บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1292: สมุทรมารไร้กำหนด
ตอนที่ 1292: สมุทรมารไร้กำหนด
เหตุใดชิงหว่านจึงปรากฏข้างกายเขาได้แต่แรก?
ในม้วนหยกไร้ซึ่งคำอธิบาย
ทว่าซูอี้แน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ต้องทราบว่ายามเขาคืนความทรงจำในอดีตชาติ เขาอยู่ในเมืองกว่างหลิง เขตปกครองของต้าโจว เมืองเล็ก ๆ อันห่างไกลในมหาทวีปคังชิง
ชิงหว่านคือศิษย์ใกล้ชิดของเซียนเสวี่ยหลิว แต่กลับปรากฏข้างกายเขาซึ่งเพิ่งคืนความทรงจำอดีตชาติได้
นี่จะเป็นเรื่องบังเอิญได้เช่นไร?
กาลก่อน ยามเขาอยู่ในสันเขาอีกา ซูอี้ก็เคยถามเรื่องนี้กับเซียนเสวี่ยหลิวผู้ปรากฏตัวในร่างเทียนฉี
น่าเสียดายที่ยามนั้นไร้ซึ่งคำตอบ
“เซียนเสวี่ยหลิวที่ว่านั่นต้องบรรลุเคล็ดวิชาบางอย่างที่สามารถรับรู้ทุกสภาวะของเสิ่นมู่ได้เป็นแน่แท้ และข้าซึ่งเป็นร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่ก็ย่อมอยู่ภายใต้การรับรู้ของนาง มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่อธิบายได้”
ซูอี้ครุ่นคิด
นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น
ซูอี้เองก็รู้ว่าหากเขาสามารถสืบทอดความทรงจำของเสิ่นมู่ เขาก็อาจเข้าใจความจริงมากกว่านี้ได้
น่าเสียดายที่มีโอกาสไม่เพียงพอ
เขายังไม่อาจหลอมรวมพลังมหาวิถีที่เสิ่นมู่ทิ้งไว้ได้
“บางที ยามที่เราจับช่างเสื้อเฒ่าชั่วช้าได้ ความจริงก็อาจจะปรากฏ”
ซูอี้ลอบครุ่นคิดว่าในศึกสันเขาอีกา แผนของเซียนเสวี่ยหลิวป่นปี้ และกระทั่งร่างอวตารของเหยียนเต้าหลินก็ถูกเขาสังหาร
คาดการณ์ได้ว่าช่างเสื้อเฒ่าจะรู้เรื่องนี้แต่แรก และไปติดต่อเซียนเสวี่ยหลิวจากศักราชแห่งมารเป็นแน่แท้
และนี่หมายความว่าไม่ช้าก็เร็ว ช่างเสื้อเฒ่าจะลงมืออีกครั้ง!
ยิ่งกว่านั้น ด้วยวิธีการของช่างเสื้อเฒ่า ยามไม่ลงมือจะอยู่นิ่ง แต่หากลงมือ ทุกครั้งล้วนดุดันถึงตาย!
ทว่าซูอี้รู้ดี ว่าหากเขาไม่บีบจนถึงขีดสุด ช่างเสื้อเฒ่าชั่วช้านี้จะมิยอมโผล่ตัวออกมาเองแน่
ทัศนาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าช่างเสื้อเฒ่าหลบอยู่ในความมืด บงการทุกสิ่งเบื้องหลัง เมื่อร่องรอยถูกเปิดเผย เขาจะเหมือนสิ้นอาวุธหยุดศัตรูอันแหลมคมที่สุดไป
มันจริงตามนั้น
ดาบที่แขวนเหนือศีรษะจะทำให้ผู้คนกระวนกระวาย
หากดาบนี้ปักลง ก็จะเป็นโอกาสให้ศัตรูได้ประชันขัดขืน
“หากมีโอกาสไปยัง ‘วัดสรรพสุญตา’ ในภูมิดาราเทพนคร เจ้าแก่ผู้ถือตน ‘ธรรมการัน’ นั่นต้องรู้เบาะแสเกี่ยวกับช่างเสื้ออยู่บ้างแน่”
ซูอี้ครุ่นคิดเคร่งขรึม
วัดสรรพสุญตาถือได้ว่าเป็นสำนักพุทธอันเลอค่า แดนสุขาวดีในสายตาผู้ฝึกตนวิถีพุทธ และหนึ่งในแดนพุทธะอันลึกลับที่โลกหล้าหาหยั่งทราบไม่
และมีหลวงจีนเฒ่าผู้หนึ่งในวัดสรรพสุญตา สมณนามคงจ้าว เรียกตนเองว่า ‘ธรรมการัน’ เป็นหนึ่งในขุมกำลังเร้นกายไม่กี่ผู้ในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว
และทัศนาจารย์ก็คือหนึ่งในไม่กี่คนในโลกหล้าที่สามารถทำให้หลวงจีนชราผู้นี้สิ้นหนทาง
……
ไม่นานหลังซูอี้และคณะจากภูมิดาราวอนสวรรค์ไป ข่าวหนึ่งก็ปรากฏแพร่กระจายทั่วจักรวาลพร่างดาว เกิดเป็นเสียงอื้ออึงดังกระฉ่อน
ข้อความนั้นเรียบง่าย….
ทัศนาจารย์เวียนวัฏกลับมาแล้ว!
หนึ่งศิลาสะเทือนพันคลื่น ผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลกหล้าล้วนสั่นสะท้าน
หากเป็นผู้อื่นย่อมไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเช่นนี้
ทว่าทัศนาจารย์นั้นแตกต่าง ตลอดกาลผ่านมา เขาสร้างวีรกรรมตำนานในจักรวาลพร่างดาวไว้นับไม่ถ้วน ในสายตาโลกหล้า เขาเป็นดั่งตำนานไร้คู่เปรียบ!
กระทั่งเหล่าผู้เฒ่าในขอบเขตราชันแห่งภูมิ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขายังถูกกลบรัศมีสิ้น
เมื่อปีก่อน เมื่อมีข่าวร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ปรากฏขึ้นในภูมิดาราฟ้าดิน มันก็ทำให้ทั่วจักรวาลพร่างดาวสั่นสะเทือน เป็นจุดสนใจในโลกหล้า
และยามนี้ ทัศนาจารย์ก็เวียนวัฏกลับมา หวนสู่ส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวอีกครั้ง!
ใครเล่าจะไม่สั่นสะท้านเพราะมัน?
“วัฏสงสาร! ปรากฏว่าทัศนาจารย์ไปพบเคล็ดมหาวิถีต้องห้ามเข้า และยามนี้เมื่อเขาเวียนวัฏกลับมา เขาจะสร้างตำนานใหม่ คืนความเจิดจรัสพร่างพราวต่อไปเเเป็นแน่แท้!”
ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้คนมากมายเพียงใดตื่นเต้นกับเรื่องนี้
โดยเฉพาะเหล่านักดาบมากมายในโลกหล้าซึ่งนับถือทัศนาจารย์
เมื่อพวกเขาได้รู้ถึงการหวนคืนของทัศนาจารย์ ก็เหมือนดั่งเหล่าสาวกผู้ภักดีรอคอยพระเจ้าที่พวกตนนับถือ!
“ปรากฏว่าเป็นจริงดั่งคำลือ ทัศนาจารย์เวียนวัฏหวนกลับมาได้ ทว่าทัศนาจารย์ยามนี้แข็งแกร่งเพียงไร? เมื่อปีก่อน ขุมกำลังในจักรวาลพร่างดาวประกาศชัดแท้ ๆ ว่าทัศนาจารย์ทุกวันนี้มีการฝึกฝนเพียงขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้น”
คำถามนี้ก่อให้เกิดเสียงถกเถียงทั่วจักรวาลพร่างดาว และกลายมาเป็นประเด็นร้อนที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังสูงสุดในโลกหล้า หรือผู้ฝึกตนซึ่งกระจัดกระจายดุจรากหญ้าก็ล้วนถกเถียงอย่างรุ่มร้อน
“ขอบเขตจักรพรรดิ? ผิดแล้ว! ทัศนาจารย์ยามนี้ก้าวสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิเรียบร้อย และมีพลังต่อสู้อันเรียกได้ว่าท้าทายสวรรค์ยิ่ง!”
ไม่นานนัก รายละเอียดและสัจธรรมก็ถูกเปิดเผย กระจายไปในจักรวาลพร่างดาวมากขึ้น
“ภูมิดาราหมื่นโฉลก ซูอี้ ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ใช้หนึ่งดาบปราบขุมกำลังยักษ์ใหญ่อย่างสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ บังคับให้พวกเขาต้องยอมสละทรัพย์เลี่ยงพิบัติ!”
“ภูมิดาราวอนสวรรค์ สันเขาอีกา ทัศนาจารย์เอาชนะราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดของสามขุมกำลังใหญ่อย่างเผ่าภูมิหลวนคราม ลัทธิทางช้างเผือกและตระกูลอวี่โบราณด้วยตัวคนเดียว ประหัตประหารสร้างธารโลหิตเจิ่งนอง!”
“จากคำร่ำลือ ทัศนาจารย์ยังบุกไปฆ่าฟันที่หน้าหอเก้าสวรรค์อีกด้วย ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไร้ผู้ใดรู้เจาะจง ข่าวน่าจะถูกหอเก้าสวรรค์ปิดเงียบไว้”
…เมื่อข่าวเหล่านี้แพร่ออกมาติด ๆ กัน พวกมันก็เป็นดั่งพายุคลั่งที่กวาดไปทั่วจักรวาลพร่างดาว ทำให้โลกผู้ฝึกตนทั้งมวลปะทุด้วยเสียงเซ็งแซ่ฮือฮา
ไม่มีผู้ใดคาดว่าเมื่อปีก่อน เขาซึ่งเป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิจะหวนคืนมาพร้อมความสำเร็จเจิดจรัสเพียงนี้
เผ่าภูตหลวนคราม
เมื่อเฟิงเทียนเจี่ยทราบข่าว ใบหน้าของเขาก็บึ้งตึงเดือดดาล “ไปสืบมาว่าผู้ใดปล่อยข่าว! น่าฆ่านัก กล้าทาเกลือบนแผลเผ่าภูตหลวนครามของข้า น่าละอายอย่างจริงแท้”
ตระกูลอวี่โบราณ
อวี่ซิ่งหยาง ตัวตนบรรพกาลระดับลายครามกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข่าวแพร่เร็วเกินไป ในช่วงสั้น ๆ เพียงไม่กี่วันทั่วจักรวาลพร่างดาวก็รู้ถ้วนทั่ว เห็นได้ชัดว่ามีผู้ลอบประโคมข่าวอยู่เบื้องหลัง เปิดเผยที่อยู่และการกระทำของทัศนาจารย์ต่อสายตาโลกหล้า มิต่างกับผลักทัศนาจารย์สู่ที่แจ้งด้วยเจตนาชั่วร้าย!”
ลัทธิทางช้างเผือก
“สุนัขตัวใดมันเที่ยวเห่าหอนไปทั่วกัน? ตั้งใจจะให้ลัทธิทางช้างเผือกของเราเป็นเรื่องตลกหรือ?”
ตัวตนอันเก่าแก่และระดับสูงยิ่งเดือดดาล
ดังที่ว่าความฉาวโฉ่ภายในต้องมิถูกเปิดโปง
ศึกในสันเขาอีกาทำให้ลัทธิทางช้างเผือกของพวกเขาสูญเสียหนักหนา ปิดเรื่องน่าละอายนี้กันแทบมิหวาดไหว และย่อมเป็นไปมิได้ที่พวกตนจะประกาศมันออกมาเอง
ทว่าไม่กี่วันต่อมา โลกหล้าก็รู้ทั่ว!
สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
“หากที่อยู่ของทัศนาจารย์ถูกเปิดเผย เขาก็จะถูกศัตรูทั้งมวลในอดีตชาติหมายหัว ข้าจึงไม่อาจทราบว่าจะเกิดคลื่นลมมรสุมมากเพียงใด”
ร่างอวตารของเติ้งจั๋วกระซิบ “และจากความเข้าใจในทัศนาจารย์ของข้า เขารังเกียจเกินกว่าจะเป็นผู้เผยแพร่เรื่องทั้งหมดนี้ออกไปเอง ซึ่งหมายความว่ามีบางผู้อยากกวนน้ำให้ขุ่นอย่างจงใจ และจุดประสงค์ก็คงเป็นการสร้างเรื่องให้ทัศนาจารย์”
กล่าวถึงยามนี้ เติ้งจั๋วก็ถอนใจเบา ๆ และกล่าวว่า “ช่างปั่นป่วนเสียจริง”
หอเก้าสวรรค์
หลังจากผู้บวงสรวงสวรรค์หลูอวิ๋นได้รับข่าว เขาก็ลอบยินดีที่ข่าวศึกระหว่างทัศนาจารย์และเจ้าหอของตนถูกปิดมิดชิด
หาไม่ หากโลกหล้ารับรู้ว่าอวตารเจ้าหอถูกสังหารสิ้น คงมิทราบว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์มากเพียงไร
“ไม่ถูกสิ”
หลังหลูอวิ๋นสงบสติลง เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ “ใครเล่าจะกล้าพอเป็นฝ่ายออกมาประโคมข่าวเกี่ยวกับทัศนาจารย์กัน? มิกลัวถูกล้างแค้นโต้ตอบหรือไร?”
เมื่อคิดเช่นนี้ ดวงตาของหลูอวิ๋นก็หรี่ลง “ข่าวนี้มิเพียงผลักทัศนาจารย์สู่ที่แจ้ง แต่ยังดึงความสนใจคนทุกผู้ที่ชิงชังทัศนาจารย์อีกด้วย!”
ขุมกำลังสูงสุดบางแห่งสัมผัสถึงความผิดปกติได้ เพราะข่าวการหวนคืนของทัศนาจารย์แพร่ออกไวเกินไป
เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ
และจริงเช่นนั้น ไม่นานผ่านไป ข่าวใหญ่ก็ออกประโคม…
ตระกูลจง หนึ่งในตระกูลโบราณอารักษ์วิถีประกาศต่อโลกหล้าว่า “ยุคสมัยของทัศนาจารย์ผ่านไปแสนนาน โลกนี้จะนับถือยอดฝีมือในวิถีจุติสรวง!”
ทันใดจากนั้น ข่าวก็ปรากฏว่าตัวตนบรรพกาลของตระกูลจง หนึ่งในตระกูลโบราณอารักษ์วิถีนั้นลือกันว่าได้เคลื่อนวิถีสู่วิถีจุติสรวงในซากโบราณวิถีเซียนบางแห่ง
ทันใดนั้น จักรวาลพร่างดาวก็อลหม่าน
วิถีจุติสรวง วิถีอันหายห่างแสนนานปรากฏหวนคืนสู่โลกหล้าแล้วจริง ๆ หรือ?
ข่าวนี้สะเทือนทั่วหล้า ทำให้ขุมกำลังสูงสุดทั้งหลายมิอาจอยู่เฉย
“รอเถิด หลายปีมานี้ ยักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวมากมายได้นำร่องไปก่อน ยามนี้พวกเขาใกล้ข้ามสู่วิถีจุติสรวงรอมร่อ ในไม่กี่ปีต่อมา โลกหล้าจะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่”
“ยามนั้น ทัศนาจารย์ซึ่งเป็นตำนานแห่งยุคเก่าก็ย่อมต้องโรยราจากจร!”
และยามนี้เองที่เหล่าขุมกำลังสูงสุดในโลกหล้าพลันตาสว่าง พบว่าจุดประสงค์สูงสุดของข่าวนี้ชี้ไปที่ทัศนาจารย์!
บางผู้เหยียบย่างนำสู่ขอบเขตจุติสรวงก่อนแล้ว ซึ่งเป็นบางสิ่งที่ทัศนาจารย์กระทำมิสำเร็จในกาลก่อน!
คาดเดาได้ว่าในช่วงกาลต่อจากนี้ หากมีตัวตนในขอบเขตจุติสรวงเกิดเพิ่มตาม ๆ กัน บางผู้จะเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาเหยียบย่ำทัศนาจารย์ใต้เท้าเอง!
ในขณะที่ข่าวเหล่านี้ทำให้โลกหล้าปั่นป่วน
ซูอี้และคณะของเขาข้ามจักรวาลพร่างดาวมาถึงฝั่งสมุทรมารไร้กำหนดเรียบร้อย
สมุทรมารไร้กำหนด หนึ่งในเจ็ดพื้นที่ต้องห้ามในจักรวาลพร่างดาว
นี่คือสมุทรกว้างในโลกหล้าอันแร้นแค้น ปกคลุมด้วยหมอกหนาเคลื่อนคล้อย
ในสมุทรกว้างนี้เต็มไปด้วยซากดารานับไม่ถ้วน!
มันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง และตลอดกาลแต่ดึกดำบรรพ์ หามีผู้ใดรู้ว่าสมุทรนี้ซุกซ่อนความลับต้องห้ามใดไว้ไม่
ในฐานะหนึ่งในเจ็ดพื้นที่ต้องห้ามแห่งจักรวาลพร่างดาว กระทั่งตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิยังแทบมิกล้าบุกเข้าไป
อำนาจของมันดุร้ายมิอาจหยั่ง ตลอดกาลนานมา มิอาจทราบได้ว่ามีราชันแห่งภูมิสูญสิ้นลงมากเพียงไร
ทว่าซูอี้ก็ต้องแปลกใจ เมื่อคณะของเขามาถึงฝั่งสมุทรมารไร้กำหนด พวกเขาพลันพบว่าที่นี่ค่อนข้างครึกครื้น
มีกลุ่มผู้ฝึกตนอาบแสงสว่างเจิดจรัสพุ่งทะยานสู่สมุทรมารไร้กำหนดเป็นครั้งคราว
ที่น่าเหลือเชื่อคือ ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มักจะเป็นตัวตนใต้ขอบเขตราชันแห่งภูมิ!
“ยามใดกันที่ใครก็สามารถมาสมุทรมารไร้กำหนดได้?”
ซูอี้ประหลาดใจ
จากประสบการณ์ในฐานะทัศนาจารย์ของเขา ตลอดกาลแต่เก่าก่อน สมุทรมารไร้กำหนด หนึ่งในเจ็ดพื้นที่ต้องห้ามแห่งจักรวาลพร่างดาวนี้มิมีผู้ใดเข้าถึง ยากจะเห็นร่องรอยผู้ฝึกตน
ทว่ายามนี้ มันแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อมาถึงหาดโดยแท้จริง มองปราดเดียวก็เห็นได้ว่าตลอดหาดคับคั่งด้วยผู้ฝึกตนหนาแน่น
ในหมู่พวกเขามีกระทั่งตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิปะปนอยู่!
ในขณะที่ซูอี้กำลังจะส่งเมิ่งฉางอวิ๋นไปสืบข่าวนั้นเอง จู่ ๆ เสียงประมือก็ดังมาไกล ๆ
ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิกำลังสู้กัน!