บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1319: ล้อมโจมตีทุกทิศทาง หนึ่งดาบประชันหมู่อริ
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1319: ล้อมโจมตีทุกทิศทาง หนึ่งดาบประชันหมู่อริ
ตอนที่ 1319: ล้อมโจมตีทุกทิศทาง หนึ่งดาบประชันหมู่อริ
วัดสรรพสุญตานั้นตั้งอยู่ในทะเลทราย
ยามนี้ หมอกมารแผ่ออกมาทั่วฟ้าดิน แว่วอสนีบาตสีเลือดแล่นแปลบปลาบ
บรรยากาศชั่วร้ายแผ่มาจากทั่วสารทิศเยี่ยงน้ำหลาก!
วัดสรรพสุญตาตั้งอยู่อย่างเดียวดายเยี่ยงเกาะน้อยท่ามกลางทะเลคลั่ง อสนีบาตคลั่งคำราม เส้นแสงสีชาดวูบไหวกะพริบพราย
ตัวตนกลุ่มหนึ่งล้อมเข้ามาจากทุกทิศทาง
มีหนึ่งวิหคร้ายขนาดหลายพันจั้ง ปีกสยายกว้างแบกร่างผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น
มีปราณดาบเจิดจรัสสายหนึ่งทอดยาวเยี่ยงสายรุ้งสู่เวหา นักดาบกลุ่มหนึ่งในชุดคลุมขนนกถือดาบวิถีทะยานหาว
หนึ่งคชสารหยกที่มีขนาดใหญ่โตเยี่ยงขุนเขา เหยียบย่างบนสุญญะ และกลุ่มผู้ฝึกตนปีศาจก็ปรากฏขึ้นเยี่ยงเทพเถื่อน ปราณปีศาจในแต่ละผู้ร้ายกาจสะเทือนพสุธา
นอกจากนั้นยังมีตัวตนน่าหวาดหวั่นปรากฏขึ้นอีกมากมาย ทั้งปรากฏเหนือเมฆสายฟ้าบ้าคลั่ง ยืนตามที่ต่าง ๆ และมองมายังวัดสรรพสุญตาบนพื้นเป็นตาเดียว
มองปราดแรก ยอดฝีมือเหล่านั้นหนาแน่นเยี่ยงป่าไม้ปกคลุมทั่วหล้า!
“ผู้ฝึกตนวิถีปีศาจ ผู้ฝึกตนวิถีมาร สำนักคนทรง นักดาบ ผู้ฝึกฌาน ผู้ฝึกผี… สวรรค์ การรวมตัวเช่นนี้มิน่ากลัวไปหน่อยหรือ?”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทัศนาจารย์จะยังมีโอกาสรอดหรือไร?”
“ช่างเถิด คงดีกว่าหากเราจะถอยออกไปก่อน เหตุยุ่งยากนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราเข้าไปยุ่งได้แม้แต่น้อย หากพัวพันแม้เพียงนิด ชีวิตก็หาไม่!”
ตัวตนบางผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิวางแผนดูเรื่องสนุกยามได้ยินข่าว
ทว่ายามได้เห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ทั้งกายและจิตของพวกเขาต่างหนาวเยือกจนต้องอพยพโดยเร็วที่สุด มิกล้าอยู่ต่ออีก
กระทั่งตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิเหล่านั้นยังตัวสั่น สีหน้าของพวกเขาต่างเคร่งขรึมจริงจัง
ตัวตนอันเป็นแก่น ณ ที่นี้คือวิญญาณอาสัญ!
วิญญาณอาสัญเหล่านั้นมีหลายพันตน แข็งแกร่งกดดันไร้ขอบเขต
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นวิญญาณอาสัญไร้เชาว์ซึ่งถูกวิญญาณอาสัญทรงปัญญาควบคุม
ทว่าวิญญาณอาสัญไร้เชาว์เหล่านั้นก็มีปราณอันแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่น ผู้อ่อนแอที่สุดสามารถสังหารราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงได้!
และตนที่แข็งแกร่งก็เทียบได้กับตัวตนขอบเขตไร้ขีดจำกัดในโลกหล้า
“ว่าแล้วเชียว ยุคสมัยแปรเปลี่ยน และวิญญาณอาสัญเหล่านั้นก็ปรากฏตัวสู่หล้า!”
ตัวตนอาวุโสบางผู้ตื่นกลัว กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ภาพเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดกาล!
ในความรู้ความเข้าใจของโลกหล้า วิญญาณอาสัญนั้นกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ต้องห้ามเช่นเขตหวงห้ามเซียนละล่องและสมุทรมารไร้กำหนด
ทว่ายามนี้ ผู้คนพบแล้วว่าวิญญาณอาสัญผู้รอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์เหล่านี้ปรากฏตัวสู่โลกหล้าได้!
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป โลกหล้าจะเกิดเสียงฮือฮาจนส่งผลผลกระทบไปทั่วจักรวาลพร่างดาวเป็นแน่!
“หากข้าควบคุมกองทัพวิญญาณอาสัญเช่นนี้ได้ ข้าก็คงสามารถโจมตีเมือง และกวาดล้างภูมิดาราได้ง่าย ๆ!”
บางคนกระซิบ
ลองคิดดู วิญญาณอาสัญนับพันที่เทียบได้กับราชันแห่งภูมิ หากลงมืออย่างพร้อมเพรียง ผู้ใดเล่าในจักรวาลพร่างดาวจะรับมือไหว?
เพียงคิดก็หนาวแล้ว
“ครานี้ หากมิใช่เพราะร่องรอยของทัศนาจารย์ถูกเปิดเผยว่าอยู่ในวัดสรรพสุญตา ใครเล่าจะรู้ว่าพลังของวิญญาณอาสัญจะน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้?”
บางคนรำพึง
ชั่วกาลช่วงนี้ ทั่วจักรวาลพร่างดาวปั่นป่วนด้วยหลากหลายเหตุการณ์ เรื่องเกี่ยวกับวาสนาแห่งเซียนบนวิถีจุติสรวงงอกเงยเยี่ยงดอกเห็ด กลายเป็นประเด็นร้อนที่สุดในโลกหล้า
ทว่าตัวตนผู้เคยพบกับวิญญาณอาสัญมาจริง ๆ นั้นเป็นเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น
ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในโลกหล้าต่างไร้โอกาสได้สัมผัสกับเรื่องราวของวิญญาณอาสัญ
ทว่ายามนี้ ทุกคนล้วนตระหนักแล้วว่าเมื่อวิญญาณอาสัญเหล่านั้นพากันปรากฏตัว โลกในภายหน้าย่อมตกสู่กลียุค วุ่นวายกว่าหนใด!
“ไม่ใช่ว่ามีข่าวลือหรือว่าอำนาจวัฏสงสารในมือทัศนาจารย์เป็นคู่ปรับทางธรรมชาติกับวิญญาณอาสัญเหล่านี้ หากคิดดูแล้ว ทัศนาจารย์จะสามารถพลิกสถานการณ์ต่อจากนี้ได้หรือไม่?”
บางผู้กระซิบ
“อย่ามัวรอภายหน้า วันนี้ทัศนาจารย์จะรอดหรือไม่ยังมิอาจทราบ”
บางผู้กล่าวอย่างกระวนกระวาย “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคน และกล่าวกันว่าเขามีการฝึกฝนเพียงขอบเขตคืนสู่สามัญ ถึงจะแข็งแกร่งท้าทายสวรรค์ แต่ก็ยังห่างไกลวิถีจุติสรวงมากนัก”
ทุกคนล้วนเงียบเสียง
ยิ่งกว่านั้นยังลือกันว่าทัศนาจารย์ได้กลายเป็นเหยื่อในสายตาวิญญาณอาสัญทั้งมวลบนโลกไปแล้ว!
“อนิจจา การหวนคืนของวิถีจุติสรวงสู่โลกหล้าควรเป็นโอกาสงามยิ่งกว่าหนใด และเป็นวาสนาสู่เซียนซึ่งเหล่าผู้ฝึกตนเช่นเราเฝ้าฝัน ทว่าใครเล่าจะคิดว่าจะมีปัญหา กลียุคและอันตรายมากมายเพียงนี้ตามมาด้วย…”
ผู้คนกล้าเพียงมองจากไกล ๆ หาได้กล้าเฉียดกรายไปใกล้ไม่
ทันใดนั้น เสียงเย็นชาก็ดังก้องขึ้นทั่วฟ้าดิน
“ทัศนาจารย์อยู่หนใด? เสียงดังเอิกเกริกเพียงนี้ยังมิออกมา หูหนวกหรือไร?”
เสียงนั้นสนั่นเยี่ยงสายฟ้าฟาดและกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
ใบหน้าของหลายคนถึงกับเปลี่ยนสี
เมื่อมองขึ้นไปก็พบว่า ไกลออกไปบนอากาศ ชายชราชุดดำผู้มีบรรยากาศน่าหวาดหวั่นผู้หนึ่งยืนอยู่บนคชสารหยกขาว
ชายชราชุดดำผู้นั้นเปี่ยมปราณปีศาจเยี่ยงเทพปีศาจ
นี่คือวิญญาณอาสัญผู้ทรงปัญญา และต้องเป็นจอมปีศาจผู้มีอำนาจล้นฟ้าก่อนสิ้นใจแน่!
“หากเจ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าจะถล่มที่นี่ บีบให้เจ้าออกมา!”
บนรุ้งสายยาวที่แปรเปลี่ยนจากปราณดาบสีทอง นักดาบในอาภรณ์ขนนกผู้หนึ่งประกาศอย่างเฉยชา น้ำเสียงคมกริบเยี่ยงวจีดาบ จิตสังหารร้ายแรงเขย่าโลกหล้า
“สหายเต๋าทุกท่านอย่าได้ใจร้อนไป ทัศนาจารย์ผู้นั้นคงไม่เคยได้เผชิญกับศึกใหญ่เพียงนี้ คงกลัวเกินกว่าจะออกมาในขณะนี้แหละ”
สตรีชุดแดงผู้หนึ่งซึ่งยืนบนเมฆากล่าวพลางยิ้ม
นางปกคลุมด้วยสายฟ้าสีเลือด เพลิงมารเหนือศีรษะพลุ่งพล่านแผดเผา เห็นได้ชัดว่าเป็นวิญญาณอาสัญจากวิถีมาร
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ให้ข้าโน้มน้าวทัศนาจารย์เถิด หากทำให้เขาเข้าใจเรื่องแห่งกาลเวลาและก้มหัวรับความพ่ายแพ้ได้คงดีที่สุด”
ทันใดนั้น ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดผู้หนึ่งยืนขึ้นและทะยานสู่วัดสรรพสุญตา
“ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักอาคมวารีสวรรค์ ลวี่ปู้กุย”
ผู้คนจำฐานะของราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดผู้นั้นได้ และอดส่งเสียงฮือฮามิได้
“เจ้าเฒ่านี่ร่วมมือกับวิญญาณอาสัญแล้ว มิน่าเล่าจึงกล้ามาเกลี้ยกล่อมทัศนาจารย์ให้ก้มหัวอย่างไร้ความกลัว”
บางผู้กระซิบ
หลายคนมีสีหน้าซับซ้อน หากเป็นในอดีต ตัวตนเช่นลวี่ปู้กุยหรือจะกล้าทำตัวเหิมเกริมต่อหน้าทัศนาจารย์?
ยามนี้ ทุกสายตาจ้องมองร่างของลวี่ปู้กุยซึ่งมาถึงนอกวัดสรรพสุญตา
เขาดูผ่อนคลายอย่างยิ่ง ทว่าแท้จริงกำลังระวังตัวแจ เขากระแอมให้คอโล่งและกล่าวว่า “ทัศนาจารย์เอ๋ย สถานการณ์ในโลกภายนอก ข้าว่าเจ้าคงได้เห็นทุกอย่างกับตาหมดแล้ว ฟังคำเกลี้ยกล่อมของคนแซ่ลวี่เถิด เจ้าหลีกหายนะนี้มิพ้นหรอก คงดีกว่าหาก…”
ยังพูดมิทันจบ ปราณดาบสายหนึ่งก็พุ่งออกจากวัดสรรพสุญตา
ท้องนภาเจิดจรัสเยี่ยงรุ่งสาง ตะวันสาดแสงทั่วทศทิศ
สีหน้าของลวี่ปู้กุยแปรเปลี่ยนฉับพลัน หันหลังเผ่นหนี
ตู้ม!
ปราณดาบทะยานลง ร่างของลวี่ปู้กุยแหลก จิตวิญญาณสลาย
ผืนปฐพีถูกผ่าเป็นเหวแคบ ๆ ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
ผู้ชมต่างเงียบสนิทไร้วจี
ไม่มีผู้ใดคิดว่าราชันแห่งภูมิที่ทรงพลังในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเช่นลวี่ปู้กุยจะไม่อาจรับดาบเดียวได้ และถูกสังหารดับดิ้นคาที่!
ที่ประตูวัดสรรพสุญตายามนี้ ซูอี้ในอาภรณ์สีเขียวเดินมือไพล่หลังออกมาลำพัง
“ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ ไม่เห็นจำเป็นต้องส่งออกมาตายแม้แต่น้อย”
สายตาของซูอี้กวาดมองทั่วทิศ ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
ทุกผู้มองหน้ากัน
แม้พวกเขาจะล้อมโจมตีจากทุกทิศทาง ทว่าทัศนาจารย์ก็ยังวางท่าอหังการ!
“เจ้าคือซูอี้ผู้ถูกเรียกว่าทัศนาจารย์หรือไม่? ยังหนุ่มอยู่จริง ๆ ด้วย”
สตรีชุดแดงเหนือเมฆาท่ามกลางสายฟ้าสีเลือดกล่าวยิ้ม ๆ “อย่าห่วงไป ข้ามิได้มาด้วยเจตนาร้าย แต่เพื่อแลกเปลี่ยนกับเจ้า”
กล่าวจบ นางก็ยกมือโยนบางอย่าง
ตู้ม!
กล่องสำริดขนาดยักษ์ร่วงลงสู่พื้น
“ในกล่องนี้มีศิลาวิญญาณในขอบเขตจุติสรวงสามร้อยชิ้น มรดกพลังขอบเขตจุติสรวงเก้าอย่าง และนอกจากนั้นยังมีโอสถทิพย์จุติสรวงอยู่อีกสิบประเภท”
สตรีชุดแดงกล่าวยิ้ม ๆ “ขอเพียงเจ้าทำสิ่งหนึ่งให้ข้า สมบัติเหล่านี้ทั้งหมดเป็นของเจ้า”
โลกหล้าเกิดเสียงฮือฮา
พวกเขาล้วนตะลึงกับพฤติกรรมของสตรีชุดแดง
“นอกจากนั้น ข้าฉินหงอวี้ประกันได้ว่าภายหน้าจะไม่มาตามรังควานสร้างปัญหาให้เจ้าอีก”
เมื่อสตรีชุดแดงกล่าวเช่นนี้ นางก็กล่าวพลางแย้มยิ้ม “ข้าเชื่อว่าสหายเต๋าซูคงสัมผัสความจริงใจจากข้าได้แล้ว เจ้าคิดเช่นไร?”
“เราทั้งหลายล้วนเคยได้ยินถึงเรื่องที่พรรคเซียนเร้นราตรีประสบมา หากเป็นไปได้ ข้าก็มิอยากเลือกประมือกับสหายเต๋าตรง ๆ หรอก”
บนรุ้งปราณดาบทอง นักพรตเต๋าวัยกลางคนในชุดคลุมขนนกกล่าวเสียงราบเรียบ “เช่นนี้เป็นไร เจ้าช่วยข้าหนึ่งอย่าง และข้าจะมอบคัมภีร์ดาบในขอบเขตจุติสรวงให้เจ้าหนึ่งเล่ม เพียงพอให้เจ้าฝึกฝนสู่ขอบเขตจุติมงคลได้ และมีโอกาสใช้ดาบเปิดประตูสวรรค์ทะยานสู่เซียนในภายหน้าได้อีกด้วย”
ตัวตนร้ายกาจอื่น ๆ ต่างก็ปริปากออกมาแจงเงื่อนไขคนแล้วคนเล่า
บ้างให้มรดก บ้างให้วัตถุดิบฝึกฝน และบ้างรับปากมิเป็นศัตรูกับซูอี้ในภายหน้า ต่าง ๆ นานากันไป
เรื่องน่าตกใจที่สุดคือฝั่งสำนักอาคมวารีสวรรค์ มีวิญญาณอาสัญกล่าวออกมาด้วยว่าหากซูอี้เต็มใจร่วมมือ เขาจะเมินเรื่องที่ลวี่ปู้กุยถูกฆ่าไป…
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนซึ่งมองอยู่ประหลาดใจนัก
มันยังทำให้พวกเขาตระหนักถึงเหตุที่วิญญาณอาสัญเหล่านี้ยกพวกกันมาอย่างใหญ่โต ทว่ากลับเป็นฝ่ายเจรจายกข้อเสนออันเย้ายวนใจมากมาย มันเป็นเพราะพวกเขาเองก็กลัวทัศนาจารย์เช่นกัน!
“ว่าแล้วเชียว อำนาจแห่งวัฏสงสารทำให้วิญญาณอาสัญเหล่านั้นทั้งรักและกลัว!”
หลายผู้ลอบรำพัน
ยามนี้ ซูอี้ก้าวหนึ่งก้าวสู่อากาศ ก่อนจะกล่าวว่า “หากต้องการให้ข้าช่วยก็ย่อมได้ ข้ามีเพียงคำขอเดียว”
ทันใดนั้น เหล่าวิญญาณอาสัญผู้ร้ายกาจต่างหูผึ่ง
“การเจรจาเป็นเรื่องดีกว่าสู้รบฆ่าฟัน สหายเต๋าโปรดว่ามา”
ฉิงหงอวี้กล่าวยิ้ม ๆ
ซูอี้ชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง “สู้กับข้าตัวต่อตัว หากชนะ ข้าจะช่วยเจ้าทำลายคำสาปบนร่างให้ หากแพ้ ทิ้งสมบัติบนตัวเจ้าไว้แล้วจากไปทันที ถือว่าเลิกแล้วต่อกันไป”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าวออกไป เสียงเซ็งแซ่ก็บังเกิด
ไม่มีผู้ใดคาดฝันว่าทัศนาจารย์จะไปต่อสู้กับวิญญาณอาสัญผู้แข็งแกร่งเหนือชั้นกว่าราชันแห่งภูมิทั้งมวล!
“ฮึ! เข้าใจแล้วว่าเจ้าหาบริสุทธิ์ใจไม่!”
ชายร่างสูงดุจยักษ์ปักหลั่นผู้หนึ่งกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าควบคุมพลังแห่งวัฏสงสาร มีอำนาจเหนือพวกข้าอยู่แล้ว สู้ตัวต่อตัวไม่ยุติธรรมเกินไป!”
เหล่าวิญญาณอาสัญต่างเห็นพ้อง
หากไม่ใช่เพราะซูอี้ควบคุมพลังแห่งวัฏสงสาร ด้วยการฝึกฝนปัจจุบันของซูอี้คงไม่อยู่ในสายตาพวกเขาแม้แต่น้อย
“หลวงจีนผู้นี้ขำจะตายแล้ว สหายทัศนาจารย์ของข้าเพิ่งฝึกฝนถึงขอบเขตคืนสู่สามัญ แล้วพวกเจ้าเล่า แต่ละคนล้วนเหนือล้ำกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิ ยังมาพูดเรื่องความยุติธรรมอีกหรือ? มิอาจหรือที่พูดเช่นนั้นออกมา?”
หลวงจีนคงจ้าวเดินออกมาจากวัด กล่าวเย้ยหยันพวกเขาทั้งมวล
นี่ทำให้สีหน้าของวิญญาณอาสัญทั้งหลายบูดบึ้งเล็กน้อย
ขณะนี้ ซูอี้กล่าวขึ้น “อย่าห่วงไป ข้าจะไม่ใช้พลังแห่งวัฏสงสาร ทุกคนที่นี่เป็นพยานได้”
หนึ่งศิลาก่อคลื่นนับพัน เหล่าผู้ชมต่างฮือฮาสะเทือนใจ
วิญญาณอาสัญเหล่านั้นล้วนอดตะลึงมิได้ แทบไม่เชื่อหูตน