บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1314: ตัวการเบื้องหลังฉาก
ตอนที่ 1314: ตัวการเบื้องหลังฉาก
ใบหน้าของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมถมึงทึง ขณะจ้องมองไปยังซูอี้ด้วยแววตาราวจะกินเลือดกินเนื้อ
ทันใดนั้น นางก็กล่าวพลางยิ้ม “เจ้าเล่นตุกติก ดังนั้นข้าไม่บอกความจริงที่เจ้าอยากรู้หรอก”
ซูอี้แค่นเสียงหึ แล้วร่างของเขาก็หายวับไป
อึดใจต่อมา เงาดาบเวียนวัฏพลันฟาดฟันเข้าใส่หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิม
มีทองเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิม ก่อนที่จะฟาดฟันลงมาอย่างแรง
เคร้ง!
มีดดาบประชัน ประกายแสงพร่างพรม
ร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมถูกหวดกระเด็นไปอย่างแรง
อำนาจแห่งวัฏสงสารนั้นร้ายกาจเกินไป มันระเบิดออกจากปราณดาบ บดขยี้อำนาจมีดของนาง และทำให้นางได้รับผลกระทบตามไป
ใบหน้าจิ้มลิ้มของสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมซีดขาว วิญญาณแสบร้อนรวดร้าว
และก่อนที่นางจะทันได้ยืนตั้งหลัก ซูอี้ก็ลงมือโจมตีอีกหน
วจีดาบราวหนึ่งสายน้ำ ปราณดาบมืดมิดดำทมิฬ อำนาจน่าสะพรึงกลัวทำให้หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมมิกล้าหยอกเล่นอีก นางยกมือขึ้นโบกกระดูกสีขาวโพลนดุจหิมะชิ้นหนึ่งบนอากาศ
ตู้ม!
แสงเซียนส่องสว่างขึ้นมา ก่อนที่ร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมจะหายวับไป
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ
จากนั้นร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมปรากฏขึ้นห่างออกไปหลายพันจั้ง ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยสายตาเย็นชา “ไอ้หนู พบกันหนหน้า ป้าผู้นี้จะให้เจ้าได้ลิ้มรสอำนาจ!”
นางหันหลังเตรียมจากไป
ทว่าหนึ่งเศษสำริดพุ่งกระแทกเข้ามาดังเปรี้ยง สีหน้าของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมแปรเปลี่ยนเล็กน้อย โบกชิ้นกระดูกขาวโพลนในมือของนางอย่างแรงโดยไม่ลังเล
ร่างของนางถูกผลักกระเด็น
สองร่างฉวยโอกาสนี้พุ่งทะยานเข้าใส่หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมในทันใด
หนึ่งคือซูอี้ และอีกหนึ่งคือซงเฮ่อผู้พุ่งออกมาจากเศษสำริดชิ้นนั้น
ทว่าน่าแปลก เมื่อชิ้นกระดูกขาวในมือหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมระเบิดแสงเซียนออกมา ร่างของนางก็หายวับไปอีกครั้ง
การโจมตีของซูอี้และซงเฮ่อจึงพลาดเป้าไป
ทั้งสองล้วนขมวดคิ้ว ก่อนจะมองออกไปยังจุดเดียวกัน
ไกลออกไปภายใต้ท้องนภาอันมืดมิด ร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมปรากฏขึ้น
ใบหน้างดงามของนางซีดขาวบิดเบี้ยว
นางเกือบตายสองหนติด ทำให้ตอนนี้นางรู้สึกเดือดดาลยิ่ง
“จำไว้ให้ดี นามข้าคือหนิงอวี่ลั่ว ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งคู่ในสักวัน!”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมกล่าวด้วยน้ำเสียงดุจเค้นลอดไรฟัน เผยความชิงชังเข้ากระดูก
วิ้ง!
ชิ้นกระดูกสีขาวตรงหน้านางอาบย้อมด้วยแสงเซียน
ทว่ายามนี้ ซูอี้ยกมือขึ้นใช้ดาบไม้ไผ่เล่มหนึ่ง
ยาวเก้าจั้ง เป็นสีเขียวสด เรียวบางเยี่ยงหยก
ชื่อดาบนี้คือ ‘แขนงเหมันต์แพรกสาน’ สร้างขึ้นด้วยฝีมือปราชญ์หงอวิ๋นเอง
ยามนั้น ท้องนภาดูราวถูกแสงสีเขียวพร่างพรายฉีกผ่านเยี่ยงภาพมายา ย้อมรัตติกาลมืดมิดเป็นสีเขียวขจี
ทันทีที่ร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมเพิ่งลับหาย ดาบไม้ไผ่ก็ทะยานแหวกอากาศ
ตู้ม!
เพลิงแสงพร่างพรม อากาศในถิ่นนั้นพลันสลายไป
ทันใดจากนั้น เสียงกรีดร้องลั่นด้วยรวดร้าวพลันกึกก้อง ร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมโซเซออกมา ร่างของนางขาดครึ่ง โลหิตไหลนองเยี่ยงน้ำตก
แล้วร่างของนางก็สลายหายไปทันที
เหลือเพียงจิตวิญญาณของนางปรากฏบนอากาศ และชิ้นกระดูกขาวอันเปล่งแสงเซียนลอยอยู่ตรงหน้านาง
“นี่เทียบได้กับการโจมตีสุดแรงของยอดฝีมือขอบเขตรวมวิถีได้เลย!”
ซงเฮ่ออ้าปากค้าง หนาวเยือกทั้งกายใจ
เขาย่อมรู้ที่มาของดาบยันต์แขนงเหมันต์แพรกสานเล่มนี้ และเดิมที ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวไว้ว่าอำนาจของดาบนี้สามารถสังหารวิญญาณอาสัญเช่นเขาได้ง่าย ๆ!
ยามนี้ เมื่อประจักษ์ว่าดาบเล่มนี้ทำให้หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมเป็นเช่นไร ซงเฮ่อก็รู้ได้ทันทีว่าแขนงเหมันต์แพรกสานนี้หาเรียบง่ายเยี่ยงดาบยันต์ทั่วไปไม่!
“ยังไม่ตายหรือ?”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่ากระดูกขาวในมือหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมประหลาดพิสดารยิ่งนัก และสมบัติชิ้นนี้เองที่ช่วยชีวิตหญิงสาวไว้ในยามคับขัน
เมื่อเห็นว่าซูอี้กำลังจะลงมืออีกครั้ง หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมพลันกล่าวขึ้น “หากข้าพูดความจริง เจ้าจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”
นางเค้นเสียงขณะถือกระดูกขาวในมือ “หากเจ้าอยากตัดสินแตกหักจริง ๆ ข้าตายไป เจ้าก็จะมิได้อันใดเลย”
ซูอี้ว่า “ว่ามา”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ขุมกำลังเบื้องหลังข้าร่วมมือกับตาเฒ่าผู้หนึ่งที่เรียกตนว่าช่างเสื้อ และเขาเป็นผู้บอกข้าว่าขอเพียงมาที่เมืองหมื่นหลิวนี้ ข้าก็จะสามารถจับตัวร่างเวียนวัฏของเจ้า ทัศนาจารย์ได้แน่นอน”
ช่างเสื้อ!
ดวงตาของซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบอย่างเงียบ ๆ ไอ้แก่ชั่วนี่อีกแล้ว!
เขาถาม “แล้วเรื่องของเฒ่าเว่ย ช่างเสื้อก็เป็นผู้บอกเจ้าหรือ?”
“ถูกต้อง”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมว่า “ช่างเสื้อบอกว่าขอเพียงใช้นามเฒ่าเว่ยขาเดี้ยงเป็นเหยื่อล่อ ก็จะจับปลาใหญ่เช่นเจ้าได้แน่นอน มิต้องกลัวพลาดเป้าถูกหลอก”
ซูอี้ว่า “งั้นเขาบอกเจ้าหรือไม่ว่าเฒ่าเว่ยยังอยู่หรือตาย?”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมส่ายหน้า “เปล่า”
ซูอี้เข้าใจแล้ว สรุปคือแต่แรกเดิมที อีกฝ่ายหารู้ความเป็นความตายของเฒ่าเว่ยไม่ แต่ใช้เพียงเบาะแสของเฒ่าเว่ยมาจัดการกับเขา!
และช่างเสื้อต้องรู้เรื่องนี้จากปากเหยียนเต้าหลินอีกที
เพราะถึงอย่างไร เหยียนเต้าหลินก็เป็นผู้ช่วยชีวิตคู่บิดาธิดาเว่ยซาน และย่อมรู้ว่ามีหายนะใดเกิดขึ้นในแดนลับพร่างจินดา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของซูอี้ก็ผิดหวังเล็กน้อย ท้ายที่สุดเขาก็ยังมิอาจยืนยันได้ว่าเฒ่าเว่ยยังมีชีวิตหรือไม่
จะไม่ทำให้คนผิดหวังหงุดหงิดได้เช่นไร?
ต่อมา ซูอี้ก็ถามถึงที่มาของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิม
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมว่า “ข้ามาจากพรรคเซียนเร้นราตรี…”
ทันทีที่นางกล่าวถึงตรงนี้ กระดูกขาวในมือนางก็สะท้านสั่นรุนแรง ระเบิดแสงเซียนเจิดจรัส พาร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมหายไปในพริบตา
ยามนั้น ซูอี้สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าหญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมตะลึงเล็กน้อย กระทั่งนางก็มิคาดว่ากระดูกขาวจะแปรเปลี่ยนกะทันหัน!
“พรรคเซียนเร้นราตรี? ข้าว่าข้าเคยได้ยินมาก่อนนะ…”
ซงเฮ่อครุ่นคิด
ครู่ต่อมา เขาก็ตบหน้าผากตนฉาดใหญ่ “ที่แท้ก็ขุมกำลังมารนั่น! ไม่คาดเลยว่าพวกเขาจะยอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์เช่นกัน”
ท้ายที่สุด ซงเฮ่อก็ดูมืดมน
“พรรคนี้แข็งแกร่งมากหรือ?”
ซูอี้ถาม
“นานมาแล้ว มีขุมกำลังวิถีมารสามขุมกำลังหลักบนโลกหล้า และพรรคเซียนเร้นราตรีคือหนึ่งในนั้น มันเก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง มีผู้จุติสรวงเป็นเซียนอยู่มากมาย”
ซงเฮ่อกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเคยเป็นเจ้าสำนักใหญ่มาก่อน แต่เทียบกับพรรคเซียนเร้นราตรีแล้วก็เล็กจ้อยไปเลย ความแตกต่างมหาศาลเกินไป”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ “ทว่าในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ยิ่งเป็นกลุ่มเต๋าระดับสูงยิ่งรับผลกระทบสาหัส เหมือนเช่นวาจาของปราชญ์หงอวิ๋น ยามฟ้าถล่ม ผู้เสียหายที่สุดยืนสูงสุด”
“ครานั้น ผู้ฝึกเซียนจากพรรคเซียนเร้นราตรีบางส่วนตกตายด้วยหายนะ วิญญาณของพวกเขาแหลกสลาย ทั้งพรรคเสียหายยับเยิน ลือกันทั่วโลกหล้าว่าพรรคเซียนเร้นราตรีน่าจะสิ้นไปจากหล้าแล้ว”
“ทว่ายามนี้ ดูเหมือนว่ามหาอำนาจวิถีมารนี้จะรอดมาได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็กล่าวอย่างหาแยแสไม่ “ในเมื่อพวกเขาใกล้สิ้นสูญในยามนั้น ต่อให้มีผู้แข็งแกร่งบางส่วนเหลือรอด ก็เป็นเพียงกลุ่มวิญญาณอาสัญแล้ว”
ซงเฮ่อยิ้มเจื่อน
จริงของเขา ในสายตาของซูอี้ผู้ถือครองอำนาจแห่งวัฏสงสาร วิญญาณอาสัญทั้งมวลในโลกนั้นหาใช่ภัยคุกคามร้ายแรงไม่
“ทว่าวิญญาณอาสัญเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าผู้ใดยามยังมีชีวิต และบรรลุสารพัดวิชาปาฏิหาริย์ มิควรถูกดูแคลนประเมินต่ำ”
ซูอี้กระซิบ
เหมือนเช่นเมื่อครู่ เขาใช้สมบัติลับนาม ‘ไข่มุกจำแลงลักษณ์’ เพื่อสร้างร่างจำแลงเข้าสู่สวนสั่งตายแห่งนี้
เพราะเหตุนี้ เขาจึงโชคดีรอดจากการถูก ‘ค่ายกลโลกาถล่มภูผาฝังสมุทร’ ถาโถมใส่มาได้
หาไม่ หากเขาติดอยู่ในค่ายกลสังหารนี้ เกรงว่าคงต้องใช้อำนาจดาบเก้าคุมขังเอาตัวรอดเท่านั้น
ควรค่ากล่าวถึงว่าไข่มุกจำแลงลักษณ์นี้เป็นหนึ่งในสินสงครามจากรังของบัณฑิตผี และร่างจำแลงจากมันจะสามารถลวงฟ้าหลอกสมุทร จนตัวตนใดในขอบเขตจุติสรวงตรวจพบได้ยาก
“ใต้เท้าซู ในความเห็นข้า ช่วงเวลาต่อจากนี้ท่านควรอยู่เงียบ ๆ สักหน่อยขอรับ”
ซงเฮ่อกล่าวเตือนเสียงเบา “เพราะถึงอย่างไร การจะหลบหอกดาบในที่แจ้งนั้นง่าย ทว่ารับมือการลอบสังหารยามลับตานั้นยากเข็ญ ในโลกหล้าทุกวันนี้ ข้ามิอาจทราบได้เลยว่ามีผู้คนตามรอยท่านมามากมายเพียงไร”
ซูอี้ถามย้อน “เจ้าคิดว่าการหวนมาตุภูมิหนนี้ของข้าไม่เงียบหรือไร?”
ซงเฮ่อส่ายหน้า
“ผู้ที่จะมาก็จะมาอยู่ดี การหลับหูหลับตาหลบอยู่เงียบ ๆ หาใช่ครรลองของข้าไม่”
ดวงตาของซูอี้วูบไหวเย็นชา “ในทางกลับกัน ข้ารังเกียจศัตรูที่อยู่เฉยเสมอ ในเมื่อข้ารู้แล้วว่าช่างเสื้อเฒ่าเป็นตัวการเบื้องหลังฉาก ข้าย่อมมิอาจปล่อยไว้เช่นนั้นได้”
กล่าวถึงตรงนี้ จิตสังหารอันมิอาจสะกดกลั้นก็พวยพุ่งขึ้นในใจ
อย่าว่าแต่เรื่องในอดีต ช่วงปีที่ผ่านมานี้ ช่างเสื้อเฒ่าหลอกลอบโจมตีเขามากี่หนแล้ว?
ยามอยู่ในภูมิดาราฟ้าดิน อีกฝ่ายแนะยอดฝีมือจากยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวให้ร่วมมือสังหารเขา!
กระทั่งให้เหยียนเต้าหลินผู้เคยติดหนี้บุญคุณตนช่วยกันวางแผน ใช้ชิงหว่านและเทียนฉีมาเล่นงานเขา
นอกจากนั้น เซียนเสวี่ยหลิวผู้เคยสังหารเสิ่นมู่ยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับช่างเสื้อเฒ่าผู้นี้
และยามนี้ แรกหวนคืนมาตุภูมิเมืองหมื่นหลิว เขาก็พบการล้อมสังหารอันเกี่ยวเนื่องกับช่างเสื้อเฒ่าอีกหน ซูอี้หรือจะไม่หงุดหงิดคับแค้น?
การถูกกระทำฝ่ายเดียวมิเคยเป็นครรลองของเขา
หนนี้ เขาอยากเป็นฝ่ายเริ่ม!
“ดูเหมือนว่าถึงกาลต้องไปเยือนหลวงจีนคงจ้าวแห่งวัดสรรพสุญตาเสียแล้ว”
ซูอี้คิดอย่างเคร่งขรึม
วัดสรรพสุญตา แดนสุขาวดีในสายตาผู้ฝึกตนในพุทธศาสนา หนึ่งในพุทธสถานอันมิเป็นที่ล่วงรู้ในโลกหล้า
ที่แห่งนั้นมีหลวงจีนเฒ่ารูปหนึ่งผู้มีนามว่าคงจ้าว เป็นที่รู้จักในนาม ‘ธรรมการัน’ และเป็นหนึ่งในยอดฝีมือเร้นกายไม่กี่คน ณ จักรวาลพร่างดาว
และยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวตนแห่งโลกหล้าผู้สามารถทำให้ช่างเสื้อกลัวอยู่สามส่วน!
ยามนี้ เว่ยซานมาหาพร้อมชายชุดดำผู้ถูกซูอี้จับได้เมื่อกาลก่อน
“นายน้อย ปล่อยคนหรือไม่ขอรับ?”
เว่ยซานถาม
ชายชุดดำกล่าวเสียงสั่น “ใต้เท้าทัศนาจารย์ ท่านรับปากจะปล่อยข้าไป”
ซูอี้พยักหน้าพลางโบกมือ “ปล่อยเขาไป”
เว่ยซานโบกมือ โยนร่างชายชุดดำออกไป
“ขอบคุณใต้เท้าทัศนาจารย์! ขอบคุณใต้เท้าทัศนาจารย์!”
ชายชุดดำรู้สึกยินดี กล่าวขอบคุณซ้ำ ๆ อย่างซาบซึ้ง ก่อนจะรีบแจ้นหายไปอย่างรีบร้อน
“ใต้เท้าซู เหตุใดจึงปล่อยเขาไปหรือขอรับ?”
ซงเฮ่องุนงง
เว่ยซานกล่าวยิ้ม ๆ “นี่แหละอุปนิสัยนายน้อยของข้า เขาจะกระทำตามวาจามิบิดพลิ้ว”
หัวใจของซงเฮ่อรู้สึกทึ่งยิ่ง
บนวิถีแห่งการฝึกฝน หัวใจคนยากแท้หยั่งถึง หายากยิ่งจะพานพบผู้คงเส้นคงวาแต่ต้นจนจบ
เมื่อคิดเช่นนี้ ซงเฮ่อก็อดประคองกำปั้นกล่าวอย่างชื่นชมมิได้ “ผู้น้อยได้รับการสอนสั่งแล้ว”
คราแรก เขาไม่ได้นับถือซูอี้มากนัก
เหตุที่เขาติดตามรับใช้ซูอี้ก็เพื่อให้ซูอี้ทำลายอำนาจคำสาปบนร่างของเขาในอนาคตเพียงเท่านั้น
ทว่ายามนี้ ทัศนคติของเขาที่มีต่อซูอี้ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างเงียบงัน
ซูอี้ไหนเลยจะสนใจ
เขาออกคำสั่ง “เจ้าเว่ยน้อย ไปเก็บสินสงครามมา ต่อจากนี้เราจะไปวัดสรรพสุญตากัน”
ในอดีต ทัศนาจารย์นั้นสามารถทำให้ช่างเสื้อเฒ่าเอาแต่ซ่อนในเงามืด ไม่กล้าโผล่หัวออกมาได้
และยามนี้ หากซูอี้ไม่แสดงฝีมือสักหน่อยก็คงโง่เง่าเกินไป!
………………..