บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1360: สามคำตอบของช่างเสื้อ
ตอนที่ 1360: สามคำตอบของช่างเสื้อ
………………..
ตอนที่ 1360: สามคำตอบของช่างเสื้อ
“ชักสนุกแล้วสิ” ซูอี้พูดกับตัวเอง
เขาเข้าใจแล้วว่าหลังจากที่หลอมรวมกรรมวิถีของเสิ่นมู่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ความทรงจำและความรู้สึกของเสิ่นมู่กำลังส่งผลกระทบต่อภาวะจิตของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลบเลี่ยงและตัดถอนออกไปได้
เพราะเขากับเสิ่นมู่ เดิมทีแล้วก็เป็นคนคนเดียวกัน!
“ข้าจะมองว่าสิ่งนี้เป็นจิตมาร วันใดที่เขาสังหารเสวี่ยหลิว วันนั้นก็จะเป็นวันที่ถอนรากถอนโคนจิตมาร!”
แววตาของซูอี้ลุ่มลึก ไร้ซึ่งความร้อนรนกระวนกระวาย
เขามีประสบการณ์จากการหลอมรวมพลังกรรมวิถีของทัศนาจารย์แล้ว เวลาที่ซูอี้ได้หลอมรวมพลังกรรมวิถีจึงสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย
และก็เป็นไปตามที่คาดหมาย จิตมารนี้สามารถปะทุขึ้นได้ทุกเวลา ทั้งยังมีผลกระทบไปถึงความตั้งใจของเขาด้วย
ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว มันถือเป็นการฝึกฝนที่ประสบพบเจอได้ไม่ง่าย!
“ไม่เสียดายที่ชาติก่อนข้าไม่ได้เจอ แต่เสียดายที่ชาติก่อนไม่รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของใจข้า”
ขณะที่ซูอี้ครุ่นคิด เขาก็เริ่มลำดับขั้นการฝึกตนของเสิ่นมู่ไปด้วย
สำหรับเขาแล้ว พลังกรรมวิถีของเสิ่นมู่มีข้อดีที่สามารถนำมาใช้ได้
ยกตัวอย่างเช่น พรสวรรค์ ฝีมือ รวมถึงความเข้าใจในวิถีดาบของเสิ่นมู่ล้วนตกเป็นของเขาทั้งสิ้น!
นอกจากนี้แล้วที่ซูอี้รู้สึกตื่นตระหนกมากก็คือ ในความทรงจำของเสิ่นมู่มีคัมภีร์โบราณที่หาพบได้ยากเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงแต่มีคัมภีร์วิถีสืบทอดมานานเท่านั้น ยังมีตำราที่เกี่ยวกับการฝึกตนอยู่มากมาย รวมไปถึงคัมภีร์ที่ปราชญ์แต่งขึ้นเมื่อในอดีต พวกมันมีเนื้อหาที่หลากหลายและอาจกล่าวได้ว่ครอบคลุมทุกด้าน เพียบพร้อมทุกกระบวนความ
และบัดนี้ หลังจากที่ซูอี้จัดลำดับคัมภีร์โบราณที่เสิ่นมู่เคยร่ำเรียนมาเหล่านี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มันก็ถูกหลอมรวมเข้าสู่ความทรงจำของเขา
และในเวลานี้เช่นกัน ซูอี้ก็เข้าใจเกี่ยวกับหลาย ๆ เรื่อง
ศักราชแห่งมารไม่ได้มีอยู่ในโลกปัจจุบัน แต่ดำรงอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ซึ่งควบคู่ไปกับโลกปัจจุบัน!
หากเปรียบกาลเวลาดั่งแม่น้ำ
ความสัมพันธ์ระหว่างศักราชแห่งมารกับโลกปัจจุบันเปรียบได้กับลำธารสองเส้นที่แยกตัวจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา
ในศักราชแห่งมาร สายวิถีที่แข็งแกร่งที่สุดคือวิถีมาร!
เพียงแต่ต่างไปจากวิถีมารของโลกปัจจุบัน การสืบทอดวิถีมารของศักราชแห่งมารนั้นถูกพัฒนาจนกลายเป็นอารยธรรมการฝึกตนไปแล้ว!
ในศักราชแห่งมาร มีหนทางแห่งจุติสรวงอยู่เช่นกัน รวมทั้งยังมีหนทางสู่เซียนจุติสรวง มีโลกฝึกตนนับไม่ถ้วน รวมไปถึงชนเผ่าต่าง ๆ เป็นจำนวนร้อยล้าน
ดังเช่นวงศ์ตระกูลที่เสิ่นมู่อาศัยอยู่ก็เป็นหนึ่งในขุมกำลังซึ่งมีความเก่าแก่ที่สุดในศักราชแห่งมาร มหาวิถีที่สืบทอดนั้นมีความเกี่ยวข้องกับวิถีมารด้วยเช่นกัน
สำนักมารหกโลกีย์ถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน ‘สามมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ ของศักราชแห่งมาร
สำหรับซูอี้แล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้และไม่เคยเข้าใจมาก่อน
ในขณะที่ย้อนความทรงจำเพื่อทบทวนเนื้อหาของตำราคัมภีร์เหล่านั้น ซูอี้ก็รู้สึกราวกับโลกทัศน์ถูกเปิดกว้าง ได้พบกับในสิ่งแปลกใหม่
“ตอนที่อยู่ภูมิดาราฟ้าดิน ฉินชงซูผู้มาจากยุคมายาเดินทางมาโดยข้ามผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลา เมื่อไปถึงภูมิดาราฟ้าดิน เขาได้ทำลายหนทางสู่สวรรค์ของภูมิดาราฟ้าดินไปด้วย”
“และจากบันทึกคัมภีร์โบราณในความทรงจำของเสิ่นมู่ มีเพียงเซียนระดับสุดยอดส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจอาศัยพลังของวัตถุต้องห้ามบางอย่าง จึงจะสามารถข้ามแม่น้ำแห่งกาลเวลาและถ่ายทอดพลังของตัวเองไปสู่อีกมิติเวลาหนึ่งได้”
“เช่นนี้ก็หมายความว่าร่างเดิมของฉินชงซูไม่ใช่เซียนในยุคมายาเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นเซียนที่อยู่ในระดับขั้นสุดยอดที่สุด”
“ไม่ก็ต้องเป็นผู้ที่ครอบครองวัตถุต้องห้ามบางอย่าง ในตอนนั้นจึงสามารถข้ามผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลามาได้ และถ่ายทอดพลังไปยังภูมิดาราฟ้าดิน”
“ส่วนเสวี่ยหลิวนั่นก็คงจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว ซูอี้ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หากว่าเสวี่ยวหลิวเป็นเซียนไปแล้ว คงจัดการลำบาก
ทว่าซูอี้ไม่ได้สนใจ
อารยธรรมที่แตกต่างกันล้วนมีแม่น้ำแห่งกาลเวลาเป็นตัวคั่น
ตอนที่อยู่ในสันเขาอีกา ขณะที่เสี้ยวจิตส่วนหนึ่งของเสวี่ยหลิวปรากฏขึ้น นางก็ทำได้เพียงแค่ฝังตัวอยู่ในร่างของเทียนฉีเท่านั้น
เห็นได้ว่าถึงแม้เสวี่ยหลิวอยากจะสังหารเขาเสียเหลือเกิน ทว่าอยู่กันคนละมิติ คนละแม่น้ำแห่งกาลเวลา นางก็ไม่อาจจะทำอะไรได้
และทำได้เพียงแค่ขอความช่วยเหลือจากช่างเสื้อเท่านั้น!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซูอี้ก็เกิดความคิดบางอย่าง พอเขาพลิกฝ่ามือ หยกแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
หยกแผ่นนี้ถูกสลักขึ้นด้วยฝีมือของช่างเสื้อ ชาวประมงเฒ่าเป็นผู้มอบให้กับตัวเองระหว่างการต่อสู้ ณ แท่นนภาม่วง ในแผ่นหยกสลักคำตอบบางอย่างที่ซูอี้ต้องการจะรู้
ซูอี้แยกจิตสัมผัสส่วนหนึ่งออกมาและเริ่มอ่านแผ่นหยก
ภายในแผ่นหยก ช่างเสื้อให้คำตอบเอาไว้สามคำถาม
ทว่าเมื่ออ่านคำตอบของคำถามแรก ซูอี้ก็ขมวดคิ้ว สายตาเย็นยะเยือกขึ้นมา
ตามที่ช่างเสื้อกล่าว มือลึกลับกลุ่มนั้นที่ทำลาย ‘แดนลับพร่างจินดา’ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของทัศนาจารย์ในตอนนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลอวิ๋น ซึ่งเป็นตระกูลโบราณอารักษ์วิถี!
นี่เป็นคำตอบที่ซูอี้ไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อย
หกตระกูลโบราณอารักษ์วิถี ได้แก่ ตระกูลโจว ตระกูลจง ตระกูลเหวิน ตระกูลซูเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ ตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนคราม และตระกูลอวิ๋น
ในจำนวนนี้ ตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีทำตัวลึกลับที่สุด น้อยนักที่พวกเขาจะข้องเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ในโลก
แม้กระทั่งการต่อสู้ ณ แท่นนภาม่วงในครั้งนี้ ตระกูลอวิ๋นก็ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เมื่อนานมาแล้ว มีข่าวลือหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วว่าบรรพบุรุษของตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีเป็นถึงคนรุ่นหลังของเซียนแท้ที่มีความสูงศักดิ์อย่างล้นพ้น!
และก็ยังลือด้วยว่ารากฐานของตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีสามารถไล่ย้อนไปถึงช่วงเวลาก่อนบรรพกาล บรรพบุรุษเป็นเซียนอยู่หลายคน วงศ์ตระกูลของพวกเขามีความเก่าแก่กว่าตระกูลโบราณอารักษ์วิถีตระกูลอื่น ๆ มาก!
ทว่าซูอี้คิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังคิดไม่ออกว่าทัศนาจารย์เคยไปมีความแค้นกับตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีตั้งแต่เมื่อใด
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่าตลอดชีวิตที่ถือดาบตะลุยทั่วใต้หล้าของทัศนาจารย์ ไม่เคยคบค้าสมาคมกับตระกูลอวิ๋นมาก่อน เรื่องบุญคุณความแค้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“หรือว่าช่างเสื้อจงใจจะใส่ร้ายตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถี?”
สายตาของซูอี้เกิดประกาย
ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ได้แต่ส่ายหน้า
เขารู้จักช่างเสื้อดี ถึงแม้คนเจ้าเล่ห์อย่างช่างเสื้อจะมากมายด้วยกลอุบาย แต่ก็ไม่ใช่คนกลัวแพ้
ส่วนเรื่องนี้ ในเมื่อเขายอมรับความพ่ายแพ้ ก็ไม่น่าจะสร้างเรื่องอันใดขึ้นมาอีก
เมื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไปทีหนึ่ง ซูอี้ก็อ่านคำตอบข้อที่สองต่อ
คำตอบข้อที่สองเกี่ยวข้องกับเบาะแสของเฒ่าเว่ยขาเดี้ยง
สิ่งที่ทำให้ซูอี้ต้องขมวดคิ้วก็คือเป็นตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีเช่นกันที่จับตัวเฒ่าเว่ยขาเดี้ยงไปในตอนนั้น!
“ดูท่าแล้ว ข้าคงจะต้องไปตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีสักครั้งเสียแล้ว!”
แววตาของซูอี้เกิดประกายเย็นวาบ
ถึงแม้เขาจะเดาสาเหตุเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไม่ออก ทว่าขอเพียงได้ไปดูสักครั้ง ความจริงก็จะปรากฏออกมาเอง!
ส่วนคำตอบข้อที่สามเกี่ยวข้องกับเสวี่ยหลิว
ตามที่ช่างเสื้อบอกมา เขาคืออาจารย์อาของเสวี่ยหลิว!
ช่างเสื้อเฒ่ามาจากศักราชแห่งมารเช่นนั้นหรือ?
เรื่องนี้เกินความคาดหมายเสียเหลือเกิน
“ไม่ใช่สิ ตามบันทึกคัมภีร์โบราณประจำตระกูลของเสิ่นมู่ หากต้องการจะข้ามแม่น้ำแห่งกาลเวลา จะต้องมีระดับวิถีของเซียนหรือไม่ก็ต้องครอบครองวัตถุต้องห้ามบางอย่าง”
“แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงแค่ถ่ายทอดพลังของตัวเองสู่โลกปัจจุบันนี้เท่านั้น ร่างเดิมไม่อาจมาได้”
“หรือว่าช่างเสื้อในโลกปัจจุบันจะเป็นเพียงแค่ร่างจำแลงเท่านั้น”
เมื่อเขานึกถึงตรงนี้แล้ว เหมือนกับเรื่องราวจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้น
“ช่างเถอะ เวลาที่จัดการกับช่างเสื้อในวันข้างหน้า บางทีอาจจะได้รับคำตอบที่อยากจะรู้ก็ได้”
ซูอี้ไม่ได้คิดมากอีก
เบาะแสในตอนนี้มีน้อยมาก อาศัยเพียงแค่การคาดคะเน ไม่อาจได้รับคำตอบที่แท้จริงได้
อย่างช่างเสื้อผู้เจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บางทีเขาอาจจะเป็นอาจารย์อาของเสวี่ยหลิวจริง ๆ แต่ว่าเรื่องนี้อาจจะมีลับลมคมในที่คนอื่นไม่รู้ก็เป็นได้!
“ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องรีบไปตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีโดยเร็วที่สุด!”
ซูอี้ตัดสินใจ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ซูอี้กล่าวทันทีเมื่อเจอตัวหลวงจีนคงจ้าว “เจ้ามีวิธีค้นหาสถานที่ซ่อนตัวของช่างเสื้อเฒ่าหรือไม่?”
หลวงจีนคงจ้าวส่ายหน้า “เป็นเรื่องยาก อีกทั้งยันต์พันโอกาสที่ข้ามอบให้แก่เจ้าก็ถูกเปิดเผยแล้ว หากใช้ยันต์นี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะตามตัวช่างเสื้อเฒ่าเจออีกครั้ง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกอะไรได้บางอย่างและเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “บางทีอาจจะเริ่มหาจากหอสี่สมุทรได้”
“หอสี่สมุทร?”
ซูอี้ตะลึงเพราะมันเป็นหอการค้าระดับสุดยอดของภูมิดาราเทพนคร มีขุมกำลังไปทั่วหมู่ดารา ร่ำรวยล้นฟ้าจนยากจะคาดเดา
หลวงจีนคงจ้าวกล่าวต่ออีกว่า “ไม่ผิด ในอดีตข้าเคยช่วยชีวิตช่างเสื้อเฒ่าอยู่หนหนึ่ง และคนที่มารับตัวช่างเสื้อเฒ่าก็คือเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังหอสี่สมุทร”
ซูอี้กล่าวอย่างใช้ความคิด “คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘อารักษ์บัญชี’ คนนั้นน่ะหรือ?”
เจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังหอสี่สมุทรซึ่งเรียกตัวเองว่า ‘อารักษ์บัญชี’ เป็นคนลึกลับมากคนหนึ่ง
“ใช่เขาเลย”
หลวงจีนคงจ้าวกล่าว “ช่างเสื้อเฒ่าในตอนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาเลือกที่จะให้อารักษ์บัญชีแห่งหอสี่สมุทรมารับ เห็นได้ชัดว่าให้ความไว้วางใจอีกฝ่ายมาก”
ซูอี้พยักหน้าพลางกล่าว “เข้าใจแล้ว ประเดี๋ยวข้าไปตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีเสร็จก็จะไปหาอารักษ์บัญชีผู้ร่ำรวยเทียมฟ้าคนนั้น”
“เจ้าไปตระกูลอวิ๋นเพราะเหตุอันใด?”
หลวงจีนคงจ้าวงง
“ประเดี๋ยวกลับมาแล้วค่อยบอกให้เจ้ารู้”
ซูอี้พูดจบก็มุ่งหน้าตรงไปที่ข้างนอกวัดสรรพสุญตา
เสียงตะโกนของหลวงจีนคงจ้าวดังไล่หลังมา “เบื้องหลังตระกูลอวิ๋นคือ ‘โรงดาบเทพลี้ลับ’ เป็นขุมกำลังดาบโบราณระดับสุดยอดในยุคก่อน ซึ่งสร้างเซียนดาบที่แท้จริงมามากมาย! เจ้าจะต้องระวังตัวเองให้ดี!”
ซูอี้โบกมือแสดงความหมายว่าเข้าใจแล้วโดยไม่หันกลับมามอง
“เรื่องใด ๆ ในโลกล้วนซับซ้อน บุญคุณความแค้นไม่ขาดสาย แม้กระทั่งบุคคลกว้างขวางดังซูอี้เช่นนี้ สุดท้ายก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ทำได้เพียงแหวกว่ายอยู่ในความซับซ้อนนี้”
เซียนดาบชิงซื่อทอดถอนใจ
ตอนหัวค่ำเมื่อสองวันก่อน ซูอี้เพิ่งกลับมาจากแท่นนภาม่วง เช้าตรู่วันนี้ก็ออกเดินทางไปยังตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถี หากเขาสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเอง เหตุใดต้องดิ้นรนถึงเพียงนี้?
“บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาแข็งแกร่งก็เป็นได้”
หลวงจีนคงจ้าวกล่าว “เรื่องใด ๆ ในโลกล้วนซับซ้อน อาศัยดาบของตัวเองเข้าฟาดฟัน เช่นนี้จึงสามารถขัดเกลาจิตดาบให้คมกริบได้”
…
ณ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทอง
อารามของตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถี
หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นภูเขาเลื่องชื่อระดับสุดยอดของภูมิดาราเทพนคร
ในช่วงเวลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในรอบระยะสามพันลี้โดยมีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทองเป็นศูนย์กลางล้วนมีแต่เขตต้องห้าม ซึ่งพวกมันนับเป็นแดนบรรพชน หากไม่ได้รับอนุญาตจากตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีก็จะไม่มีใครสามารถเข้าไปได้!
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทองอันยิ่งใหญ่และเก่าแก่โบราณ มีน้ำตกสูง มีป่าไผ่ดกครึ้ม อาคารทรงโบราณหลายหลังถูกสร้างขึ้นเรียงราย สมกับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเซียน
ภายในตระกูลอวิ๋นวันนี้มีบรรยากาศคึกคักสดใสเป็นมงคล แต่ละแห่งล้วนประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสี งานฉลองใหญ่กำลังจะเปิดฉากขึ้น
วันนี้ อวิ๋นเฉาเฟิง บุตรคนรองของเจ้าตระกูลกำลังจะเข้าพิธีสมรสกับเฟิงหลิงจือ บุตรีของเจ้าตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนคราม!
ผู้ใหญ่ของตระกูลอวิ๋นกับผู้ใหญ่ของตระกูลเฟิงล้วนอยู่กันพร้อมหน้า
นอกจากนี้ตระกูลอวิ๋นยังเชิญแขกเหรื่อจากตระกูลโบราณอื่นมาร่วมงานอีกด้วย
และยังมีผู้อาวุโสจากขุมกำลังโบราณจำนวนหนึ่งมาตามคำรับเชิญ
เรียกได้ว่าญาติมิตรมากมาย ผู้ยิ่งใหญ่มากหน้า
ความเป็นจริงแล้ว อย่าว่าแต่ตัวตนทั่วไปเลย ต่อให้เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดของขุมกำลังอันดับหนึ่งก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะมาร่วมงานของตระกูลอวิ๋นโบราณอารักษ์วิถีได้!
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทว่าพิธีสมรสยังไม่เริ่ม
แขกเหรื่อทั้งหมดต่างก็พูดคุยสัพเพเหระ
เรื่องที่พูดคุยกันแทบจะเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ ณ แท่นนภาม่วงเมื่อสามวันก่อนทั้งสิ้น!
ไม่มีใครรู้ว่าซูอี้ซึ่งเป็นตัวเอกของการต่อสู้ ณ แท่นนภาม่วงกำลังพุ่งตรงมายังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประกายทองเพียงลำพัง
………………..
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
		 
		 
		 
		