บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1496: สะท้านสะเทือน
ซูอี้ดูแคลนเกินกว่าจะลงมือ หาสนใจการเผชิญหน้าอันคล้ายศึกในสนามมวยไม่
ทว่ายามเกียรติศักดิ์ศรีของเขาถูกยั่วยุเหยียบย่ำโดยปลาซิวปลาสร้อยเหล่านี้ แม้เขาจะไร้โทสะ แต่ก็ไม่อาจอยู่เฉยเช่นกัน!
ตาขาว?
ความอับอายของจักรดาราตงเสวียน?
ตัวตลกแห่งสนามรบแรก?
นี่มิใช่คำยั่วยุลม ๆ แล้ง ๆ แต่เป็นการเหยียดหยามดูหมิ่น!
ความหมายของมันแตกต่างกันมาก
ดังนั้น ซูอี้จึงมิถือหากจะใช้พิษล้างพิษ ทำลายความเหิมเกริมของแมลงวันเหล่านั้น!
เขาจึงให้ฉยงฉีลงมือ
ยามนี้ดูเหมือนผลลัพธ์จะดีมาก
อย่างน้อยที่สุด ความดุดันของฉยงฉีก็ทำให้คนส่วนใหญ่ที่นี่ผงะไปได้
และลวี่เมิ่งผู้นั้น มิเพียงถูกปราบ ยังถูกทำให้กลัวจนสลบฉี่ราด และจากนั้นมา เขาย่อมยากจะโงหัวขึ้นได้อีก
เพราะถึงอย่างไร ในฐานะยอดราชันในขอบเขตจุติมงคล เขากลับกลัวจนฉี่ราดกางเกง มันจะกลายเป็นรอยด่างพร้อยอันยากลบล้างได้ชั่วชีวิต!
ไม่ว่าผู้ใดกล่าวถึงล้วนมองเป็นเรื่องตลกทั้งสิ้น
ซูอี้กวักมือเรียก มิคิดอันใดอีก
และแล้ว ภายใต้สายตาตกตะลึงทั้งหลาย ฉยงฉีผู้ก่อนหน้านี้แสนดุร้ายทรงพลังก็ออกจากสนามเต๋าอย่างว่าง่าย
ก่อนจะแปรขนาดเป็นเท่าลูกแมว เดินมาถึงข้างเท้าซูอี้ ดวงตาใสซื่อใบหน้าแสนเชื่อง นุ่มนวลแสนเชื่อฟัง
ซูอี้หันหลังจากไป
ฉยงฉีก็เดินตามหลังเขา
ระหว่างทาง ไร้ผู้ใดกล้ากล่าววจียั่วยุและรั้งเขาไว้อีก
จนกระทั่งร่างของคู่เจ้านายสัตว์เลี้ยงหายไป ทุกผู้จึงตื่นจากภาวะตกตะลึง รู้สึกราวกับฝันไป
“เห็นหรือไม่ มิใช่ว่าใต้เท้าซูสู้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขาเอาชนะแม้แต่สัตว์เลี้ยงของใต้เท้าซูยังมิได้ เขาจะมีคุณสมบัติอันใดให้ใต้เท้าซูลงมือเล่า?”
ทางฝั่งจักรดาราตงเสวียน ทุกผู้ล้วนแสนตื่นเต้นลิงโลด รู้สึกโล่งใจยินดียิ่ง
“ยังกล้าพูดอีกหรือไม่ว่าชื่อเสียงของใต้เท้าซูจอมปลอม หาไม่ ข้าขอถาม ผู้ใดเล่าจะปราบสัตว์ร้ายไร้เทียมทานอย่างฉยงฉีได้?”
บางผู้กล่าวขึ้น
“ดูลวี่เมิ่งผู้นั้นสิ เขาเป็นลมฉี่ราดซะงั้น! ฮ่า ๆๆ ยังจำที่เขาตะโกนยั่วยุใต้เท้าซูเมื่อครู่นี้ได้หรือไม่?”
บางผู้หัวเราะ
“ฟังให้ดี ก่อนหน้านี้ใต้เท้าซูมิใช่ว่ามิกล้าสู้ แต่เขาดูแคลนเกินกว่าจะลงมือต่างหาก! เพราะว่า… พวกเจ้าไร้คุณสมบัติ!”
บางผู้ตะโกนลั่น
ไกลออกไป เหล่ายอดฝีมือจากสามจักรดาราอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าหม่นหมอง
ไร้หนทางโต้เถียงใด ๆ
จริงอยู่ที่ซูอี้มิได้ลงมือแต่ต้นจนจบ
แต่นี่ยิ่งทำให้ซูอี้ยิ่งน่าพรั่นพรึง!
เพราะถึงอย่างไร ฉยงฉีตนนั้นก็ทรงพลังเสียจนบดขยี้ลวี่เมิ่งได้ ทว่ามันกลับเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงวิญญาณผู้ถูกสยบต่อหน้าซูอี้ นุ่มนวลเยี่ยงแมว!
“อย่าเหลิงไปนัก ในสนามรบแรกนี้ผู้ปราบฉยงฉีได้มีไม่น้อย ซูอี้ผู้นั้นอาจจะมิไร้เทียมทานนักก็ได้!”
บางผู้แค่นเสียงอย่างเย็นชา
“พวกเจ้าจากจักรดาราตงเสวียนอย่าดีใจเร็วไปนัก!”
“แล้วเราจะได้เห็นกัน”
…เหล่าผู้ชมทั้งหลายพากันแยกย้าย
“ปรากฏว่าเป็นเขาเองที่ทำลาย ‘คันฉ่องครองวิญญาณ’ ของศิษย์พี่!”
ณ มุมหนึ่งอันห่างไกลมิเป็นที่สนใจ ใบหน้าของชายชราชุดเขียวผู้หนึ่งมืดหมอง
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์น้องของผู้อาวุโสเฉียนเสวี่ยเฟิงแห่งสำนักเซียนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์!
ก่อนหน้านี้ในหนองน้ำอสูรโลหิต เฉียนเสวี่ยเฟิงได้ใช้คันฉ่องครองวิญญาณเข้าควบคุมวิหคผีปีกโลหิตและฉยงฉีลอบโจมตีพวกซูอี้
เรื่องนี้ชายชราชุดเขียวรู้ดีมาก
และยามนี้ เมื่อเขาเห็นว่าฉยงฉีถูกซูอี้ปราบลง ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตัวการพังแผนใหญ่ของศิษย์พี่เฉียนเสวี่ยเฟิงคือผู้ใด!
“ในเมื่อคนผู้นี้กลับมายังแดนแรกเยือนได้ ศิษย์พี่ก็น่าจะประสบอุบัติเหตุไปแล้ว และเรื่องนี้ต้องรายงานสำนักโดยเร็วที่สุด!”
ชายชราชุดเขียวขมวดคิ้ว ก่อนจะหันหลังรีบจากไป
……
วันเดียวกันนั้น ข่าวที่ซูอี้ ตัวตนในตำนานแห่งจักรดาราตงเสวียนปรากฏตัวในสนามรบแรกก็แพร่ไปทั่วทุกฝ่ายจักรดารา ทำให้เกิดเสียงหารือนับไม่ถ้วน
และลวี่เมิ่งผู้ถูกฉยงฉีทำให้กลัวจนสลบก็กลายเป็นตัวตลก
“เพียงสามเดือน ซูอี้ผู้นั้นก็ทะลวงจากสนามรบที่สามสู่สนามรบแรกได้ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ธรรมดาจริง ๆ!”
“ภายใต้เกียรติยศหามีนักรบลวงไม่ ตัวตนในขอบเขตจิตทารกนี้ย่อมต้องไม่ธรรมดาหากจะถูกพวกเจ้าแก่จากจักรดาราตงเสวียนยกย่องเยี่ยงเทพได้!”
“ขอบเขตจิตทารก? บางทีเขาอาจจะมิเป็นเช่นนั้นแล้วก็ได้”
“น่าสนใจไม่ใช่หรือ? ในที่สุดจักรดาราตงเสวียนก็ปรากฏบุคคลที่สู้ได้แล้ว”
“เฮอะ งั้นเราก็ควรชมสักหน่อยว่าซูอี้ผู้นั้นสามารถเพียงไร!”
วาจาประมาณเดียวกันเกิดขึ้นในฝ่ายต่าง ๆ
……
ยอดเขาหนานหั่ว
ณ ตำหนักอันเรียบง่ายบนยอดเขา
“เพียงหนึ่งโจมตีก็ปราบสัตว์ร้ายไร้เทียมทานอย่างวิหคผีปีกโลหิตและฉยงฉีได้หรือ? ซูอี้ผู้นี้… แข็งแกร่งมากจริง ๆ!”
ดวงตาของเริ่นฉางชิงเรืองประกาย
เขารูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์สีขาวเรียบง่าย กิริยาเยี่ยงหงส์มังกรไร้เทียมทาน
เขาคือผู้นำจักรดาราหนานหั่วในขอบเขตจุติมงคล!
ในสนามรบแรกฝ่ายจักรดาราหนานหั่วมีตัวตนขอบเขตจุติมงคลอยู่เกือบสองร้อย คนแต่ละผู้ล้วนมาจากขุมกำลังสูงสุดต่าง ๆ ในจักรดาราหนานหั่ว
ทว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าเริ่นฉางชิงเป็นตัวตนอันดับหนึ่ง นักดาบไร้พ่ายแห่งจักรดาราหนานหั่ว!
และในสนามรบแรกนี้ แต่ละฝ่ายก็ล้วนมีน้อยคนนักที่เขาจะถือเป็นคู่ต่อสู้ได้จริง ๆ
“ใต้เท้า เฉียนเสวี่ยเฟิงจากจักรดาราซีหานผิดต่อกฎ คิดยืมมือสัตว์ร้ายมาฆ่าพวกเรา โปรดทวงความเป็นธรรมให้พวกเราด้วยขอรับ!”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและคณะผู้เคยเดินทางกับซูอี้ต่างยืนอยู่ในห้อง ณ ขณะนี้ พวกเขาอธิบายเรื่องที่เกิด ณ หนองน้ำอสูรโลหิตออกมาแล้ว
เริ่นฉางชิงพยักหน้าช้าๆ และกล่าวว่า “เรื่องนี้แย่มากจริง ๆ! แต่ซูอี้ผู้นั้นก็ไร้คำนึงเกินไปเช่นกันและสังหารเฉียนเสวี่ยเฟิงผู้นั้นตรง ๆ…”
กล่าวถึงตรงนี้ คิ้วของเริ่นฉางชิงก็ขมวดเข้าหากันน้อย ๆ อย่างช่วยมิได้
เขารู้ดีมากว่าความตายของเฉียนเสวี่ยเฟิงน่าจะกลายเป็นข้ออ้างให้ฝั่งจักรดาราซีหานโจมตีล้างแค้น!
“พวกเจ้าจะทำเช่นไรต่อ?” เริ่นฉางชิงถาม
“เรียนใต้เท้า หากจักรดาราซีหานอยากตอบโต้ล้างแค้นสหายเต๋าซู ข้าจะยืนขึ้นเป็นพยานแก่เขาแน่นอนขอรับ!”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
หลังพวกเขากลับมาจากหนองน้ำอสูรโลหิต พวกเขาก็ได้รู้ว่าซูอี้ให้ฉยงฉีไปต่อสู้ ปราบลวี่เมิ่งลง และในที่สุดก็รู้ชื่อของซูอี้
แม้จักรดาราหนานหั่วและตงเสวียนเองก็เป็นคู่แข่ง ชีวิตของพวกชายวัยกลางคนชุดเหลืองก็ล้วนถูกช่วยไว้โดยซูอี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมิอยู่เฉย
“ผู้ยิ่งใหญ่ควรรู้จักแยกแยะบุญคุณความแค้นเช่นนี้”
เริ่นฉางชิงพยักหน้ากล่าว “ข้าสนับสนุนให้พวกเจ้าทำเช่นนี้!”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและคณะล้วนใจชื้นโล่งอก
พวกเขารู้ว่าขอเพียงเริ่นฉางชิงให้วาจา มันก็พิสูจน์แล้วว่าเขาจะมิอยู่เฉย
ทันใดนั้น เริ่นฉางชิงก็กล่าวอย่างสนอกสนใจ “หลิงผู เจ้าคิดว่าซูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร?”
หลิงผูคือนามของชายวัยกลางคนในชุดเหลือง
เขาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เขาเป็นเยี่ยงหุบเหว ไร้ก้นบึ้ง เกินคาดหยั่งขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ…”
ดวงตาของเริ่นฉางชิงสาดประกายกล้าราวกับพันดาราปรากฏขึ้นในดวงเนตร
“หากมีโอกาส ข้าอยากประลองกับเขาจัง!”
ที่สูงนั้นเหน็บหนาว ความรู้สึกนี้มีเพียงผู้อยู่ระดับเดียวกับเขาเท่านั้นที่เข้าใจ
ยามนี้ ในสนามรบแรก สิ่งที่ทำให้เริ่นฉางชิงแสนปรีดานั้นคือ ในที่สุดเขาก็พบคนที่เขาถือเป็นศัตรูร้ายได้แล้ว!
……
ยอดเขาซีหาน
บนไหล่เขา กลุ่มตัวตนขอบเขตจุติมงคลจากสำนักเซียนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกัน
“เรื่องนี้จะปล่อยไว้ไม่ได้!”
สีหน้าของเนี่ยอวิ๋นเหวินมืดทะมึน
เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเซียนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จากจักรดาราซีหาน
สำนักเซียนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มเต๋าสูงสุดแห่งจักรดาราซีหาน ซึ่งครานี้มีตัวตนขอบเขตจุติสรวงในสนามรบแรกนี้ยี่สิบกว่าคน
“ผู้อาวุโสสูงสุด เราควรทำเช่นไรขอรับ?”
ชายชราชุดเขียวเอ่ยถาม
เนี่ยอวิ๋นเหวินกล่าวโดยไม่คิด “ประการแรก ไม่ว่าอย่างไร ห้ามยอมรับสิ่งที่เฉียนเสวี่ยเฟิงทำ”
“ประการที่สอง ซูอี้ผู้นั้นฆ่าคนโดยผิดกฎ ความผิดนี้มิอาจอภัย ยามเซียนซู่ซินกลับมา เราจะไปขอให้เซียนซู่ซินเอาชีวิตเขา!”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ดวงตาของคนทุกผู้ก็เรืองประกาย
เซียนซู่ซินผู้นี้คือ ‘ฉินซู่ซิน’ ผู้นำจักรดาราซีหานของพวกเขา
หากขอให้นางลงมือได้ ก็สามารถล้างแค้นให้เฉียนเสวี่ยเฟิงได้!
“ข้าแค่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เซียนซู่ซินจะกลับมายังค่ายฝ่ายเรา”
บางผู้พึมพำ
ครึ่งเดือนก่อน ฉินซู่ซินออกจากค่ายสู่โลกภายนอกเพื่อค้นหาโอกาส ทว่ายังมิได้กลับมาอีกเลย
เนี่ยอวิ๋นเหวินกล่าว “อย่าห่วงเลย อดทนรอไปเถอะ”
ทุกผู้ต่างพยักหน้า
……
ยอดเขาเป่ยเยวียน
ภายในศาลาแห่งหนึ่งที่ยอดเขา
“ลวี่เมิ่งผู้นี้ช่างน่าขายหน้า ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีตัวตนใดในขอบเขตจุติมงคลพ่ายได้น่าอายเช่นนี้!”
ดวงตาของเวินซิวจู่เปี่ยมความเหยียดหยัน
นางร่างผอมบาง สวมอาภรณ์หลากสี รูปลักษณ์โดดเด่น
เกียรติภูมิของนางในฝ่ายจักรดาราเป่ยเยวียนเป็นรองเพียงศิษย์พี่อวี่เฉินของนางเท่านั้น
และอวี่เฉินก็คือผู้นำจักรดาราเป่ยเยวียน!
“ให้เขาไปเสีย ข้าจะมิปกป้องคนเช่นเขา”
เวินซิวจู่เอ่ยสั่ง
“ขอรับ!”
ชายชราผู้หนึ่งเดินออกไป
“พ่ายแพ้ยับเยินเพียงนี้ แต่ยังอยากให้ข้าและศิษย์พี่ออกหน้าให้ คนเช่นนี้เสียไปมิเสียดายหรอก”
เวินซิวจู่ส่ายหน้าน้อย ๆ
“ไม่อาจรู้เลยว่าจวบยามนี้ ศิษย์พี่หลอมรวม ‘แก่นจิตจุติสรวง’ ไปได้มากเพียงไรแล้ว”
สายตาของเวินซิวจู่มองไปยังบ้านศิลาอันมิห่างไปนัก
ประตูบ้านศิลาปิดสนิท และอวี่เฉิน ผู้นำจักรดาราเป่ยเยวียนก็เก็บตัวอยู่ในนั้นมาสองเดือนแล้ว
เมื่อคิดถึงศิษย์พี่ของนางอวี่เฉิน เวินซิวจู่ก็อดคิดมิได้ว่าศิษย์พี่อวี่เฉิยเคยกล่าวไว้ว่าอยากหาเซียนสักผู้ อัดให้เละแล้วถามเซียนผู้นั้นว่ากำปั้นผู้ฝึกตนมนุษย์เช่นเขาหนักพอหรือไม่!
“ช่างน่าขันที่คนจากฝ่ายอื่นยังถือฉินซู่ซินกับเริ่นฉางชิงเป็นผู้สามารถเทียบเทียมศิษย์พี่อวี่เฉินได้ ใครเล่าจะคิดว่าศิษย์พี่อวี่เฉินมิถือตัวตนในขอบเขตจุติมงคลเป็นคู่ต่อสู้มาแสนนานแล้ว?”
เมื่อเวินซิวจู่คิดเช่นนี้ นางก็อดรู้สึกภาคภูมิเป็นเกียรติมิได้!
ยอดเขาตงเสวียน
“คารวะใต้เท้าซู!”
เมื่อซูอี้มาถึง ตัวตนจากจักรดาราตงเสวียนที่พบตามทางล้วนคำนับตาม ๆ กัน สีหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มปรีดา
การมาถึงของซูอี้ทำให้พวกเขารู้สึกราวได้พบที่พึ่งทางใจอย่างจริงแท้
แน่นอน ยังมีหลายบุคคลอึดอัดมิสบายใจนัก เพราะในอดีต ขุมกำลังเบื้องหลังพวกเขาเป็นอริต่อซูอี้ พ่ายแพ้ย่อยยับหนักหนา เสียหายอย่างหนักหน่วง!
แม้ท้ายที่สุด ขุมกำลังทั้งหลายเบื้องหลังพวกเขาจะยอมสยบต่อซูอี้ก็ตาม แต่เมื่อพานพบซูอี้อีกครั้ง ความรู้สึกในใจของพวกเขาก็ยังแสนย้อนแย้ง
ซูอี้หาสนใจเรื่องเหล่านี้ไม่
ไม่นานนัก คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย
เขามาถึงยอดเขาตงเสวียนแล้ว แต่จวบยามนี้ก็ยังไม่พบร่างของดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อเลย
………………..