บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1423: ประกาศสงคราม!
………………..
ตอนที่ 1423: ประกาศสงคราม!
ในห้วงความนึกคิด
แม้ว่าชาติที่หกจะไร้วจี แต่จากการแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณของซูอี้ เขาก็อนุมานได้ว่าซูอี้ก้าวสู่วิถีจุติสรวงอันไม่เคยปรากฏตราบนิรันดร์สำเร็จแล้ว
“ว่าแล้วเชียว กุญแจการครอบครองดาบเก้าคุมขังอยู่ที่วัฏสงสาร!”
“มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่ดาบเก้าคุมขังจะสามารถฝืนอำนาจทำลายล้างจากพันธสัญญาแห่งเทพได้”
“จากนี้ไป วิถีของเขาจะแปรเปลี่ยนแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ต่อให้เขาเป็นเซียน เขาก็จะเป็นเซียนผู้เป็นหนึ่งเดียว ที่มิเคยปรากฏมาก่อนตลอดกาลนาน!”
ชาติที่หกลอบรำพัน
“ทว่า หากเขาพ่ายแก่ข้ายามประลองจิตใจ ทุกสิ่งจะแตกต่างออกไป…”
…
คืนนี้ ซูอี้จมสติของตนในการรู้แจ้งหลังเคลื่อนขอบเขตและเสริมแกร่งวิถีตน
คืนเดียวกันนั้น
ลึกเข้าไปในสมุทรมารไร้กำหนด ปราชญ์หงอวิ๋นได้รับข้อความจากสุนัขพื้นเมือง
“ร่างเช่นปุถุชน แต่กลับเหยียบย่ำวิญญาณอาสัญวิถีเซียนใต้เท้าได้?”
ท่านเซียนหงอวิ๋นอดตะลึงไปมิได้
นางหวนคิดถึงคำสอนบรรพชนในตระกูลนางขึ้นมาอีกครั้งอย่างเผลอตัว
คำสอนบรรพชนนั้นพิเศษอย่างมาก มันถูกถือเป็นความลับสูงสุดของตระกูล มีเพียงสมาชิกตระกูลผู้ได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสในตระกูลเท่านั้นที่สามารถรับรู้ถึงมันได้
คำสอนบรรพชนนี้สืบทอดกันมาต่างชั่วอายุจนกระทั่งมาถึงรุ่นของปราชญ์หงอวิ๋น นางจึงได้รู้ว่าคำสอนนี้ แท้จริงเกี่ยวพันกับวัฏสงสาร!
ในอดีต นางหาเชื่อว่าโลกนี้มีวัฏสงสารอยู่ไม่
เพราะอำนาจดุจสิ่งต้องห้ามนี้ถูกพันธสัญญาแห่งทวยเทพลบหายไปแสนนาน ไร้ผู้ใดได้รับอนุญาตให้เวียนวัฏสงสารได้อีก
ดังนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นจึงมิเคยใส่ใจในคำสอนบรรพชนดังกล่าว
จนกระทั่ง… นางพบซูอี้!
“คนผู้นี้มีวัฏสงสารในมือ สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง มิน่าเล่าพันธสัญญาแห่งทวยเทพจึงไม่ยอมให้วัฏสงสารหวนปรากฏ…”
ปราชญ์หงอวิ๋นรำพึงเบา ๆ
……
คืนเดียวกันนั้น
เขตหวงห้ามเซียนละล่อง สำนักเซียนฝังวิญญาณ
หนึ่งวิหารโบราณเจิดจรัสด้วยแสงไฟ
“สรุปได้ว่าผู้อาวุโสสูงสุด ‘ชุยเจิง’ ที่ข้าส่งไปตายแล้ว”
เจ้าสำนักเซียนฝังวิญญาณเฟิงจิ้งไห่กล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก สีหน้ามืดดำเยี่ยงก้นบ่อน้ำ
“และยามนี้ ข้าก็เชิญพวกท่านมาเพื่อหารือว่าจะจัดการซูอี้ผู้นี้เช่นไร”
เฟิงจิ้งไห่กล่าว สายตากวาดมองทุกผู้ในห้อง
ผู้คน ณ ที่ประชุมมีทั้งชายหญิง รูปลักษณ์แตกต่าง มาจากขุมกำลังโบราณที่ต่างกันไป
สิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาล้วนแต่เป็นวิญญาณอาสัญวิถีเซียน!
‘หงซานถู’ บรรพชนตระกูลหงผู้สืบเชื้อสายมารสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
บรรยากาศในห้องมืดหม่น
ทุกผู้รู้ว่าก่อนหน้านี้ เฟิงจิ้งไห่ส่งชุยเจิงไปเจรจากับซูอี้ที่เขาจันทร์กระจ่าง
ทว่ายามนี้ การตายของชุยเจิงพิสูจน์ได้โดยไม่ต้องสงสัยว่าซูอี้หายอมรับเงื่อนไขที่พวกเขาตั้งไม่!
“เราจะทำเช่นไรได้เล่า จะก้มหัวให้ไอ้หนูนั่นในภายหลังได้อยู่หรือ?”
บางผู้กล่าวอย่างเย็นชา
“ไม่ว่าจะเป็นศึกแท่นเมฆาม่วงหรือเขาพฤกษ์ระย้า ข้าและยอดฝีมือคนอื่น ๆ ในสำนักต่าง ๆ ล้วนเสียหายหนักหนา หนี้เลือดลึกล้ำเช่นนี้ย่อมไม่มีทางกลับหลังได้เนิ่นนานแล้ว”
บางผู้กล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “จริงอยู่ที่ซูอี้ผู้นั้นมีเรื่องประหลาดมากมาย แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เราตัดสินใจร่วมเป็นพันธมิตรกันเพื่อจัดการกับเขามิใช่หรือ?”
อีกฝ่ายเป็นเพียงหนึ่งชายหนุ่มในขอบเขตไร้ขีดจำกัด แต่กลับต้องให้วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเหล่านี้มาประชุมกันว่าจะจัดการเช่นไร
เรื่องนี้เพียงพอพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาทั้งหลายล้วนไร้ผู้ใดกล้าเลินเล่อ
พวกเขากระทั่งถือซูอี้เป็นอันตรายแฝงเพียงพอเป็นภัยต่อพวกเขาได้ในระดับหนึ่งด้วยซ้ำไป!
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป โลกหล้าได้สะเทือนสั่นเป็นแน่แท้
เพราะถึงอย่างไร ตัวตนทั่วไป อย่าว่าแต่ถูกวิญญาณอาสัญวิถีเซียนหมายหัวเอาเลย เกรงว่าพวกเขาไร้คุณสมบัติกระทั่งจะอยู่ในสายตาวิญญาณอาสัญวิถีเซียนด้วยซ้ำ!
“พวกท่านยังจำอำนาจปริศนาอันร้ายกาจซึ่งปรากฏบนตัวคนผู้นี้ระหว่างศึกเขาพฤกษ์ระย้าได้หรือไม่?”
หงซานถูกล่าวขึ้น และด้วยวาจานั้น ทุกผู้ก็หันมาสนใจเขาเป็นตาเดียว
พวกเขาทั้งหลายล้วนรู้ว่าในศึกเขาพฤกษ์ระย้า อำนาจร้ายกาจซึ่งปรากฏบนร่างซูอี้นั้นคือกุญแจตัดสินแพ้ชนะ!
ทว่าจวบยามนี้ ยังไม่มีผู้ใดคาดการณ์ได้ว่าอำนาจร้ายกาจนั้นมาจากหนใด
หงซานถูกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ข้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก และแม้จะยังไม่อาจหยั่งทราบว่าอำนาจร้ายกาจนั้นมาจากหนใด แต่ก็พออนุมานได้ว่าหากเป็นศึกตัวต่อตัว เราทั้งหลายไร้ผู้ใดเทียบมันได้!”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว หลายคนก็เปลี่ยนสีหน้า
บางผู้ขมวดคิ้วกล่าวอย่างไม่เชื่อ “หรือในสายตาพี่หง แม้สหายเต๋าเฟิงลงมือ… ก็ยังเอาชนะไม่ได้หรือ?”
เฟิงจิ้งไห่ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดหรี่ตาลง กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ให้สหายเต๋าหงพูดจบก่อนสิ”
หงซานถูกล่าว “สิ่งที่ข้าพูดเป็นเพียงการคาดเดา ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป แต่สิ่งที่แน่ใจคือหากเราร่วมมือ เราจะสามารถรับมืออำนาจร้ายกาจบนร่างซูอี้ผู้นั้นโดยมิถูกจำกัดโดยกฎสวรรค์ได้!”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “แน่นอน ข้าว่าอำนาจร้ายกาจนั้นคงสลายไปหมดแล้ว และในภายหน้า… เกรงว่าคงยากหากจะออกมาช่วยซูอี้ผู้นั้นอีก”
มีบางผู้พลันกล่าว “เช่นนั้นเจ้าว่า สหายเต๋าชุยเจิงตายเช่นไร?”
หงซานถูพลันสิ้นวาจา
จริงดังเขาว่า ชุยเจิงเป็นวิญญาณอาสัญวิถีเซียน แม้จะถูกกฎสวรรค์ผูกพันยามออกสู่โลกภายนอก แต่อำนาจของซูอี้หรือจะเป็นคู่ต่อสู้ชุยเจิงได้?
“น่าเสียดายที่ระหว่างเราและซูอี้ไร้ช่องให้รอมชอม ข้าอยากจะก้าวถอยสักก้าวมาคุยกับเขาดี ๆ อยู่เหมือนกัน ขอเพียงข้าทำลายคำสาปในร่างได้ ไม่ว่าต้องเสียอันใดข้าก็ยอม”
บางผู้กล่าว “เพราะถึงอย่างไร ขอเพียงทำลายคำสาปบนร่างได้ การสร้างร่างวิถีฝึกฝนใหม่ก็จะเป็นไปได้ มิต้องเกรงอำนาจวัฏสงสารอีกต่อไป หวนความแข็งแกร่งคืนสู่จุดสมบูรณ์พร้อมแห่งชีวิตได้ทีละขั้น”
“ถึงยามนั้นค่อยไปจัดการซูอี้ผู้นั้น ไฉนเลยต้องกังวล?”
ทุกผู้เงียบไป
“เรื่องไร้สาระพรรค์นี้ มิต้องพูดถึงมันอีก”
เฟิงจิ้งไห่กล่าวอย่างเย็นชา “ความแค้นนี้ถูกกำหนดแล้วว่ามิอาจสะสาง มิอาจอยู่ร่วมโลก!”
เขาไม่พอใจ
พวกเจ้าทุกผู้ที่นี่คือเซียนนะ!
ทว่ายามนี้ เมื่อพูดถึงราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดเช่นซูอี้ ต่างผู้ต่างแสดงเค้าความหวาดกลัวไม่มากก็น้อย หากเรื่องนี้แพร่ออกไป มันคงกลายเป็นเรื่องตลกในโลกหล้าเป็นแน่แท้
“ได้ เป็นไปตามนั้น! หากเรายอมรอมชอม ศิษย์เราที่ตายตกไปจะมองเราเช่นไร? สรรพสิ่งทั่วโลกหล้าจะมองเราเช่นไร?”
บางผู้กล่าวอย่างมาดร้าย “คนผู้นี้ต้องตาย!!”
วิญญาณอาสัญวิถีเซียนทั้งหมดต่างพยักหน้าด้วยแววตาเย็นเยียบ
เฟิงจิ้งไห่สูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะกล่าวพร้อมแววตายะเยือก “ต่อจากนี้ ข้าจะเขียนสาส์นจำนงประกาศสู่โลกหล้า ในสิบวัน ซูอี้ต้องเป็นฝ่ายมอบอำนาจวัฏสงสารออกมาเอง”
“หาไม่ ยามข้าออกสู่โลกหล้าได้ มิเพียงคนผู้นี้ต้องตาย แต่คนทุกผู้ที่เกี่ยวข้องกับเขาจะถูกฝังไปกับเขาด้วย ไร้ผู้อื่นใดเหลือรอด!”
……
ปุด~ ปุด~
หม้อไฟระอุเดือด สารพัดเนื้อเลิศรสลอยขึ้นลงอยู่ในน้ำแกง โชยกลิ่นหอมยั่วยวน
หลวงจีนคงจ้าวกำลังตักหม้อไฟ เขี่ยผัก หยิบเนื้อ และเติมอาหารให้สุนัขพื้นเมือง… อย่างไหลลื่น
ขณะเดียวกัน อีกมือยังคงรินสุราแก่สุนัขพื้นเมืองได้
หนึ่งโอ้อวดตนสุขสำราญ หนึ่งปรณนิบัติพัดวีอย่างเต็มใจ
ต่างฝ่ายต่างเต็มใจยินดี
ซูอี้ทอดร่างบนเก้าอี้หวาย จิบสุราเงียบ ๆ อยู่ฝั่งหนึ่ง
“เจ้าบอกข้าไม่ได้หรือว่าเคลื่อนขอบเขตได้เช่นไร?”
สุนัขพื้นเมืองดื่มสุราหนึ่งจอกแล้วเหลือบมองซูอี้อย่างมิพอใจ
สุนัขพื้นเมืองเอ่ยปากถามคำถามนี้มามิต่ำกว่าสิบหน ทว่าคำตอบที่เขาได้นั้นคลุมเครืออย่างยิ่ง
จนกระทั่งภายหลัง ซูอี้เมินมันไปสนิท มิคิดสนใจมันอีก
หนนี้เขาย่อมไม่พูดกับสุนัขพื้นเมืองอีก
“สหายเต๋าซู เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
ม่อชิงโฉวกระวีกระวาดมาจากไกล ๆ “เจ้าสำนักเซียนฝังวิญญาณเฟิงจิ้งไห่ประกาศต่อโลกหล้าว่าต้องการให้เจ้าส่งเคล็ดวัฏสงสารมาภายในสิบวัน…”
นางแจ้งข่าวออกมาโดยละเอียด
บรรยากาศพลันเงียบสงัด
คนทุกผู้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาได้!
คำแถลงของเฟิงจิ้งไห่แสดงออกอย่างไม่ต้องสงสัยว่าขุมกำลังใหญ่ร่วมเป็นพันธมิตรในเขตหวงห้ามเซียนละล่องต่างประกาศสงครามต่อซูอี้!
นี่ยังหมายความว่ายามวิญญาณอาสัญวิถีเซียนเหล่านี้ปรากฏตัวคืนโลกหล้า ผู้แรกที่พวกเขาจะฆ่าก็คือซูอี้!
ต่อหน้าคำขู่เช่นนี้ ใครเล่าจะมิกังวล?
จู่ ๆ สุนัขพื้นเมืองก็แค่นหัวเราะ ทำลายบรรยากาศเงียบกริบลง “เฟิงจิ้งไห่ผู้นี้ เกรงว่าคงคิดตบหน้าตนเองกระมัง!”
“ผู้อาวุโสกล่าวได้ถูกต้อง! มีผู้อาวุโสอยู่ คำขู่เช่นนี้ก็มิต่างจากผายลม!”
หลวงจีนคงจ้าวยกยอด้วยรอยยิ้ม
สุนัขพื้นเมืองมองปราดเดียวก็เข้าใจหลวงจีนคงจ้าวปรุโปร่ง “ข้าผู้นี้มีหน้าที่เพียงปกป้องสหายทัศนาจารย์ของเจ้า หาได้รวมการชำระแค้นให้เขาไม่”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย มันก็เงยหน้าขึ้นหรี่ตามองซูอี้ “แน่นอน หากสหายทัศนาจารย์ของเจ้าต้องการความช่วยเหลือของข้า ข้าผู้นี้ก็ช่วยได้โดยมิคิดมาก”
ความหมายแฝงของมันก็คือ ไอ้หนู ยังไม่รีบมาอ้อนวอนข้าอีกหรือ!?
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ และเมินสุนัขพื้นเมืองไปทันที
เขากล่าวกับม่อชิงโฉวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ช่วยข้าถ่ายทอดข้อความที บอกทุกผู้ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องด้วยว่าในสามวัน ข้าจะไปยังเขตหวงห้ามเซียนละล่อง และผู้เป็นปรปักษ์กับข้าเลือกได้เพียงจำนนหรือ… ตาย!”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ทุกผู้ที่ได้ฟังก็สงบวาจาเงียบวจี
สุนัขพื้นเมืองตะลึงงัน
หลวงจีนคงจ้าวอ้าปากค้าง
คนอื่น ๆ ล้วนนิ่งมิไหวติง แทบเชื่อหูตนไม่ลง
คิดให้หัวแตก ทุกผู้ก็ไม่คาดว่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนยังมิทันมาเคาะประตู ซูอี้… กลับอยากเป็นฝ่ายเข้าเข่นฆ่าในเขตหวงห้ามเซียนละล่องเอง!!
“มีคำถามหรือไม่?”
ซูอี้มองม่อชิงโฉว
ม่อชิงโฉวร่างสะท้าน ส่ายหัวทันควัน “ถ่ายทอดวาจานั้นง่ายมาก แค่… แค่ว่า…”
นางลังเลชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมซูอี้เช่นไร
สุนัขพื้นเมืองอดกล่าวมิได้ “ซูอี้ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? หากเจ้าอยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง วิญญาณอาสัญวิถีเซียนพวกนั้นจะไม่ได้อยู่ภายใต้กฎสวรรค์จำกัดอำนาจ เจ้า…”
ซูอี้โบกมือขัดจังหวะ กล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย “ก็แค่วายร้ายปลาซิวปลาสร้อยกล่าวยั่วยุกันซ้ำ ๆ หากไม่ฆ่าให้ตาย จะปล่อยไว้ฉลองปีใหม่หรือไร?”
สุนัขพื้นเมือง “…”
ในที่สุดทุกผู้ก็ตระหนักว่าซูอี้หาล้อเล่นไม่ เขาจริงจัง!
ณ ศึกแท่นนภาม่วง ช่างเสื้อร้อยเรียงให้ขุมกำลังปรปักษ์ออกลงมือพร้อมเพรียง
ศึกที่เขาพฤกษ์ระย้าเองก็เช่นกัน
จวบยามนี้ ขุมกำลังโบราณเหล่านั้นยังคงไม่เลิกรา คิดว่าพวกตนจะทำอันใดก็ได้ขอเพียงรวมกลุ่มวิญญาณอาสัญวิถีเซียนขึ้นมาได้สักกลุ่ม
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกเหนื่อยหน่ายในท้ายที่สุด
กระทำการใดต้องมิมากกว่าสามหน
ยามนี้ เขากำลังจะไล่คิดบัญชีอย่างเด็ดขาด!
เซียนอันใด ขุมกำลังเซียนอันใด ในเหตุทุกวันนี้ พวกเขาก็แค่วิญญาณอาสัญฝูงหนึ่ง คนก็มิใช่ ผีก็มิเชิง
ในเมื่ออยากตายกันนัก งั้นก็… จบกันให้สิ้น!
“วายุกำลังพัด…”
ซูอี้ผู้กำลังทอดกายอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้หวายกระซิบ
วาตะเหมันต์โหมครวญพลิ้วพัดใต้นภา
ดุจเทพเซียนเหนือสวรรค์ผู้เมามาย ขยำขยี้เมฆขาวเหนือนภาอย่างไร้ละเว้น!
………………..