บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1262: ยุคสมัยการจุติสรวงบรรลุเซียน
ตอนที่ 1262: ยุคสมัยการจุติสรวงบรรลุเซียน
อาไฉ่หาปิดบังไม่ และกล่าวออกมาอย่างละเอียด
ในช่วงกาลที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงสารพัดเกิดขึ้นในส่วนลึกของจักรวาลพร่างดาว
พื้นที่ต้องห้ามโบราณและสถานที่ต้องห้ามบางแห่งปรากฏโอกาสอันเกี่ยวข้องกับเซียนขึ้นติด ๆ กัน!
แผนที่ค่ายกลดาบวิถีเซียนที่บรรพชนเติ้งจั๋วแห่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิได้รับมานั้นมาจากสนามรบโบราณซึ่งกลายเป็นดินแดนรกร้างในภูมิดาราหมื่นโฉลกมาช้านาน
ส่วนแผนที่ค่ายกลดาบวิถีเซียนนี้จะแข็งแกร่งเช่นไร ซ่อนปริศนาไว้มากมายเพียงไร อาไฉ่ไม่รู้แน่ชัด
นางเคยได้ยินเรื่องของมันจากเวิงผู เจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิซึ่งพูดว่าบรรพชนเติ้งจั๋วแทบขนวัตถุดิบในคลังสำนักไปจนเกลี้ยงเพื่อสร้างค่ายกลดาบวิถีเซียนนี้เมื่อไม่กี่ปีก่อน!
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่อาจสร้างค่ายกลให้เสร็จสมบูรณ์ได้
จากวาจาของเจ้าสำนักเวิงผู หากรีดเร้นพลังเดินค่ายกลดาบวิถีเซียนนี้อย่างเต็มที่ อย่างมากก็ใช้พลังของมันได้เพียงสี่ส่วนเท่านั้น
แต่มันก็เพียงพอสังหารราชันแห่งภูมิ ณ ขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้แล้ว!
เรื่องนี้ทำให้ซูอี้ประหลาดใจ
หากกล่าวเช่นนั้น ค่ายกลดาบวิถีเซียนนี้ก็จะร้ายกาจอย่างยิ่ง ห่างไกลเกินเทียบได้กับข่ายกลในขอบเขตราชันแห่งภูมิทั่วไป
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างงุนงง “ตลอดกาลที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงมหันต์อันเกี่ยวเนื่องกับโอกาสวิถีเซียนในจักรวาลพร่างดาวด้วยหรือ? แต่ไฉนข้าจึงไม่เคยได้ยินเลย…”
เขาเพิ่งออกห่างจากจักรวาลพร่างดาวไปปีกว่าเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ใด ๆ ในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวเลย
“การเปลี่ยนแปรเหล่านี้เป็นที่รู้กันเพียงในหมู่ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว ณ ปัจจุบัน และข่าวก็ถูกปิดไปนานแล้วด้วย ทำให้ในโลกหล้ามิอาจมีผู้ใดหยั่งทราบได้”
อาไฉ่เป็นผู้ตอบ “เพราะถึงอย่างไร การแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับวิถีเซียนในตำนานซึ่งไม่ได้ปรากฏมาช้านาน เหล่ายักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวต้องการยึดไว้กับตนเพียงผู้เดียว ใครเล่าจะนำข่าวออกมาเผยแพร่?”
หลังผ่านไปหลายพันปี เรื่องเกี่ยวกับวิถีเซียนก็หวนคืนสู่โลกา!
ความลับนี้ทำให้ซูอี้ตะลึงเล็กน้อย
ในเมืองสวรรค์เทพมายา เขาได้เห็นความลับบางอย่างเกี่ยวกับการจุติสวรรค์บรรลุเซียนมาบ้าง
และยังได้เรียนรู้ว่าเมื่อเนิ่นนานกาลก่อน วิถีบรรลุเซียนถูกหายนะประหลาดอันมิอาจหยั่งทราบสะบั้นขาด
ทว่ามิคาดเลยว่าในช่วงนี้ โอกาสเกี่ยวกับวิถีเซียนบางอย่างจะหวนคืนสู่โลกหล้าแล้ว!
หรือทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับเขตแดนสนามรบที่จะกลับมาปรากฏในสามปี?
วิถีจุติสรวงที่เคยห่างหายจะหวนคืนสู่โลกหล้าหรือไม่?
ซูอี้จำเรื่องหลายอย่างขึ้นได้
“ทว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์เหล่านี้เผยเพียงสัญญาณบางอย่าง และเรื่องเกี่ยวกับวิถีเซียนก็เพิ่งแง้มมุมออกมาเท่านั้น”
อาไฉ่กล่าวเบา ๆ “เมื่อไม่กี่ปีก่อน บรรพชนเติ้งจั๋วกล่าวไว้ว่าในแท่นศิลาอันเก่าแก่ที่สุดของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมีความลับบางอย่างเกี่ยวกับการจุติสรวงบรรลุเซียน และจากการคาดเดาของเขา เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีเซียนปรากฏสู่โลกหล้า ทั่วจักรดาราตงเสวียนจะก่อเกิดยุคสมัยใหม่”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย อาไฉ่ก็กล่าวชัดถ้อย “เป็นยุคสมัยการจุติสรวงบรรลุเซียน!”
“การจุติสรวงบรรลุเซียน? วิถีเซียนในข่าวลือมีอยู่จริง ๆ หรือ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นตะลึงอึ้ง
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ และกล่าวแก้ไข “วิถีเซียนคือวิถีเซียน วิถีจุติสรวงคือวิถีจุติสรวงต่างหาก”
เขาอธิบายเรื่องของการจุติสรวงและบรรลุเซียนออกมาโดยสังเขป
อันที่จริง เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าสิ้นวิถีสู่สวรรค์ก็คือวิถีจุติสรวง และสิ้นวิถีจุติสรวงมีวิถีเซียน!
นับแต่บรรพกาลเนิ่นนาน หายนะประหลาดบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้วิถีจุติสรวงอันนำสู่วิถีเซียนถูกสะบั้นขาด
แต่นั้นมา โลกแห่งเซียนและโลกมนุษย์ก็แยกสะบั้นจากกัน ทั่วฟ้าดินไร้เซียนในโลกหล้า!
เมิ่งฉางอวิ๋นอดตะลึงไม่ได้ ที่แท้ใต้เท้าทัศนาจารย์ก็เข้าใจความลับของการจุติสรวงแล้ว!
คู่เนตรงามของอาไฉ่ทอประกาย หันไปกล่าวกับซูอี้ว่า “สหายเต๋า เช่นนั้นยามนี้ เจ้าจะยังคิดไปหาเรื่องสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิอยู่อีกหรือไม่?”
“ไป”
ซูอี้หาลังเลไม่
ก่อนที่เขาจะพิสูจน์วิถีราชันแห่งภูมิ เขาสามารถสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงและดวลตัวต่อตัวกับเพชฌฆาตในขอบเขตคืนสู่สามัญได้
นับแต่เขาก้าวเท้าสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิเป็นต้นมา ราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญทั่วไปก็มิได้อยู่ในสายตาของเขาอีก เพียงดีดนิ้วก็ทำลายได้แล้ว
อย่าว่าแต่เรื่องที่ยามนี้ เขาอยู่ในขั้นปลายขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงแล้วด้วย
จากการอนุมานของซูอี้ พลังต่อสู้ปัจจุบันของเขาอาจไม่สามารถเทียบได้กับทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อม
ทว่าการกวาดล้างราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเหล่านั้นทำได้ไม่ยากเลย
“น่าเสียดายที่เจ้าเฒ่าจมูกวัวเติ้งจั๋วไม่อยู่ หาไม่ เมื่อถึงกาลคงลองดูได้ว่าวิถีเต๋าของเจ้าเฒ่านี่พัฒนาไปเพียงไรบ้างหลังข้าไม่อยู่”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ
จากสิ่งที่อาไฉ่พูดก่อนหน้านี้ เติ้งจั๋วออกจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน กล่าวกันว่าเขาไปค้นหาโอกาสที่เขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ต้องกล่าวว่าช่างน่าเสียดาย
“เจ้า… อยากจะสู้กับเติ้งจั๋วจริง ๆ หรือ?”
อาไฉ่ดูไม่อยากเชื่อ
เติ้งจั๋ว!
ยักษ์ใหญ่สูงสุดในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว เป็นตัวตนในตำนานซึ่งทั่วทั้งจักรวาลพร่างดาวมีเพียงไม่กี่คน!
และไม่ว่าอย่างไร ซูอี้ก็เป็นเพียงร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ หาใช่ทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมไม่
จึงยากที่อาไฉ่จะนึกออกว่าซูอี้ไปนำความมั่นใจว่าจะสู้ตัวตนบรรพกาลดึกดำบรรพ์อย่างเติ้งจั๋วได้มาจากหนใดกัน
“มิเพียงแค่สู้ แต่ยังช่วยคนด้วย”
ซูอี้ว่า
อาไฉ่ “…”
ในที่สุดนางก็เห็นได้ว่าซูอี้หาล้อเล่นไม่ แต่ตั้งใจไปต่อสู้ที่สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิจริง ๆ!
“ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”
อาไฉ่ถาม
ซูอี้ส่ายหน้าน้อยๆ พลางกล่าวว่า “เติ้งจั๋วไม่อยู่ สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมีเพียงค่ายกลดาบวิถีเซียนนั่นเท่านั้นที่ควรค่าให้สนใจ”
รุ่งเช้าสองวันถัดมา
ท้องนภาเจิดจ้า ทั่วผืนโลกาเขียวขจีเปี่ยมชีวิตชีวา
ซูอี้สวมอาภรณ์เขียว เส้นผมยาวถูกมุ่นเป็นมวยเรียบ ๆ เดินท่ามกลางหมอกพิรุณพร่ามัว พริ้วร่างไปยังทิศที่ตั้งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
ครานี้เขาลงมือลำพัง ทิ้งเมิ่งฉางอวิ๋นไว้ในเมืองหมื่นใบไม้
……
สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
“พร้อมกันหรือไม่?”
ในโถงใหญ่แห่งหนึ่ง เจ้าสำนักเวิงผูเล่นกับกระดูกสัตว์สีขาวโพลนชิ้นหนึ่งในมือ
กระดูกสัตว์ชิ้นนี้ใหญ่ราวฝ่ามือ ถูกเหลาเป็นรูปดาบบิน พร่างพรายด้วยประกายแสงเซียน
“เรียนเจ้าสำนัก ทุกผู้ในสำนักถูกกระจายกำลังอย่างเหมาะสมแล้ว และนอกจากนั้น ผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักก็พร้อมทำศึกแล้วขอรับ”
บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งรายงานอย่างนอบน้อม
เวิงผูพยักหน้าน้อย ๆ
ยามนี้เอง พลันมีสามร่างเดินอยู่นอกโถง
เป็นชายวัยกลางคนอาภรณ์สีน้ำเงินผู้เหน็บฝักดาบไว้เบื้องหลัง ชายชราร่างผอมผู้มีบรรยากาศดุจเทพเซียน และหญิงงามสะกดตาผู้เต็มไปด้วยเครื่องประดับ
เวิงผูพลันลุกขึ้นต้อนรับพวกเขาอย่างเคร่งขรึม “คารวะบรรพชนทั้งสาม!”
ผู้มาคือตัวตนบรรพกาลทั้งสามในขอบเขตไร้ขีดจำกัดซึ่งอยู่ในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ ณ ยามนี้!
พวกเขาทั้งหลายสละตำแหน่ง ไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลกแสนนาน และตลอดกาลนานมาก็ใช้ชีวิตปลีกวิเวกห่างไกลความวุ่นวายในโลกหล้า
และครานี้ เพื่อรับมือร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ ตัวตนบรรพกาลทั้งสามจึงถูกเชื้อเชิญมาลงมือเอง
ชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีน้ำเงินถาม
เขามีเคราหลิวพริ้วไสว คู่เนตรหงส์ กิริยาสง่างาม บรรยากาศโดดเด่น
สุ่ยเทียนหาน
การฝึกฝนอยู่ในขั้นกลางขอบเขตไร้ขีดจำกัด จอมวิถีดาบผู้ไม่เป็นสองรองใครในภูมิดาราหมื่นโฉลก ชื่อเสียงโด่งดังทั่วจักรวาลพร่างดาวแต่ช้านาน มีสมญาว่า ‘เจ้าภูมิเทียนหาน’
“เรียนบรรพชน คันฉ่องสมบัติท่องวิมานทั้ง 24 ถูกนำมาใช้ทั้งหมดแล้วขอรับ ขอเพียงซูอี้ปรากฏขึ้นในรัศมี 800 ลี้ของสำนักเรา เขาจะถูกพบตัวทันทีขอรับ”
เวิงผูกล่าวพลางโบกมือ
ฟิ้ว!
คันฉ่องสมบัติสำริดบานหนึ่งปรากฏขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นม่านแสงขนาดสามจั้ง
ในม่านแสงนั้นมีภาพดินแดนอันรกร้างกระจัดกระจายอยู่
และเมื่อคันฉ่องสำริดขยับ ภาพในม่านแสงก็จะเปลี่ยนแปรไปให้เห็นทุกซอกมุม
นี่คือคันฉ่องสมบัติท่องวิมาน
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ขอแค่มีปราณการฝึกฝนอยู่ในร่างก็จะถูกสะท้อนบนคันฉ่องสมบัติท่องวิมานนับแต่แรกพบ
“ตัวประกันทั้งสองเป็นเช่นไรบ้าง?”
ชายชราร่างผอมผู้มีบรรยากาศเยี่ยงเทพเซียนถามเบา ๆ
ร่างของเขาสูงโปร่ง ผมวาววับสีเงินยวง ดวงตาลึกล้ำเยี่ยงบ่อน้ำโบราณ แสงแห่งกฏเกณฑ์สีม่วงเรืองรอบกาย ทรงพลังอย่างยิ่ง
หลี่สวินเจิน
การฝึกฝนอยู่ในขั้นปลายขอบเขตไร้ขีดจำกัด!
ลำดับอาวุโสและฐานะของหลี่สวินเจินในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิสูงส่งมาก เป็นรองเพียงเติ้งจั๋ว ตัวตนบรรพกาลที่เป็นดั่งซากโบราณเดินได้เท่านั้น
“ทั้งคู่ล้วนอยู่ดีขอรับ”
ตัวประกันต้องมีชีวิตเท่านั้นจึงมีค่า
“เพียงร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์กลับทำให้เราทั้งหลายต้องตอบโต้อย่างเต็มกำลัง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่รู้โลกหล้าภายนอกจะมองเราเช่นไร”
หญิงงามผู้เต็มไปด้วยเครื่องประดับกล่าวเย้ยตนเอง
ผมของนางถูกมุ่นเป็นมวยสูง กิริยาไร้ผู้ใดเปรียบ เมื่อถูกคู่เนตรของนางจับจ้องก็ให้ความรู้สึกสูงส่งเหนือสรรพชีวิต
กู้หลิงอวิ้น
นางคือผู้ฝึกตนในขั้นกลางขอบเขตไร้ขีดจำกัด และยังเป็นบรรพชนขอบเขตไร้ขีดขำกัดที่อายุน้อยที่สุดในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิอีกด้วย นางฝึกฝนมาเพียงเก้าพันกว่าปีเท่านั้น
เทียบอายุกับราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดคนอื่น ๆ ซึ่งมักจะอยู่ยาวนานเป็นหมื่น ๆ ปีแล้ว กู้หลิงอวิ้นก็เรียกได้ว่าอ่อนวัยโดยแท้
ควรค่าให้กล่าวถึงว่านางเป็นศิษย์ใกล้ชิดของเติ้งจั๋ว!
แม้การฝึกฝนของนางจะมิอาจเทียบหลี่สวินเจินได้ แต่ความแข็งแกร่งก็หาได้ด้อยไปกว่าเขา!
“หลิงอวิ้น นี่หาใช่ความอัปยศไม่ หากเปลี่ยนไปเป็นขุมกำลังยักษ์ใหญ่ใด ๆ ในจักรวาลพร่างดาวมาพบพานเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาก็มิต่างจากเรา มิกล้าออมแรงแม้เพียงน้อยเช่นกัน”
ดวงตาของสุ่ยเทียนหานดูซับซ้อน “เพราะถึงอย่างไร นั่นคือร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์นะ!”
หลี่สวินเจินที่ด้านข้างเองก็พยักหน้าน้อย ๆ พลางกล่าวเบา ๆ “หากเปลี่ยนเป็นทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อม… ไม่ว่าเราจะเตรียมตัวมาดีเพียงไร เกรงว่าก็คงมิต่างจากนำกรวดไปปาใส่หินเลย”
ยิ่งอยู่นาน พวกเขายิ่งรู้ว่าคนผู้นั้นยามสมบูรณ์พร้อมเป็นตัวตนร้ายกาจเพียงไร
“โชคดีที่เขามิใช่ทัศนาจารย์ยามเก่าก่อนอีกต่อไป แม้ว่าอำนาจต่อสู้ของเขาจะท้าทายสวรรค์ยิ่ง แต่เขาในยามนี้ก็เป็นเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยังมิได้ก้าวเท้าสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิเท่านั้น”
สุ่ยเทียนหานกล่าวยิ้ม ๆ “ยิ่งกว่านั้น สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของเราในยามนี้ก็มิเหมือนอดีตกาลมาเนิ่นนาน ครานี้เราเตรียมตัวมากมายเพื่อเอาชนะร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ จึงมิน่ามีปัญหาใด ๆ”
ดวงตาของหลี่สวินเจินพร่างประกาย “ถูกต้อง หากครานี้เราได้เคล็ดเวียนวัฏสงสารมาครอบครอง มันจะกลายเป็นโอกาสอันรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าคราใดสำหรับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิแน่แท้!”
“หากอาจารย์ข้าอยู่ เขาคงแสนปรีดากับเรื่องนี้เเป็นแน่แท้”
กู้หลิงอวิ้นหัวเราะคิก
ขณะทั้งสามสนทนา เจ้าสำนักพลันกล่าวขึ้น “บรรพชนทั้งสาม เขามาแล้ว!”
เพียงหนึ่งวาจา ทุกสายตาก็หันมองม่านแสงอันแปรเปลี่ยนจากคันฉ่องสมบัติท่องวิมาน
และเห็นว่าในพื้นที่แห่งหนึ่ง น้ำค้างจรัสแสงปกคลุมเยี่ยงหมอก ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งซึ่งเดินไพล่มืออยู่เบื้องหลังปรากฏตัวขึ้น
อาภรณ์เขียวโบกไสว เรื่อยเฉื่อยเยี่ยงเดินชมวิว
ดุจเทพเซียนจากสรวงสวรรค์!