไปเสียง่าย ๆ?
“ข้าจะฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้า!!”
ทันใดนั้น ดวงตาของนักซ่อนกลก็แดงก่ำ ระเบิดโทสะคำรามสะท้านทั่วสรวง
ตู้ม!
ปราณของเขาเดือดดาล ทะยานข้ามสุญญะโจมตีใส่ซูอี้
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
โดยไม่คิดยั้งมือ ซูอี้ฟาดดาบเข้าโรมรัน
เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างของนักซ่อนกลก็อาบเลือดโซมกาย ท้ายที่สุด หนึ่งดาบเวียนวัฏก็ฟาดฟัน ปราบนักซ่อนกลแน่นิ่งกับพื้น ร่างของเขาแหลกเละ เส้นผมสยายรุงรัง สภาพซอมซ่อยิ่งนัก
“บอกข้ามาว่าเจ้าของร้านจำนำอยู่หนใด และข้าจะให้เจ้าได้ไปอย่างสงบ”
ซูอี้ก้าวเข้ามา ก้มหน้ามองอีกฝ่าย
นักซ่อนกลแหงนหน้าหัวเราะสู่นภา ดวงตาเปี่ยมความบ้าคลั่ง “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเรียกตนว่านักซ่อนกล?”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
นักซ่อนกลกล่าวยิ้ม ๆ “ชีวิตเป็นเหมือนละคร ความเป็นความตายไร้จีรัง ผู้คนไม่อาจคาดคิดได้ นี่แหละผลงานชิ้นเอกแห่งนักซ่อนกล!”
“เหมือนเช่นยามนี้ เจ้าคิดหรือว่าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือข้าตัวจริง?”
เปรี้ยง!
ขณะเสียงยังมิสร่าง ร่างของนักซ่อนกลพลันแหลกระเบิดเป็นพิรุณแสงเล็กละเอียดสีแดงฉาน
ไกลออกไปในสุญญะ ภาพลวงโปร่งใสภาพหนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นคือนักซ่อนกล!
เขามองซูอี้จากไกล ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เจ้าควบคุมวัฏสงสาร ทำลายสมบัติสูงสุดของข้า ในสามปี เมื่อร่างจริงของข้าหวนคืน ข้าจะจัดการแสดงดี ๆ ให้เจ้า!”
จากนั้น เงาลวงตาก็หายวับไปในพริบตาเยี่ยงฟองสบู่
“ก็แค่อวตาร ทำพูดใหญ่โต”
ซูอี้สุดแสนดูถูก
การฝึกฝนของนักซ่อนกลนั้นร้ายกาจอย่างจริงแท้ กฎมหาวิถีที่เขาบรรลุยังแปลกประหลาดยิ่งอีกด้วย
ทว่าทุกสิ่งก็มิอาจแยกจากที่มาของมัน หรือก็คือกลมายาที่ว่า แก่นของมันมิอาจเกินเลยไปกว่าภาพลวง
หากทุกสิ่งก่อนหน้านี้เป็นเพียงกลฝันมายาจริง ๆ ไฉนนักซ่อนกลต้องแสนบ้าคลั่งด้วย?
กระทั่งสติยังแทบแหลกสลาย?
เหตุผลนั้นง่าย เพราะเขาถูกโจมตีหนักหนาเกินไป สูญเสียหนักหน่วงเกินรับไหว!
ไม่เพียงร่างอวตารของเขาจะถูกทำลาย แต่กระทั่งสมบัติต้องห้ามอย่างดาบหยกปลายมนสีเพลิงยังถูกเขมือบหาย
เขาย่อมโกรธจนเป็นบ้าเช่นกาลก่อน
“ในสามปี ร่างจริงของเขาจะหวนคืน?”
ซูอี้ครุ่นคิด
วาจาของนักซ่อนกลย้ำเตือนเขาถึงสองบุคคล
หนึ่งคือเจ้าของกระดูกมือชิ้นนั้น ‘ลั่วเหยา’
และอีกหนึ่งคือสตรีถือหอกผู้มีที่มาเป็นปริศนา!
ทั้งสองต่างพูดว่าจะกลับมาในสามปี
ยิ่งกว่านั้น สตรีถือหอกยังเคยกล่าวเตือนไว้เป็นพิเศษ ว่าในอีกสามปี เขตแดนสมรภูมิซึ่งห่างหายไปหลายพันปีจะหวนกลับมา
หนึ่งพายุใหญ่นาม ‘ศึกแรกเยือน’ จะบังเกิดขึ้นบนเขตแดนสมรภูมิ
หากคว้าไว้ได้ ก็จะสามารถแยกตนออกจากยุคสมัยนี้ได้โดยแท้จริง!
เรื่องเหล่านี้ดึงความสนใจของซูอี้ในกาลก่อน
นอกจากนั้น สตรีถือหอกยังเคยกล่าวไว้ว่าเจ้าของกระดูกมือชิ้นนั้น ลั่วเหยาหาใช่คนของจักรดาราตงเสวียนไม่ และยังมิใช่คนในยุคสมัยนี้!
และยามนี้ ก่อนที่ร่างอวตารของนักซ่อนกลจะตายตก เขาก็บอกว่าร่างจริงของเขาจะหวนคืนในสามปี จะมิให้ซูอี้สนใจได้เช่นไร?
ในสามปี ศึกในเขตแดนสมรภูมิจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง และผู้มีที่มาเป็นปริศนาเช่นลั่วเหยา สตรีถือหอกและนักซ่อนกลจะปรากฏขึ้นตาม ๆ กัน!
ทั้งหมดนี้หมายความเช่นไร?
หรือจักรดาราตงเสวียนกำลังจะแปรเปลี่ยนยกใหญ่?
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะส่ายหน้าและเลิกคิดมาก
เขาเดินมายังจุดที่ร่างอวตารของนักซ่อนกลตายตกซึ่งเหลือเพียงม้วนหยกสีทองวางไว้
ก่อนหน้านี้ นักซ่อนกลบอกว่าของสิ่งนี้มีชื่อว่า ‘คู่มือภาพบรรลุเซียน’ ซึ่งบันทึกความลับทั้งหลายเกี่ยวกับเมืองสวรรค์เทพมายาเอาไว้
เช่นความลับแห่งเซียน ความลับของภูเขาเผิงไหลและอื่นๆ
ทว่ายามที่ซูอี้แทรกจิตสัมผัสเข้าไปตรวจสอบ เขาก็ต้องตะลึงที่พบว่าม้วนหยกนี้ว่างเปล่า หาสลักสิ่งใดไว้ไม่
“ไอ้แก่สับปลับนี่ ตายร้อยครั้งก็มิสาสม”
ซูอี้พึมพำ
ไม่นานนัก คิ้วของเขาก็ขมวดหากัน หญิงบ้าผู้นั้นอยู่หนใด หรือ… จะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับนางจริง ๆ?
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง นำจี้หยกสีชาดออกมา กลับเข้าไปในวิหารโอ่อ่าและค้นหาอย่างตั้งใจ
ทว่าสุดท้ายก็ไร้ผล
แต่ซูอี้ยังไม่ยอมแพ้ หลังจากเดินออกมาจากวิหาร เขาก็ไปหานางที่อื่น
หลังชั่วหนึ่งก้านธูป
ซูอี้ก็หวนคืนมายังบริเวณสนามเต๋าหน้าวิหาร
สนามเต๋านี้ปกคลุมพื้นที่พันจั้ง บรรจุปริศนามากมาย หนึ่งย่างก้าวล้วนนำไปสู่หนึ่งโลกเร้นลับซึ่งถูกทำลายไปในอดีตกาล
ใจกลางสนามเต๋านั้นมีแท่นตั้งอยู่แท่นหนึ่ง
เหนือแท่นคือประตูสู่มิติกาลเวลา ซึ่งเป็นทางออกเมืองสวรรค์เทพมายา
ซูอี้จ้องแท่นพลางครุ่นคิด
ท้ายที่สุด ลวดลายเร้นลับลายหนึ่งก็ถูกพบที่ใต้แท่น
‘บรรพชนกล่าวไว้ว่ามีอำนาจต้องห้ามที่มิอาจล่วงรู้บางอย่างตัดวิถีจุติสรวงสู่เซียนทิ้งไป และจากนั้นมา โลกแห่งเซียนก็คืนสู่โลกเซียน แดนมนุษย์คืนสู่แดนมนุษย์ กาลเวลาผันผ่าน ไร้เซียนหลงเหลือในโลกหล้า’
‘บรรพชนเผยความลับสวรรค์ ต้องตายตกอย่างอนาถ’
‘จากนั้นมา เกาะเซียนเผิงไหลของข้าก็มิเหลือเซียนอยู่’
‘กาลต่อมา การทำนายของบรรพชนก็สัมฤทธิ์ผล และไม่มีผู้ใดก้าวสู่วิถีจุติสรวงขึ้นเป็นเซียนได้อีก’
‘วิถีจุติสรวงถูกทำลายสิ้นจากโลกหล้า’
‘และเชื้อสายชาวเกาะเซียนเผิงไหลของข้า เนื่องจากบรรพชนข้าเผยความลับสวรรค์ ณ กาลก่อน จึงต้องถูกคำสาปประหลาดเกินคาดเดา กลายเป็นซากปรักหักพังในชั่วข้ามคืน…’
‘ยามชีวิตข้าตกอยู่ในอันตราย ข้าจึงออกจากเกาะ ส่งดาบปลายมนแผดเซียนมาฝังไว้ที่นี่ เพื่อที่มันจะสามารถหวนคืนสู่โลกหล้า ให้สำนักเราสืบสานมรดกต่อไปได้’
เมื่อเห็นวาจาเหล่านี้ ซูอี้ก็อดตะลึงในใจมิได้
ปรากฏว่ากาลก่อนในยามหนึ่ง มีเซียนอยู่ในโลกหล้าจริง ๆ!
ปรากฏว่าวิถีจุติสรวงมีอยู่จริง!
ที่แท้ เกาะเซียนเผิงไหลที่เต่าชรากล่าวถึงยามแบกเขาแหวกว่ายในทะเลครามสัญจรก็มีอยู่จริง!
ที่แท้ก็มีอำนาจต้องห้ามอันมิอาจคาดหยั่งสะบั้นวิถีจุติสรวงขาดหาย และจากนั้นมา โลกเซียนและโลกมนุษย์ก็ถูกแยกจากกัน!
แท้ที่จริง ระหว่างวิถีสู่สวรรค์และวิถีเซียนก็มีวิถีหนึ่งนาม ‘จุติสรวง’ คั่นอยู่จริง ๆ!
สัจธรรมนี้ปลดความเคลือบแคลง เปลื้องปริศนามากมายในใจซูอี้
ทำให้เขากระจ่างแจ้ง
เปล่าเลย มันคือการแหวกนภาทะยานฟ้า จุติสรวงเป็นเซียนต่างหาก!
“บรรพชนของเกาะเซียนเผิงไหลเห็นได้ชัดว่าเป็นเซียนมนุษย์ แต่ต้องตกตายอนาถเพราะเผยความลับสวรรค์!”
“มีผู้ใดจงใจลบล้างทุกอย่างอันเกี่ยวข้องกับการบรรลุเซียนบนโลกหล้าหรือ?”
“หรือเป็นเพราะว่ายามนั้น ไม่มีเซียนผู้ใดถูกอนุญาตให้มีตัวตนบนโลกหล้า บรรพชนผู้นั้นจึงต้องตายตก?”
“มีอำนาจอันมิอาจล่วงรู้บางอย่างสะบั้นวิถีจุติสรวงบรรลุเซียน ต้องมีความลับต้องห้ามใดซุกซ่อนอยู่กัน?”
…ซูอี้จมในภวังค์ครุ่นคิด
สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า
มีเบาะแสเกี่ยวกับปริศนาเหล่านี้น้อยเกินไป ยากจะตอบได้
บางที เมื่อเจ้าของกระดูกมือ ‘ลั่วเหยา’ กลับมา เขาก็อาจได้คำตอบเรื่องเหล่านี้จากนาง
ซูอี้ลอบกล่าว “บางที เราก็อาจถามความลับบางอย่างจากสตรีถือหอกได้ แต่เงื่อนไขก็คือต้องเอาชนะนางในการดวลอย่างเสมอภาคได้เสียก่อน”
ขณะครุ่นคิด ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ ดาบหยกปลายมนสีแดงเพลิงที่นักซ่อนกลใช้มีนามว่าดาบปลายมนแผดเซียน เป็นสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของสำนักที่เกาะเซียนเผิงไหล
และในสมบัติชิ้นนี้มีมรดกของเกาะเซียนเผิงไหลอยู่!
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของซูอี้ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาน้อย ๆ และมีเค้าลางชิงชังดาบเก้าคุมขังขึ้นมาเล็กน้อยเป็นครั้งแรก
เจ้าดาบหักนี่ ปกติเงียบเชียว แต่พอเห็นสมบัติดี ๆ เข้าหน่อยก็คุมตนเองมิได้เชียวนะ!