บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 805: หอเซียนเมา
ตอนที่ 805: หอเซียนเมา
ตอนที่ 805: หอเซียนเมา
ณ เขตราชาหกวิถี
ลำธารแห่งหนึ่งระหว่างหุบเขา ซูอี้กำลังนั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินริมลำธาร จากนั้นจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นตื่นจากสมาธิ
นับตั้งแต่เข้าสู่ภูมิมืดมิดมา เวลาผ่านไปแล้วยี่สิบวัน
ตั้งแต่ออกเดินทางจากมหาภูผาของเขตแม่น้ำลืมเลือนมาจนถึงตอนนี้ ผ่านไปนานครึ่งเดือนแล้ว
ในช่วงครึ่งเดือนมานี้ ซูอี้ไม่ได้เร่งเดินทางมากนัก แต่เดิน ๆ หยุด ๆ บางครั้งเดินทางผ่านภูเขาลำห้วยก็จะหยุดสัมผัสรับความงดงามของฟ้าดิน บางครั้งท่องเที่ยวไปในโลกสามัญก็จะสัมผัสรับรู้ถึงสภาวะต่าง ๆ ที่แตกต่างไปจากโลกภูมิอื่น
แต่ทว่า ซูอี้ไม่ได้ละทิ้งการฝึกตนเลย
วิถีพุทธกล่าวไว้ว่า เดินคือสมาธิ นั่งคือสมาธิ ทุกกิริยาล้วนเป็นธรรมชาติ
สำหรับซูอี้ผู้เคร่งครัดในการฝึกตนเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้อยู่ระหว่างทางขณะก้าวเดินก็ยังต้องเผื่อเวลาสำหรับการฝึกตน
ทว่าเวลานี้ เมื่อเขาตื่นขึ้นมาจากสมาธิ ระดับการฝึกตนพลันทะลวงผ่าน… ก้าวสู่ขอบเขตสยายวิญญาณขั้นปลายราวกับน้ำที่เต็มแก้วจนล้นออกมา!
ระดับการฝึกตนคือรากฐานแห่งมหาวิถี
การบรรลุระดับการฝึกตนนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของระดับวิถีภายในตัว ดังเช่นร่างกายเปลือกนอกกับจิตวิญญาณก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
เทียบกับเมื่อในอดีตแล้ว ก็ยิ่งทำให้ซูอี้มั่นใจที่จะต่อสู้กับตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นได้!
ความเป็นจริงแล้ว ซูอี้มองว่าจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นสามารถแบ่งได้เป็นสามประเภท
ประเภทที่หนึ่งคือ เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ยังไม่เคยสั่งสมกฎวิถีลึกล้ำอย่างสมบูรณ์
ดังเช่นหยวนหลินหนิง นักบวชลำดับสามของโถงหลงลืมก็คือผู้เป็นตัวตนระดับจักรพรรดิที่อยู่ในขั้นนี้
ประเภทที่สองคือ ผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นที่สั่งสมกฎวิถีลึกล้ำอย่างสมบูรณ์
ตัวตนเช่นนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้เป็นจักรพรรดิประเภทที่หนึ่งมาก!
หัวใจสำคัญอยู่ตรงที่ มีแต่สั่งสมกฎวิถีลึกล้ำอย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้นจึงจะเรียกได้ว่าเป็นจักรพรรดิอย่างแท้จริง
อย่างตัวตนประเภทที่หนึ่ง ถึงแม้จะก้าวสู่หนทางแห่งวิถีจักรพรรดิแล้ว ทว่าพลังมหาวิถีที่มีกลับไม่ค่อยต่างไปจากตัวตนวิถีวิญญาณมากนัก
แม้กระทั่งซูอี้เอง พูดกันเฉพาะแค่ระดับการฝึกตน หากให้เขาผู้อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นกลางมาเจอกับผู้เป็นจักรพรรดิที่สั่งสมกฎวิถีลึกล้ำอย่างสมบูรณ์แล้ว โอกาสที่จะชนะนั้นมีน้อยมาก
ช่วยไม่ได้ ขอบเขตต่างกันมาก ความช่ำชองในการใช้พลังมหาวิถีก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน จึงไม่อาจใช้วิธีอื่นมาช่วยทดแทนได้
นอกเสียจากใช้กำลังจากสิ่งภายนอก
ส่วนประเภทที่สามก็คือเป็นจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นที่สั่งสมกฎวิถีลึกล้ำอันดับหนึ่ง!
เป็นที่เข้าใจกันดีว่าลักษณะของกฎวิถีลึกล้ำก็แบ่งออกเป็นหลายระดับเช่นกัน หากแบ่งให้ละเอียดสามารถแบ่งได้มากมาย
แต่ที่สามารถเข้าตาซูอี้ได้ อีกทั้งยังสามารถนับรวมเข้าสู่กลุ่มจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำประเภทที่สามจะต้องมีกฎวิถีลึกล้ำอันดับหนึ่ง!
และคนระดับนี้ หากว่าอยู่ในเก้ามหาแดนดินก็ถือได้เช่นกันว่าเป็นบุคคลระดับสุดยอดของขอบเขตหยั่งเห็นล้ำลึกขั้นต้นเช่นกัน! มีพื้นฐานยิ่งใหญ่เกินเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ คนเดียวต้านทานคนนับสิบ!
พูดง่าย ๆ ก็คือผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นประเภทที่หนึ่งนั้นอ่อนที่สุด
ประเภทที่สองถือได้ว่าเป็นจักรพรรดิที่แท้จริง
ประเภทที่สามจึงจะถือได้ว่าเป็นผู้นำขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น!
นอกจากสามประเภทนี้แล้ว ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเป็นธรรมดา
แต่ทว่า ตัวตนในระดับนั้น อย่าว่าแต่ดินแดนแห่งความมืดมิดแห่งนี้เลย แม้แต่ในเก้ามหาแดนดินเองก็ยังถือเป็นตัวตนที่มีอยู่น้อยมาก แต่ละคนต่างก็มีบารมีอันยิ่งใหญ่สะท้านอดีตรุ่งโรจน์ถึงปัจจุบัน
ดังเช่นชิงถังศิษย์คนเล็กเมื่อในอดีตชาติของซูอี้ ตอนที่ย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนเก่งที่หาตัวจับได้ยากในรอบพันหรือหมื่นปี
สำหรับซูอี้แล้ว ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นกลาง เขาก็มีพื้นฐานที่สามารถเอาชนะผู้เป็นจักรพรรดิประเภทที่หนึ่งแล้ว
และตอนนี้ เมื่อก้าวสู่ขอบเขตสยายวิญญาณขั้นปลาย เขาก็มีความมั่นใจที่จะประลองกับผู้เป็นจักรพรรดิประเภทที่สอง!
อีกทั้ง ซูอี้คิดว่าเมื่อวันข้างหน้าตนเองก้าวสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้ว บางอาจจะสามารถลองงัดข้อกับผู้เป็นจักรพรรดิประเภทที่สามดูบ้างก็น่าจะได้!
ตามที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นการเปรียบเทียบกันในด้านระดับการฝึกตน แข่งกันในเรื่องระดับวิถีและกำลังการต่อสู้
แน่นอนว่าหากต้องแข่งกันในเรื่องพลังของสมบัติล้ำค่ากับกฎวิถี ซูอี้ก็ไม่กลัวเช่นกัน
“พี่ซู ระดับการฝึกตนของพี่บรรลุรวดเร็วเกินไปแล้วกระมัง? ดังคำกล่าวที่ว่าอะไรที่เกินไปมักจะไม่มี บนหนทางมหาวิถี ระดับการฝึกตนเร็วเกินไป ไม่ใช่เรื่องดีนัก”
ไม่ไกลนัก ชุยจิ๋งเหยี่ยนเดินมาหา นางรู้สึกได้อย่างฉับไวว่าการฝึกตนของซูอี้บรรลุไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ถึงกับร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
ตามที่นางรู้มา ตั้งแต่ตอนที่อยู่มหาทวีปคังชิงซูอี้ได้บรรลุขอบเขตย่างก้าวสู่ขอบเขตสยายวิญญาณ จนถึงตอนนี้ก้าวสู่ขอบเขตสยายวิญญาณขั้นปลาย ใช้เวลาทั้งสิ้นไม่ถึงครึ่งปีเท่านั้น!
ความเร็วเช่นนี้รวดเร็วจนน่าตกใจ
ซูอี้ได้แต่นิ่งเงียบไป
ชายชราตาบอดกลับทนไม่ไหวและกล่าวออกมา “แม่นางจิ๋งเหยี่ยน คุณชายซูอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณก็สามารถเอาชนะนักบวชลำดับสามแห่งโถงหลงลืมของพวกเจ้าได้ เจ้าคิดว่า… คุณชายซูจะไม่รู้ข้อดีข้อเสียของระดับการฝึกตนเลยเช่นนั้นหรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถึงกับพูดไม่ออก และได้แต่ทำตาถลึงใส่ชายชราตาบอดด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าว “คุณชายซูของเจ้าน่ะเก่งเสียเหลือเกิน พอใจหรือยัง?”
“ไปกันเถอะ หาที่พักผ่อนกินอิ่มกันก่อน”
ซูอี้พูดจบก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้าแล้ว
ชุยจิ๋งเหยี่ยนรีบตามไป ขณะพูดด้วยเสียงใสแจ๋ว “พี่ซู ไม่เกินเจ็ดวัน พวกเราก็จะถึงเมืองตาข่ายม่วงแล้ว ถึงเวลานั้น ข้าจะพาพี่ไปหอสุราที่เผ่าตระกละเปิด ให้พี่ได้รู้ว่าความอร่อยที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นใด”
ซูอี้ยิ้มตอบตกลง
ชายชราตาบอดก็ตามไปติด ๆ เช่นกัน หัวเราะเอิ๊กอ๊ากพลางถาม “ข้าได้ยินชื่อ ‘หอเมฆาหอม’ ที่เผ่าตระกละของเมืองตาข่ายม่วงเปิดมานานแล้วเช่นกัน เป็นหอสุรารสเยี่ยมของเขตราชาหกวิถี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ลิ้มลองสักที ครั้งนี้หากว่าได้พึ่งใบบุญของแม่นางจิ๋งเหยี่ยน ไปกินสักครั้งก็คงจะเป็นการดีไม่น้อย”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าว “ใครบอกว่าจะพาเจ้าไปกัน?”
ชายชราตาบอดถึงกับสะดุด หัวเราะไม่ออก
แม่สาวน้อยคนนี้ยังคงค้างคาใจกับคำพูดของตนเองเมื่อสักครู่อย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม
เมือง ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผืนแผ่นดินอันไกลโพ้น
“ด้านหน้าก็คือ ‘เมืองครองนภา’ เมื่อก่อนนานมากแล้ว เป็นสถานพำนักของ ‘กรมอสุรา’ หนึ่งในหกกรมกองของยมโลก”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างเชื่อมั่น “ถึงแม้กรมอสุราจะหายสาบสูญไปนานมากแล้ว แต่ ‘สกุลสิง’ ตระกูลโบราณที่เคยกุมอำนาจกรมอสุรายังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลแห่งภูมิมืดมิดด้วย”
ซูอี้พยักหน้า
ก่อนบรรพกาล ดินแดนแห่งเขตราชาหกวิถีเป็นกองบัญชาการใหญ่อำนาจสูงสุดของดินแดนปรภพแห่งภูมิมืดมิดแห่งนี้
ดินแดนปรภพในตอนนั้นเปรียบได้กับพระราชวังกลางในโลกสามัญ จัดตั้งให้มีขุมกำลังอย่างกรมหกวิถี กองตัดสิน สิบยมบาล กับประตูผีเบญจทิศเป็นต้น
กรมหกวิถีแบ่งออกเป็นกรมอสุรา กรมสุขาวดี กรมมนุสสภูมิ กรมสัมภเวสี กรมนรกภูมิ กรมเดรัจฉาน
กรมหกวิถีกับกองตัดสินประจำการอยู่ในเขตแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของเขตราชาหกวิถีแห่งนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นขุมกำลังส่วนกลางของดินแดนปรภพ
ดังเช่นเขตราชาหกวิถีหนึ่งในหกเขตสิบสามภพของภูมิมืดมิด เมื่อนานมากแล้วชื่อ ‘หกวิถี’ หมายถึง ‘กรมหกวิถี’
แต่ทว่า ก่อนบรรพกาล ตามการล่มสลายของดินแดนปรภพอันยิ่งใหญ่ที่ประกอบกันขึ้นจากขุมกำลังมากมาย ขุมกำลังอย่างกรมหกวิถีกับกองตัดสินก็สูญสิ้นไปพร้อมกับกาลเวลาด้วยเช่นกัน
ดังเช่น ‘เมืองผีเสี่ยวเฟิงตู’ ที่ปักหลักอยู่ในดินแดนปรภพ จนถึงตอนนี้ก็กลายเป็น ‘ดินแดนต้องห้าม’ ที่ทุกคนในใต้หล้าต่างก็รู้จัก!
ส่วนสกุลสิงเผ่าโบราณที่ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวนั้น เป็นคนรุ่นหลังของสายเลือดอสุราจริง ๆ แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นขุมกำลังโบราณในขั้นสุดยอดขุมกำลังหนึ่งในภูมิมืดมิด
เผ่าพันธุ์นี้เหมือนกับเผ่าปีศาจงู ต่างก็ถูกบันทึกอยู่ใน ‘เผ่าเก้าราชาแห่งภูมิมืดมิด’
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ก็มาถึงเมืองครองนภาแล้ว
เมืองแห่งนี้กินอาณาบริเวณค่อนข้างกว้าง ทั้งยังมีขนาดใหญ่โต จนถือได้ว่าเป็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเขตราชาหกวิถี ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรือง และผู้ฝึกตนจำนวนมากมาย
“พวกเราไปหอเซียนเมากัน ที่นั่นเป็นหอสุราที่มีชื่อที่สุดของเมืองครองนภา อาหารแนะนำ ‘ห่านฟ้าย่าง’ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดอาหารเลิศรสของเมืองครองนภาเลยเชียว”
พอเข้าไปในเมือง ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็นำทางด้วยความตื่นเต้นยินดี “เมื่อก่อนหน้านี้ ข้าเคยมากินกับบิดาหนหนึ่ง จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่ลืมรสชาตินั้น นอกจากนี้แล้ว ยังมี ‘สุราหมักพุทราไฟ’ ซึ่งเป็นสูตรเด็ดเฉพาะของหอเซียนเมาก็มีรสชาติดีมากเช่นกัน”
ซูอี้อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ พอพูดถึงเรื่องกินขึ้นมา สองตาของแม่สาวน้อยคนนี้ก็ลุกวาว… เห็นได้ชัดว่าช่างกิน!
แต่แบบนี้สิจึงเป็นจุดน่าสนใจในการท่องเที่ยวโลกา
ฝึกตนแสวงวิถี อย่างไรเสียก็มีแต่ความเบื่อหน่าย
ทว่าอยู่ในโลกาหมื่นสรรพสิ่ง ทำให้ผู้ฝึกตนได้สัมผัสกับการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง มองเห็นความเป็นไปในโลก รับรู้เรื่องราวของสรรพชีวิต ทุกอย่างล้วนเป็นความรู้ ล้วนซ่อนเร้นด้วยสัจธรรม
ดังเช่นการกินอยู่หลับนอน เกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครสามารถหนีได้พ้น
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตน ใครบ้างที่กล้าบอกว่าตนเองไม่มีวันตาย?
เมื่อมาถึงหอเซียนเมา ถึงแม้จะเป็นช่วงเช้า แต่ที่นี่กลับมีแขกนั่งกันจนเต็มหอแล้ว กิจการดีเป็นเทน้ำเทท่า ไม่เพียงแต่ไม่มีที่ว่าง คนที่รออยู่ด้านนอกก็ยังเข้าแถวยาวเหยียด
เห็นเช่นนี้แล้ว ชุยจิ๋งเหยี่ยนถึงกับขมวดคิ้วในทันใด และกล่าว “ผิดหวังจริง ๆ เลย…”
นางไม่อยากจะเสียเวลายืนรออยู่ด้านนอกเพื่อขอให้ได้กินสักคำ เพราะนางรู้สึกว่าไม่คุ้ม
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปที่อื่น”
ซูอี้ยิ่งไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการเข้าแถวรอ
ชายชราตาบอดที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดส่งเสียงพูดขึ้นมาเบา ๆ ในเวลานี้ “คุณชายซู นับตั้งแต่เข้ามาในเมืองนี้แล้ว ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จนกระทั่งถึงตอนนี้ ในที่สุดก็มั่นใจได้ว่ามีคนกำลังแอบสะกดรอยพวกเราอยู่!”
ซูอี้ตะลึง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเรียบ “รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร?”
ชายชราตาบอดตอบรวดเร็ว “ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ข้ามั่นใจได้ว่า คนที่แอบสะกดรอยคนนั้นจะต้องอยู่บริเวณนี้แน่ อีกทั้ง เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นี้เป็นคนมีฝีมือ และระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่รู้สึกว่ามีคนตาม ความรู้สึกที่ถูกคนจ้องก็จะหายไป”
ซูอี้กล่าวอย่างใช้ความคิด “หากว่าเป็นเช่นนี้ ฝ่ายตรงข้ามอาจจะรู้ฐานะของเจ้าแล้ว”
ดังที่รู้กันว่า ในบรรดาพวกเขาทั้งสาม คนที่เป็นจุดเด่นที่สุดก็คือชุยจิ๋งเหยี่ยน รูปร่างหน้าตาของแม่สาวน้อยมีความโดดเด่นเกินใคร ราวกับนางฟ้าลงมาจากสวรรค์ เดินไปทางใดก็ต้องกลายเป็นจุดจับตามอง
ตอนนี้ก็เช่นกัน
แต่ทว่ากลับมีคนสะกดรอยตามชายชราตาบอดอย่างลับ ๆ เช่นนี้ก็แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามรู้ฐานะของชายชราตาบอดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังกลัวด้วยว่าจะชายชราตาบอดจะหลุดรอดสายตา!
ชายชราตาบอดลดเสียงต่ำลง “คงจะเป็นดังว่า ข้าใช้ยันต์ท่องราตรีแล้ว ไม่ว่าใคร ประเดี๋ยวก็สามารถสืบรู้ได้อย่างชัดเจน”
ซูอี้พยักหน้า
และในขณะนี้เอง เสียงที่แฝงไว้ด้วยความปีติยินดีก็ดังขึ้นจากบนหอเซียนเมา
“แม่นางจิ๋งเหยี่ยน! เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
เมื่อเสียงดังขึ้น ก็เห็นร่าง ๆ หนึ่งกระโดดลงมาจากหน้าต่างห้องชั้นบนสุดที่มีความสูงถึงสามสิบจั้งของหอเซียนเมา
ชั่วพริบตาเดียวก็ร่อนลงมาอยู่ตรงหน้าชุยจิ๋งเหยี่ยนประดุจขนนก
ทุกคนจึงเห็นชัดเจนแล้วว่าคนผู้นี้คือผู้ชายในชุดสีหยกท่าทางสุภาพงดงามใบหน้าคมเข้ม
บุคคลผู้มีความงดงามเหนือใครยืนอยู่กลางฝูงคนเช่นนี้ ประดุจหยกมุกที่ส่องสว่างท่ามกลางดินทราย