บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1463: พบพานช่างเสื้ออีกครั้ง
ตอนที่ 1463: พบพานช่างเสื้ออีกครั้ง
เสวี่ยหลิวใบหน้าซีดขาว
ดวงตาอันเลื่อนลอยของนางมองไปรอบทิศ พบพานเพียงความพินาศย่อยยับ
บนพื้นมีธารโลหิตเจิ่งนอง
ก่อนวันนี้จะมาถึง นางเป็นถึงเจ้าสำนักมารหกโลกีย์แห่งภูมิเสวียนเหิง มีอำนาจเกรียงไกรและเป็นที่ลือชา
นางเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน กางตาข่ายฟ้าดินดักรอ คิดว่าขอเพียงซูอี้กล้ามาในครานี้ นางจะสามารถฆ่าเขาได้!
ทว่ายามนี้ ทุกสิ่งล้วนพังทลายลง!
ซูอี้ผู้นี้เป็นใครกัน?
เสวี่ยหลิวรู้สึกงุนงงมากขึ้นเป็นเท่าทวี
นางไม่เข้าใจเลย
คิดให้ตายยังไงก็คิดไม่ออก
เป็นที่ชัดเจนว่าเขาไม่เคยมายังศักราชแห่งมารมาก่อน ทว่ากลับมีตัวตนวิถีเซียนรายล้อมมากมาย อีกทั้งยังทำลายแผนการที่นางวางไว้อย่างย่อยยับไม่เหลือซาก!
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมองท้องนภา จากนั้นก็ก้มลงกล่าวกับเสวี่ยหลิว “กาลก่อน เสิ่นมู่ตายเพราะเจ้า และยามนี้ก็ถึงตาเจ้าแล้ว”
กล่าวจบ เขาก็กล่าวกับสุ่ยเหอ “หากนางมีเกียรติ ก็ให้นางมีเกียรติ หาไม่ ช่วยให้มีเกียรติแก่นางที”
สุ่ยเหอแย้มยิ้มหวาน “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็พาอูเหมิง คางคกทมิฬ และไป๋ท่าทะยานหายไปด้วยกัน
และมิได้ชายตาแลเสวี่ยหลิวอีก
……
“มีเกียรติ?”
ร่างอรชรของเสวี่ยหลิวสั่นสะท้าน ราวกับเข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร
“ก่อนข้าตาย ขอถามผู้อาวุโสได้หรือไม่ว่า นายเหนือหัวที่ว่า… ยิ่งใหญ่มาจากหนใดกัน?”
เสวี่ยหลิวเบนสายตามองไปทางสุ่ยเหอ
สุ่ยเหอคิดชั่วขณะ ก่อนจะทอดถอนใจ ดวงตาของนางเปี่ยมล้นด้วยความเลื่อมใสแทบคลั่งไคล้ “นายเหนือหัวของข้าน่ะนะ ไม่อาจถูกทำลายได้โดยสวรรค์ วิถีมิอาจหยุดยั้ง เหล่าเซียนมิอาจเสมอเหมือน!”
ใบหน้าของเสวี่ยหลิวเปี่ยมไปด้วยความงุนงง
สุ่ยเหอส่ายหน้า “ระดับของเจ้าต่ำเกินไป คงไม่เข้าใจหรอก ยามนี้ถึงเวลาตัดสินใจแล้วนะ หากเจ้าอยากตายอย่างมีเกียรติ ก็ไปตามทางของเจ้าเถอะ”
เสวี่ยหลิวเงียบไป
ยามนี้ นางพลันจำเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “อาจารย์อาเล่า ไฉนเขาจึงปฏิเสธไม่มาช่วยแต่แรกจวบยามนี้กัน?”
ฉัวะ!
คอของเสวี่ยหลิวเจ็บแปลบ ศีรษะของนางกระเด็นสู่ฟ้า
สีหน้าของนางเปี่ยมความตะลึงงัน
สุ่ยเหอสะบัดมือกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน “ข้าเป็นคนความอดทนสั้น รอเจ้าตัดสินใจไม่ไหว ข้าเลยจะส่งเจ้าไปตามทางด้วยมือข้าเองน่ะนะ~”
ศีรษะของเสวี่ยหลิวกลิ้งลงสู่พื้น ร่างไร้ศีรษะนอนจมกองเลือด
อึดใจต่อมา อสนีบาตสีเงินก็ถล่มจากนภา ขยี้ยอดหลักของภูเขาศักดิ์สิทธิ์พันวังวนป่นเป็นธุลีสูญสลาย
และร่างของสุ่ยเหอก็แปรเปลี่ยนเป็นอสนีบาตสีเงินทะยานหายไป
ณ จุดนี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์พันวังวนถล่มลง และสำนักมารหกโลกีย์อันยืนยงเป็นหนึ่งในภูมิเสวียนเหิงก็หายสิ้นไป!
……
ณ ดินแดนรกร้างในสายหมอก
ช่างเสื้อร่างผอมบางสวมหมวกกลมสีดำนั่งขัดสมาธิ
ตรงหน้าเขาปรากฏคันฉ่องกระดูกบานหนึ่ง
คันฉ่องกระดูกนั้นสะท้อนภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์พันวังวน
“ไอ้แก่พวกนั้น… ยังอยู่ทั้งนั้นเลยหรือ!?”
คิ้วของช่างเสื้อขมวดเข้าหากัน ใบหน้าเปี่ยมความประหลาดใจ ในหัวใจสะท้านสะเทือนด้วยความตะลึง
หากเขาเข้าใจไม่ผิด บ่าวเฒ่าผู้ติดตามซูอี้คือบรรพชนผู้ก่อตั้งศาลมารหมื่นแดนดินอูเหมิง ตัวตนร้ายกาจผู้ก้าวสู่วิถีเซียนนับตั้งแต่แสนปีที่ผ่านมา!
ส่วนชายชราผู้สวมอาภรณ์มอซอ เส้นผมหนวดเครากระเซอะกระเซิงนั้นสงสัยจะเป็น ‘ราชันคางคกทมิฬ’ ปีศาจเฒ่าผู้ทำให้ตัวตนวิถีปีศาจทั้งหลายต้องหวาดผวา
ส่วนชายหนุ่มชุดขาวผู้ขานนามตนเองว่าไป๋ท่านั้นก็น่าจะเป็น ‘ราชันมารแปรดารา’ มารโดยกำเนิดผู้น่ากลัวยิ่ง!
ส่วนสุ่ยเหอผู้นั้น…
ช่างเสื้อมิอาจจดจำฐานะของอีกฝ่ายได้ไปชั่วขณะ
ทว่าไม่ต้องบอกก็รู้ว่า นี่ก็เป็นอีกตัวตนร้ายกาจซึ่งมิได้ด้อยไปกว่าราชันมารแปรดารา ราชันคางคกทมิฬและคนอื่น ๆ เลย
“เขามายังศักราชแห่งมารเป็นครั้งแรกแท้ ๆ แต่กลับสามารถสั่งการไอ้เฒ่าเหล่านี้ให้เชื่อฟังได้… ต้องมีเงื่อนงำอื่นซ่อนอยู่ในเรื่องทั้งหมดนี้!”
ช่างเสื้อดูถมึงทึง ว้าวุ่นใจด้วยตระหนักถึงความผิดปกติ
แผนสังหารซูอี้ครั้งนี้ก็มีเขาวางแผนอยู่เบื้องหลัง
ทว่าช่างเสื้อเพิ่งมาตระหนักว่าตนคิดผิดเอาก็ยามนี้!
ทัศนาจารย์ยามนี้หาใช่ทัศนาจารย์ที่เขาคุ้นเคยด้วยไม่ มิเพียงถือครองอำนาจวัฏสงสาร เขายังซ่อนความลับใหญ่หลวงอื่นไว้!
ทันใดนั้น สีหน้าของช่างเสื้อก็พลันแปรเปลี่ยน
ในภาพสะท้อนจากคันฉ่องกระดูก วาจาของซูอี้ที่กล่าวต่อเสวี่ยหลิวดังออกมา
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ผู้ที่ข้าอยากฆ่าจริง ๆ ในวันนี้คืออาจารย์อาของเจ้าต่างหาก ส่วนเจ้าน่ะแค่ตัวประกอบเท่านั้น”
“ไอ้ทัศนาจารย์บ้านี่!”
ช่างเสื้อกัดฟันกรอด ดวงตาเปี่ยมความเกลียดชัง
ร่างอวตารวิถีของเขาข้ามธารยาวแห่งมิติเวลาเข้าสู่ภายในจักรวาลพร่างดาวมานานแล้ว
ตลอดกาลนานมา อวตารวิถีของเขาจะแปลงประสบการณ์ที่พบเห็นในจักรวาลพร่างดาวเป็นตราประทับ ส่งคืนมาเป็นระยะด้วยเคล็ดวิชา
ด้วยเหตุนี้ ช่างเสื้อจึงได้รับรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับทัศนาจารย์
ทว่าไม่นานมานี้ เขาได้รับข่าวจากอวตารวิถีของเขาว่า ตนจะเปิดศึกตัดสินวัดแพ้ชนะกับทัศนาจารย์
หากสำเร็จ เขาจะส่งข้อความกลับมาโดยเร็วที่สุด
หาไม่ นั่นหมายถึงความล้มเหลว
ผลก็คือ จวบยามนี้ ช่างเสื้อก็ยังมิได้รับข่าวใด ๆ จากร่างอวตารของตน
เขาหรือจะมิเข้าใจว่าอวตารวิถีของเขาพ่ายแพ้ไปแล้ว?
“ไม่ได้ อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต้องหนีไปโดยเร็วที่สุด!”
ช่างเสื้อเก็บคันฉ่องกระดูก ลุกขึ้นจากไป
วูบ!
ร่างของเขาดุจแสงเงาสีเทาวูบไหว เพียงไม่กี่อึดใจก็ทะยานจากโลกหล้านี้ไกลลิบ
สองเค่อต่อมา จู่ ๆ ช่างเสื้อก็หยุดชะงัก
ฟ้าดินไกลออกไป ชายร่างยักษ์ใหญ่กำยำผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเยี่ยงเทพเถื่อนแห่งโบราณกาล แบกขวานศึกสีเลือดเอาไว้ด้ามหนึ่งบนบ่า
รอบกายเขาปกคลุมด้วยรัศมีเซียนสีฟ้าทิ่มแทง
หนึ่งตัวตนวิถีเซียน!
ช่างเสื้ออ้าปากค้าง ก่อนจะหันหลังเผ่นหนี
ทว่าเพียงอึดใจต่อมา เขาก็ชะงักอีกครั้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว
เพราะตรงหน้าเขา มีอีกบุคคลปรากฏขึ้น
เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดดำผู้หนึ่ง แบกโลงทองสามฉื่อไว้ ยืนมองมาด้วยดวงตาพราวระยับ
เบื้องหลังชายวัยกลางคนชุดดำนั้นมีรัศมีเซียนสีทองพลิ้ววน แปรเปลี่ยนเป็นนิมิตชวนสะพรึงเยี่ยงแดนอบาย
ท้องนภาเบื้องหลังสั่นสะท้าน แดนดินระริกไหว ชายร่างยักษ์แบกหอกศึกสีเลือดก้าวเข้ามาแล้ว
ล้อมหน้าล้อมหลัง!
“อย่ากลัวเลย ก่อนจะฆ่าเจ้า นายเหนือหัวของเราอยากคุยกับเจ้าก่อน”
ชายวัยกลางคนชุดดำกล่าวพลางแย้มยิ้ม ดวงตาของเขาเหมือนจับจ้องเหยื่อผู้ถูกกำหนดชะตาตามใจ
สีหน้าของช่างเสื้อมืดหมอง
สองตัวตนวิถีเซียนล้วนมุ่งเป้ามายังพลังปราณทั่วร่างของเขา!
“พวกเจ้า… หาข้าพบได้เช่นไร?”
ช่างเสื้อขมวดคิ้ว
เขารีบสงบจิตใจ มิกระทำการบุ่มบ่าม
ชายวัยกลางคนในชุดดำแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า “ความลับ”
ช่างเสื้อถอนหายใจยาว “ความลับหรือ? ข้าเดาว่าเจ้าต้องควบคุมร่างอวตารวิถีร่างหนึ่งของข้าอยู่ในมือแน่!”
หลังจากนิ่งไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “แต่ข้าสงสัยนักว่า พวกเจ้าล้วนเป็นผู้อาวุโสในศักราชแห่งมารอันเป็นที่สะท้านสะเทือนทั่วโลกาเมื่อนานมาแล้ว ไฉน… จึงไปรับใช้ชายหนุ่มวิถีจุติสรวงจากจักรวาลพร่างดาวกัน?”
ชายวัยกลางคนชุดดำกล่าว “ไม่รู้สิ”
“วิถีจุติสรวง?”
ชายร่างยักษ์หัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลกแสนจี้เส้น
ช่างเสื้อเงียบไปทันที
เขาเห็นได้ว่าทั้งสองจะมิตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่นานนัก อีกาสีเลือดที่มีขนาดยักษ์ก็โผทะยานแหวกอากาศเข้ามา
ซูอี้ ไป๋ท่า คางคกทมิฬ และคณะล้วนยืนอยู่บนอีกาสีเลือดตนนั้น
เพียงพริบตา เขาก็มาปรากฏตัวในแดนดิน
“ช่างเสื้อเฒ่า ไม่ได้พบกันนานเลย”
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ขณะเดินเข้ามาหา
มารอีกาสีเลือดแปรเปลี่ยนเป็นอูเหมิง ตามติดเบื้องหลังซูอี้ราวดาราล้อมเดือนร่วมกับไป๋ท่าและคางคกทมิฬ
และยังทำให้ซูอี้ดูราวราชันตระเวนแดน!
ดวงตาของช่างเสื้อวูบไหวขณะจับจ้องมองซูอี้ ก่อนจะกล่าวขึ้นกะทันหันว่า “เมื่อนานมาแล้ว จอมจักรพรรดิเซวี่ยเซียวจากโลกเซียนนำขุมกำลังวิถีเซียนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในศักราชแห่งมาร เพื่อตามหาคนชื่อหวังเย่ หรือว่า… นั่นจะเป็นอดีตชาติของเจ้า?”
ซูอี้นิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า “ถูกต้อง”
ช่างเสื้อรำพึงด้วยสีหน้าซับซ้อน “มิน่าเล่า ยามนี้… สำนักมารหกโลกีย์จึงปราชัยย่อยยับ”
ทัศนาจารย์ในวันนี้แตกต่างจากกาลก่อนจริง ๆ!
เขาไม่เพียงเป็นเสิ่นมู่ แต่ยังเป็นหวังเย่!
ตัวตนร้ายกาจซึ่งทำให้ราชันวิถีเซียนทั้งหลายตามหา เพิ่งมาเยือนศักราชแห่งมารก็สามารถเชิญยอดฝีมือวิถีเซียนมารับใช้ได้มากมาย!
เทียบกันแล้ว แม้ว่าสำนักมารหกโลกีย์จะเป็นกลุ่มเต๋าอันดับหนึ่งในภูมิเสวียนเหิง ก็ยังไม่สมควรนำมาเทียบกันอยู่ดี
“แล้วเจ้าเล่า ตลอดกาลนานมา เจ้ารับใช้ผู้ใดอยู่?”
ซูอี้นำไหสุราหนึ่งออกมาขณะเอ่ยถามลอย ๆ
“อยากรู้หรือ?”
ดวงตาของช่างเสื้อฉายประกาย
“แน่นอน”
ซูอี้พยักหน้าอย่างสุขุม
ขณะสนทนา อูเหมิงและคณะต่างยืนห่าง ๆ ปกคลุมโลกหล้านี้ด้วยพลังปราณ แม้ตัวตนในวิถีเซียนก็ยังหนีรอดได้ยาก
ทว่าช่างเสื้อดูจะมิสนใจ
ยามนี้เขาดูสุขุมเยือกเย็น ห่างไกลจากความตระหนกที่เป็นเมื่อครู่นี้
“ข้าน่ะ”
ช่างเสื้อยกนิ้วชี้ขึ้นท้องนภา แววลึกล้ำเกินเข้าใจปรากฏขึ้นในดวงตา “คือทูตสวรรค์ผู้รับโองการแห่งท่านเทพ ถ่ายทอดเจตนารมณ์แห่งปวงท่านสู่ทั่วทุกแดนดิน!”
ท้ายที่สุด หว่างคิ้วของเขาก็ปรากฏประกายแสง
ทูตสวรรค์?
พวกอูเหมิงตะลึงไป
ซูอี้หรี่ตาลงกล่าวยิ้ม ๆ “ผิดแล้ว เจ้าอาจกระทำการตามเจตนารมณ์แห่งเทพ แต่… อย่างมากเจ้าก็เป็นแค่ผู้ศรัทธาดุจข้าทาส หรือก็คือ… ข้ารับใช้เทพที่เขาว่ากัน”
ร่างของช่างเสื้อชะงักเล็กน้อยจนมิอาจตรวจจับได้ พลันฉีกยิ้มเยาะในทันใด “เจ้ารู้หรือว่าทูตสวรรค์เป็นอย่างไร? พูดพล่อย ๆ ไร้สาระ!”
ซูอี้อดกล่าวยิ้ม ๆ มิได้ “ข้ามิเพียงเคยได้พบกับทูตสวรรค์มาก่อน กระทั่งข้ารับใช้เทพเช่นเจ้าก็ด้วย ซ้ำยังเคยเห็นเทพที่แท้จริงในธารสายยาวแห่งมิติเวลามาแล้ว”
ลั่วเหยาผู้ข้ามมิติเวลามาจาก ‘สมรภูมิไร้ขอบเขต’ นั้นย่อมเรียกได้ว่าเป็นตัวตนในวิถีเทพ
และลั่วเหยายังเรียกเขาเป็นพี่ชายร่วมวิถี!
มิต้องพูดถึงวาจาของลั่วเหยาหรอก เพราะสองอดีตชาติของเขาเองก็เคยต่อกรกับเทพมาแล้ว
ยามนี้ ช่างเสื้อแสดงตนเป็น ‘ทูตสวรรค์’ และยังมาล้อเลียนเขาว่ามิเข้าใจการมีอยู่ของ ‘ทูตสวรรค์’ อีก
“จริงรึ?”
ช่างเสื้อขมวดคิ้วด้วยความไม่เชื่อ “เจตจำนงแห่งเทพข้ามผ่านอดีต ปัจจุบันและอนาคต อยู่เหนือธารยาวแห่งยุคสมัย ตัวตนวิถีเซียนน่ะทำได้เพียงแหงนมอง!”
“เจ้า… แน่ใจหรือว่าเคยพบเทพมาก่อน?”
ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ ซูอี้ยิ่งอยากขำอย่างช่วยมิได้
ช่างเสื้อในอดีตนั้นเจ้าแผนการ มากอุบายรวยปัญญา
ทว่ายามนี้เขา… จึงดูเหมือนไอ้งั่ง!
………………..