บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1525: สายไปหนึ่งก้าว
ตอนที่ 1525: สายไปหนึ่งก้าว
คงไม่เกินไปหากจะกล่าวว่าในศึกก่อนหน้านี้ บาดแผลกึ่งหนึ่งของซูอี้เป็นผลงานของยอดฝีมือวิถีธนูผู้นั้น
ไม่ใช่เพราะวิถีธนูของอีกฝ่ายร้ายกาจแต่อย่างใด
ทว่าทุกครั้งที่อีกฝ่ายลงมือนั้นประณีตและชั่วร้ายอย่างยิ่ง!
แย่เสียจนซูอี้ติดขัดทุกหนทางยามต่อกรกลุ่มศัตรู
ดั่งวาจาที่ว่าหอกในที่โล่งง่ายหลบเลี่ยง ทว่าธนูจากที่ลับนั้นแสนยากสกัดขวาง
ดังนั้น ทันทีที่เขามีโอกาส ซูอี้ก็โจมตียอดฝีมือวิถีธนูซึ่งซ่อนอยู่ไกล ๆ
“บัดซบ ไฉนไอ้เลวนี่ทรงพลังนัก?”
ในความมืดห่างออกไปแสนไกล สีหน้าของชายชุดดำถือคันธนูสำริดขนาดใหญ่ผู้หนึ่งพลันแปรเปลี่ยน
เขายกคันธนูใหญ่ยิงธนูเยี่ยงพิรุณ แน่นขนัดต่อเนื่องโดยไร้ลังเล ศรแต่ละดอกล้วนระเบิดรัศมีเจิดจรัส ร้ายกาจทรงพลัง
ทว่า สิ่งที่ทำให้ชายชุดดำขวัญหนีดีฝ่อก็คือ ซูอี้นั้นดูจะคาดเดาทุกสิ่งได้ ออกโจมตีตาม ๆ กัน
แต่ละดาบของเขาดุจดอกไม้ไหวพฤกษาพลิ้ว อำนาจของแต่ละศรล้วนถูกเบนเบี่ยงออกไปง่ายดาย
ในสายตาคนนอก แต่ละดาบของซูอี้ถูกฟาดฟันหาได้หลบเลี่ยงไม่ แต่ก็สามารถหลบห่าฝนธนูที่พุ่งเข้ามาหาได้โดยง่าย!
“ใช้ความแข็งแกร่งประชัน ใช้กำลังเบี่ยงอำนาจผู้อื่น! สัญชาตญาณศึกที่ทำเช่นนี้ได้ต้องร้ายกาจน่าสะพรึงเพียงใดเชียว?”
ชายชุดดำรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ
ในฐานะเซียนแท้ขอบเขตสุญตาผู้หนึ่งซึ่งฝึกฝนบนวิถีธนู เขาไม่อาจจำได้ว่าลอบสังหารศัตรูร้ายมากมายเพียงใด และกระทั่งเคยลอบโจมตีตัวตนในระดับราชันเซียนผู้หนึ่งมาก่อนด้วย!
ทว่า เขามิเคยคาดว่าความสำเร็จวิถีธนูอันแสนภาคภูมิของตนจะไม่อาจกระทำอันใดต่อชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ยังมิได้ก้าวสู่วิถีเซียนได้!
ทว่าชายชุดดำหามีเวลาคิดถึงมันไม่
ซูอี้โจมตีกลับในพริบตา!
“หยุดเขาเร็ว!”
วิถีแห่งคันศรและธนู หากถูกศัตรูเข้าประชิด เขาจะพ่ายต่อการคุกคามของศัตรูสิ้นท่า
ชายชุดดำมีประสบการณ์ศึกโชกโชน และจะมิให้โอกาสนั้นแก่ซูอี้
ขณะเดียวกัน ศัตรูคนอื่น ๆ ก็ทะยานสุดความเร็วเข้ามากระหน่ำโจมตีซูอี้โดยไม่ออมแรง
ทว่าซูอี้หาสนใจไม่
ตู้ม!
เตาเสริมสวรรค์ทะยานสูง รัศมีเซียนสีม่วงพรั่งพรูเยี่ยงน้ำตก คุ้มกันร่างซูอี้ไว้
ขณะเดียวกัน เขาก็ถลาตัวฟาดดาบเข้าใส่ชายชุดดำ
เพียงหนึ่งดาบ ทว่ากลับดูแสนกว้างใหญ่บดบังท้องนภา!
“ไม่!”
ชายชุดดำซึ่งกำลังหนีไปไกลร่างชะงัก แผดร้องอย่างหวาดผวา
ภายใต้ดาบนี้ ร่างของเขาเยี่ยงติดหล่มทรายดูด มิอาจขยับเขยื้อน ซ้ำวิถีเต๋ายังถูกสะกดไว้อย่างรุนแรง
สายเกินกว่าจะหลบเลี่ยง!
ตู้ม!
ท้องนภาถล่มลง
ปราณดาบอันดูมิอาจทำลายได้ถาโถมสังหารชายชุดดำลงทันที ผืนแผ่นดินถูกฟาดแยกเป็นรอยแยกมหึมาเกินหยั่งก้นบึ้ง
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
การโจมตีของศัตรูอื่น ๆ กระหน่ำเข้ามาเยี่ยงระลอกคลื่น ทว่าพวกมันทั้งหมดล้วนถูกเตาเสริมสวรรค์กั้นขวาง เกิดเป็นเสียงกระทบดังสนั่น
ท่ามกลางประกายแสงพร่างพรม ซูอี้หันขวับกลับมา
ยามนี้ แม้ร่างของเขาจะโชกเลือด เต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส ทว่าทั่วร่างของเขาดูจะแผดเผาด้วยภาวะดาบทะลวงเมฆา
นัยต์เนตรลึกล้ำเฉยเมยดูไร้ก้นบึ้ง จิตสังหารคุกรุ่นเดือดพล่าน
เหล่าศัตรูผู้ไล่ล่าโจมตีเขาล้วนรู้สึกเย็นเยือกในใจอย่างมิอาจบรรยาย จิตต่อสู้หดหายลงไปอย่างมาก
นี่เป็นผู้ฝึกตนมนุษย์ซึ่งยังไม่ได้เข้าสู่วิถีเซียนจริง ๆ หรือ?
น่ากลัวเกินไปแล้ว!!!
“ฆ่า”
บางผู้กัดฟันเค้นเสียง
ยามนี้ ฝ่ายพวกเขามีแปดคน
และซูอี้บาดเจ็บสาหัส จะตายตกยามใดก็ได้!
“ฆ่า!”
เซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งหลายดวงตาแดงฉาน โหมกำลังสุดฝีมือ
“ฝูงตั๊กแตนเอ๋ย!”
ดวงตาของซูอี้ฉายประกายดูแคลน
เขาสูดหายใจลึก ๆ และทะยานเข้าร่วมตะลุมบอน
เป็นที่ชัดเจนว่าร่างของเขาบาดเจ็บโชกเลือด
ทว่าการกระทำของเขากลับยิ่งทวีความดุร้ายอหังการ
เหมือนเช่นเทพดาบเยือนหล้า ปราณสังหารทลายปฐพี!
เปรี๊ยะ!
หอกยาวเล่มหนึ่งแตกออก
เซียนแท้ขอบเขตสุญตาเจ้าของหอกเล่มนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างตกตะลึง เขาหันหลังคิดหลบซ่อน ทว่าก็ถูกเตาเสริมสวรรค์กระแทกลงมาจากเบื้องบนใส่ร่าง
ร่างของเขาแหลกสลายไปทันที
ทันทีที่จิตวิญญาณละล่องออก มันก็ถูกรัศมีเซียนสีม่วงดึงดูดสลายไปในพริบตา
ขณะเดียวกันนั้น ซูอี้สังหารศัตรูอื่น ๆ ลงได้อีก
ชั่วขณะนั้น ซูอี้ได้แผลใหม่เพิ่มมาบนร่างอีกมากมาย ทั่วร่างดูคล้ายกระเบื้องที่กำลังจะแหลกเละ
ทว่าเขากลับดูไม่ได้รู้ตน
ดวงตาเย็นชาคมปลาบเยี่ยงอสนีบาต จิตสังหารคุกรุ่นแผดเผา!
ไม่นานนัก ซูอี้ก็สบโอกาสเร่งเตาเสริมสวรรค์กระแทกเข้าใส่ศัตรูกลุ่มหนึ่ง
ตู้ม!!
ราวท้องนภาถล่มร่วง
ศัตรูทั้งหลายเหล่านั้นถูกเตาเสริมสวรรค์ขยี้แตกวงในทันใด
ฉวยโอกาสนั้น ซูอี้กวัดแกว่งดาบสังหารศัตรูร้ายผู้หนึ่งซึ่งหลบไม่ทันลงทันที
โลหิตกระเซ็น ซูอี้หันตัวกลับมาสังหารศัตรูคนถัดไป
ห้าชั่วดีดนิ้วถัดมา
สิบชั่วดีดนิ้ว
มีผู้พยายามหลบหนี ทว่ายังไม่ทันไรก็ถูกปราณดาบดุร้ายหนาแน่นฟาดฟันเยี่ยงต้องทัณฑ์ประหารพันคมมีด
สิบห้าชั่วดีดนิ้ว
บางผู้เลือกเอาชีวิตเข้าแลกอย่างสิ้นหวัง คิดเผาหยกพร้อมศิลาไปกับซูอี้
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็ทำได้เพียงฟาดเตาเสริมสวรรค์กระเด็นไป ส่วนตนก็ถูกดาบอันกราดเกรี้ยวของซูอี้ปลิดชีพลง
ฟ้าดินรวนเร โลหิตสาดกระเซ็นทั่วแดน
บรรพตลำธารทั่วทศทิศพังทลายเหี่ยวเฉาสิ้นสภาพไปแสนนาน
เสียงการทำศึกคำรามกู่ก้องเป็นสายท่ามกลางราตรี และท่ามกลางการต่อสู้อันเดือดพล่านชุลมุน ภาพอันน่าสยดสยองดุเดือดปรากฏขึ้นเยี่ยงขุมนรก
ศึกนี้ชวนสลดอย่างจริงแท้!
และเหล่าศัตรูก็ล้มตายตาม ๆ กัน!
ยามนี้ ในสนามรบเหลือศัตรูเพียงสาม
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หนึ่งบุคคลเค้นเสียง ใบหน้าแดงก่ำ ยากจะยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้
สิ่งที่ตอบคำถามของเขาคือการโจมตีอย่างไร้ปรานีของซูอี้ ปราณดาบทะยานไกลสะท้านโลกา
ชายผู้นั้นต่อสู้ขัดขืนสุดกำลัง ทว่าท้ายที่สุดก็มิอาจฝืนต้าน ตายตกอย่างน่าสยดสยองท่ามกลางปราณดาบ
ศัตรูที่เหลือเพียงสองจิตต่อสู้สิ้นสลายมิเหลือดี พวกเขาหันหลังเผ่นหนี
หนนี้ พวกเขาส่งเซียนแท้ขอบเขตสุญตามาสิบหกคน!
การจัดทัพเช่นนี้ในแคว้นจิ่งสามารถกวาดล้างขุมกำลังเซียนหนึ่งแห่งลงได้ ทำให้บุคคลในขอบเขตเดียวกันขวัญผวา
พวกเขาเคยคิดว่าจะสามารถล้มผู้ฝึกตนตัวเล็กจ้อยจากโลกมนุษย์ลงได้โดยง่าย
แต่ใครเล่าจะคาดว่ายังคงคำนวณผิดไป!
ศัตรูในครานี้มิอาจใช้ความสูงต่ำของขอบเขตมาวัดได้เลย!
เมื่อเห็นเหล่าสหายล้มตายอย่างสยดสยองคนแล้วคนเล่า ทว่ากลับมิมีทีท่าว่าซูอี้จะพ่ายแต่อย่างใด ใครเล่าจะมิรู้สึกสิ้นหวัง?
หนี!
ยามนี้ เซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งสองที่หลงเหลือต้องการเพียงหนีออกจากสนามรบโชกเลือดอันมิต่างจากขุมนรกนี้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น
แต่มีหรือซูอี้จะยอมรามือเท่านี้?
นับแต่อึดใจที่ทั้งสองหนี ร่างของเขาก็ระเบิดพลังใช้อำนาจทั้งหมดทั่วร่างฟาดฟันดาบออกไปสองหน
หนึ่งดาบทะยานประจิม รวดเร็วเยี่ยงแสง
หนึ่งดาบเผชิญเวหาดุจรุ้งขาวพาดตะวัน
จากนั้น…
ไกลออกไปหลายพันจั้ง ปราณดาบวูบไหวขึ้นเบื้องหลังศัตรูผู้หนึ่ง ร่างของเขาแข็งทื่อ ก่อนจะถูกผ่าครึ่งเป็นสองซีก
ดุจไม้ฟืนถูกขวานผ่า
ขณะเดียวกัน ภายใต้ท้องนภา เมฆาสีเลือดระเบิดออก และเซียนแท้ขอบเขตสุญตาผู้นี้ก็ตายลงอย่างอเนจอนาถเป็นที่สุดดุจนกกระจอกต้องทัณฑ์ วิญญาณของเขาละล่องหาย
ยามนี้ สิบหกเซียนแท้ขอบเขตสุญตาถูกกวาดล้างไม่เหลือรอด!!
รัตติกาลเยี่ยงหมึกย้อม ฟ้าดินคุกรุ่นด้วยโลหิตเยี่ยงม่านหมอก รอบทิศเต็มไปด้วยทิวทัศน์อันเสื่อมโทรมล่มสลาย
ใต้ท้องนภา
ซูอี้ยืนบนอากาศ อกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง หายใจถี่รัว
ใบหน้าของเขาซีดขาว อาภรณ์เขียวใหม่เอี่ยมแหว่งวิ่นชุ่มโลหิตแดงฉาน ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลชวนสะเทือนใจ
กระทั่งพลังปราณทั่วกายของเขายังปั่นป่วนอลหม่าน
หรือก็คือ ทั้งพลังปราณ เลือด และอำนาจจิตวิญญาณล้วนกำลังจะสิ้นสูญ
ศึกนี้โหดหินเกินไปจริง ๆ
แทบจะเป็นการต่อสู้บนเส้นแบ่งความเป็นความตาย ร่ายรำเหนือคมมีด ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นหายนะอันนำสู่จุดจบร้ายกาจ!
ท้ายที่สุด ความต่างชั้นของความแข็งแกร่งก็ใหญ่หลวงเกินไป
แม้วิถีเต๋าของซูอี้จะท้าทายสวรรค์ รากฐานแข็งแกร่ง อำนาจต่อสู้และสัญชาตญาณศึกของเขาจะร้ายกาจสักเพียงไร และเขากระทั่งใช้ปราณดาบเก้าคุมขังสุดกำลังแต่ต้นจนจบด้วย
ทว่าหากต้องรับมือเซียนแท้ขอบเขตสุญตาสิบหกคน เขาก็มิอาจเลี่ยงการบาดเจ็บได้อยู่ดี!
แน่นอน ประวัติการณ์เช่นนี้เพียงพอให้เจิดจรัสทั่วทุกยุคสมัย สั่นสะเทือนทั่วโลกเซียนได้แล้ว!
เพราะถึงอย่างไร เขาก็สามารถฆ่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาในศึกได้สิบหกคนรวดก่อนได้เป็นเซียนเสียอีก หากเรื่องนี้แพร่งพราย เกรงว่าคงไร้ผู้ใดเชื่อลงเป็นแน่แท้!
“อีกนิดเดียวก็จะบีบให้ข้าสิ้นหวังได้แล้ว…”
เขากล่าวพลางกระอักไออย่างรุนแรง โลหิตหลั่งรินที่มุมปาก
“แต่… นั่นก็พอแล้วล่ะ…”
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้อยู่ หนึ่งเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ดึงดูดพลันดังขึ้นจากไกล ๆ
“สิ้นหวัง? เจ้า… ยังมีโอกาสอยู่อีกหรือ?”
ทันทีที่วาจานั้นดังขึ้น ซูอี้ก็สัมผัสได้ถึงวิกฤติถึงชีวิต
ร่างของเขาวูบไหวหลบแทบจะด้วยสัญชาตญาณ
มือเรียวข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ เสียบร่างของเขาจากด้านหลังดุจคมดาบ
ร่างของซูอี้ชะงัก ก้มลงมองและพบมือเปื้อนเลือดข้างหนึ่งเพิ่มมาตรงหน้า
ไม่จำเป็นต้องหันไปมอง ในจิตสัมผัสของเขาก็ปรากฏร่างเจ้าของหัตถ์ใหญ่ข้างนี้ขึ้นแล้ว
เขาเป็นชายผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมยาว รวบผมสวมมงกุฎ ผิวกระจ่างเนียนเยี่ยงหยก นัยน์ตาลึกล้ำเยี่ยงหุบเหว ดูกดดันคุกคามอย่างน่าประหลาด
ยามเขาต้องการโจมตีนี้ อำนาจทำลายล้างร้ายกาจก็เริ่มแพร่ออกในร่างของซูอี้ ก่อความอลหม่านทำลายล้างไปทั่วอย่างต่อเนื่อง
“ข้ารอโอกาสนี้อยู่นานแล้ว แน่นอน ข้ามิฆ่าเจ้าหรอก เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็คือผู้ครองวัฏสงสารที่กระทั่งเทพยังถวิลหา”
น้ำเสียงอบอุ่นดึงดูดก้องในโสต เจือด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
ทว่ามิคาด ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ ณ ยามนี้ และรำพึงเบา ๆ ว่า “เจ้ามาสายไปหนึ่งก้าว ยามนี้ จะจัดการเจ้าไม่จำเป็นต้องลงแรงมากเลย”
เขาว่าพลางเงยหน้ามองสู่ส่วนลึกแห่งท้องนภา
ชายในชุดคลุมยาวแค่นเสียงหึราวรู้สึกขำขัน และอดยิ้มมิได้ “จริงหรือ?”
“ใช่”
ซูอี้พยักหน้า
ชายในชุดคลุมยาวพลันสังเกตเห็นบางอย่าง เงยหน้ามองตามขึ้นไปสู่ส่วนลึกแห่งท้องนภาโดยพลัน
มิอาจทราบได้ว่ามีเมฆาทัณฑ์ดำทะมึนลึกล้ำปรากฏขึ้นอย่างไร้เสียงแต่ยามใด
ทันทีที่เขามองเห็นเช่นนั้น สภาพจิตใจของชายชุดคลุมยาวก็สั่นสะท้าน สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามถึงตายยิ่งกว่าคนใด จิตวิญญาณถูกกดดันอย่างร้ายแรง ร่างสะท้านหงึกหงัก รอยยิ้มบนใบหน้าชะงัก เส้นขนทั่วร่างลุกซู่ ประหวั่นพรั่นพรึงถึงวิญญาณ
“นี่มัน… มหาภัยพิบัติใดกัน!?”
ชายในชุดคลุมยาวร้องเสียงหลง
“นี่คือภัยพิบัติสำหรับข้าผู้เดียว”
ซูอี้กระซิบ
เสียงของเขามิทันสร่าง มือก็ชูขึ้น
และทัณฑ์อสนีบาตก็ฟาดลง
………………..