บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 806: พิภพยมราชฝังวิถี!
ตอนที่ 806: พิภพยมราชฝังวิถี!
ตอนที่ 806: พิภพยมราชฝังวิถี!
การปรากฏตัวของชายในอาภรณ์หยกก่อให้เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้คนรายล้อม
สิงเยว่!
ทายาทจากตระกูลสิงโบราณ หนึ่งในเก้าเผ่าราชาแห่งภูมิมืดมิด และบุตรสูงศักดิ์อันดับหนึ่งในเมืองครองนภา!
“กลิ่นอายนรกอเวจี ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเป็นทายาทสายตรงจากตระกูลสิง และสืบทอด ‘คัมภีร์อสุราอเวจี’ จากบรรพชน”
แม้ว่าซูอี้จะไม่รู้ชื่อของชายหนุ่มในอาภรณ์หยก ทว่าเขาก็สามารถมองทะลุถึงภูมิหลังของอีกฝ่ายได้จากการหยั่งกลิ่นอายอีกฝ่ายในแวบแรก
ตระกูลสิงเป็นตระกูลโบราณซึ่งเดิมทีสืบเชื้อสายอสุราโบราณ และคัมภีร์มรดกของพวกเขาก็เกี่ยวข้องกับ ‘มหาวิถีนรกอเวจี’ อันมีแก่นแท้คือการปลุกพลังสายเลือดที่แท้จริงแห่งอสุรา
“ไฉนเจ้าหน้าหยกผู้ชอบไปเที่ยวดมบุปผา ถึงมาอยู่นี่ได้เล่า?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนแปลกใจ
ใบหน้าของสิงเยว่เผยความละอายเล็กน้อย และกล่าวว่า “วันนี้ข้าพาสหายไปสังสรรค์ ไม่คาดว่าจะได้บังเอิญพบกับแม่นางจิ๋งเหยี่ยนเข้า”
กล่าวจบ เขาก็เบนสายตามาและยิ้มอย่างกระตือรือร้น “ในเมื่อแม่นางจิ๋งเหยี่ยนมาลิ้มลองอาหารที่นี่เช่นกันก็ไปด้วยกันเถอะ ข้าสั่งจองชั้นบนสุดของหอไว้แล้ว”
ว่าชุยจิ๋งเหยี่ยนกลับหันไปถามซูอี้ว่า “พี่ซูคิดเห็นเช่นไร?”
สิงเยว่อดหันไปมองชายหนุ่มชุดเขียวข้างกายชุยจิ๋งเหยี่ยนซึ่งตนมองข้ามไปไม่ได้
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวตอบ “ได้”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเหลือบมองสิงเยว่และกล่าวตอบ “เอ้า เจ้าหน้าหยก นำทางสิ”
สิงเยว่ยิ้มอย่างขมขื่น “โธ่ท่านป้าจ๋า คนมองอยู่เยอะแยะ ไว้หน้าข้าบ้างไม่ได้หรือไร?”
“ไม่”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนตอบตัดบท
สิงเยว่ไร้สิ้นวาจา
“พี่ซู คนผู้นี้คือทายาทตระกูลสิงโบราณ เป็นเสือผู้หญิงผู้อ้างตนว่าเป็นนักรัก แต่ที่แท้แล้วกลับไม่รู้สิ่งใด แต่นิสัยของเขาไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกนะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนแนะนำ “หากเจ้าคิดว่าเขาขวางหูขวางตา จะเมินเขาไปก็ได้”
รอยยิ้มของสิงเยว่ชะงักค้างกับคำถากถาง ทว่าเขารู้จักนิสัยของชุยจิ๋งเหยี่ยนดี จึงไม่ได้โกรธ
ในทางกลับกัน วาจาของชุยจิ๋งเหยี่ยนทำให้เขาตระหนักมากขึ้นทุกขณะว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขามีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา!
ควรค่าจดจำว่าในหมู่ขุมกำลังสูงสุดในเขตราชาหกวิถี ใครบ้างจะไม่ทราบถึงความถือตนเย่อหยิ่งของคุณหนูชุยจิ๋งเหยี่ยนผู้นี้?
ทว่ายามนี้ แม้ชุยจิ๋งเหยี่ยนจะได้รับเชิญ แต่นางก็ยังต้องหันไปถามความเห็นซูอี้ สิงเยว่จะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
สิงเยว่ระงับความคิดพลางก้าวออกมาทักทาย ปากถามด้วยรอยยิ้มร่า “ขอบังอาจถามว่าคุณชายท่านนี้คือผู้ใดหรือ?”
ก่อนที่ซูอี้จะทันได้อ้าปาก ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็กล่าวตัดบทก่อน “แค่ให้เจ้านำทาง ไฉนต้องเวิ่นเว้อยืดยาว เราคุยแนะนำตนกันทีหลังไม่ได้หรือไร?”
สิงเยว่ยิ้มอย่างขมขื่น ลูบจมูกตนพลางยิ้มอย่างขออภัยให้กับซูอี้ แล้วจึงนำทางอย่างซื่อสัตย์
ภายใต้สายตาซับซ้อนของผู้ที่ต่อแถวรอ พวกเขาและสิงเยว่ก็เข้าสู่หอเซียนเมาอย่างไร้อุปสรรค
ณ ชั้นเก้า
มีชายหญิงแปดเก้าคนนั่งรออยู่แล้วในหออันตกแต่งวิจิตรตระการ
แค่จากอาภรณ์สวมใส่ก็บอกได้ว่าชายหญิงเหล่านี้มีที่มาไม่ธรรมดา
ผู้คนจับกลุ่มกับผู้ที่เสมอกัน อันที่จริงเป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลซึ่งสามารถนั่งอยู่ในห้องเดียวกันกับทายาทตระกูลสูงสุดเยี่ยงสิงเยว่จะเป็นคนธรรมดา
ทว่าเมื่อสิงเยว่พาชุยจิ๋งเหยี่ยนและซูอี้เข้ามา เหล่าชายหญิงทั้งหมดก็แทบลุกขึ้นทักทายชุยจิ๋งเหยี่ยนพร้อมกัน
“แม่นางจิ๋งเหยี่ยน ไม่ได้พบกันนานเลย”
“แม่นางจิ๋งเหยี่ยน ยังจำข้าได้หรือไม่? เมื่อสามปีก่อน ข้าและปู่ข้าไปเป็นแขกที่โถงหลงลืม และข้าก็โชคดีพอได้พบเจ้า”
ชายหญิงเหล่านี้ต่างพูดอย่างกะตือรือร้นด้วยความให้เกียรติไม่มากก็น้อย
เมื่อเผชิญการทักทายเยี่ยงนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ทำเพียงพยักหน้าและกล่าวว่า “เราก็แค่ผ่านทางมา กินเสร็จก็จะไปแล้ว โปรดอย่ามากพิธีเลย”
ความเรียบง่ายนี้ก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยสงวนตนและเฉยเมยเล็กน้อย
ทว่าชายหญิงเหล่านี้กลับไม่รู้สึกผิดที่ผิดทาง
อย่าว่าแต่ในเมืองครองนภาเลย กระทั่งทั่วเขตราชาหกวิถี ยังมีผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ชุยจิ๋งเหยี่ยนคือไข่ในหินประจำตระกูลชุย?
ต่อมา คนทุกผู้ก็นั่งประจำที่
ชุยจิ๋งเหยี่ยนออกคำสั่ง “เจ้าหน้าหยก เจ้าสั่งอาหารมาเพิ่มหน่อย”
เห็นได้ชัดว่านางเป็นแขก แต่กลับดูหยาบกระด้างนัก
ทว่าสิงเยว่ไม่รู้สึกรำคาญใจแม้แต่น้อย และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ไฉนต้องรอให้แม่นางจิ๋งเหยี่ยนสั่งเล่า ข้าแจ้งทางหอไปแล้วล่ะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ไม่นานนัก สำรับอาหารอันโอชะก็ถูกนำมาวางเรียงรายเต็มโต๊ะ ต่างตำรับต่างถูกสรรค์สร้างด้วยวัตถุดิบวิญญาณล้ำค่ามากมาย
โดยเฉพาะอาหารขึ้นชื่อ ‘ห่านฟ้าย่าง’ ซึ่งกล่าวได้ว่าใช้วัตถุดิบวิญญาณหลายร้อยชนิดมาใช้ปรุง และราคาของมันก็อยู่ที่ศิลาวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนสามร้อยชิ้น!
ผู้ฝึกตนธรรมดาย่อมไร้หวังจะกิน
ซูอี้ลองลิ้ม และพบว่ารสชาติของมันพิเศษเฉพาะจริงแท้ เนื้อหนังกรอบนอกนุ่มใน เจือด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ของผลไม้และเปลือกไม้ หลังกินเข้าไป ปราณที่อยู่ในเนื้อห่านก็เปลี่ยนเป็นกระแสอุ่นวาบแผ่ในกระเพาะ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างยิ่ง
“เป็นเช่นไรบ้าง?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถามพลางกะพริบตาคู่งาม
ซูอี้พยักหน้าตอบ “ไม่เลว”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนแย้มยิ้มทันที จากนั้นรินเหล้าพุทราไฟให้ซูอี้แก้วหนึ่งด้วยตนเอง และกล่าวว่า “ลองนี่ด้วยสิ”
ผู้คนในหอต่างเห็นภาพเหล่านี้ชัดเจน แม้จะไม่ได้พูดอันใด ทว่าพวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจจริงแท้ และสายตาที่มองซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะแปรเปลี่ยนอย่างละเอียดอ่อน
ก่อนหน้านี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนได้แนะนำตัวซูอี้และชายชราตาบอดแล้ว ทว่านางก็แนะนำเพียงชื่อของพวกเขา ไม่กล่าวอันใดถึงที่มาแม้แต่น้อย
ทว่ายามนี้ ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ ก็เห็นได้แล้วว่าที่มาของซูอี้ไม่ธรรมดา!
เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีชนรุ่นเยาว์ผู้ใดในเขตราชาหกวิถีซึ่งสามารถทำให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนปฏิบัติตนด้วยอย่างให้เกียรติเช่นนี้!
ดังนั้นในเวลาต่อมา เหล่าหนุ่มสาวอันนำโดยสิงเยว่ต่างดื่มฉลองให้ซูอี้คนแล้วคนเล่า และวาจาของพวกเขาก็สุภาพยิ่งนัก
กระทั่งชายชราตาบอดยังไม่ถูกพวกเขามองข้าม
หัวใจของซูอี้กระจ่างดุจกระจก เขาจะไม่รู้ชัดได้เช่นไรว่าคนที่หนุ่มสาวเหล่านี้ให้เกียรติมิใช่พวกเขา แต่เป็นชุยจิ๋งเหยี่ยน?
ทว่าเขาก็ไม่ได้กล่าวอันใด
เหตุที่เขามายังเมืองครองนภาก็เพื่อพักกินดื่มก่อนจะเดินทางต่อ
ส่วนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็เป็นเพียงการพบพานโดยบังเอิญ เกรงว่าในภายหน้าคงไม่ได้พบกันอีก
“แม่นางจิ๋งเหยี่ยน เจ้าเคยได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นภายในส่วนลึกของทะเลทุกข์ก่อนหน้านี้หรือไม่?”
สิงเยว่พลันโพล่งขึ้น
“เกิดอันใดขึ้นหรือ? เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนงุนงงเล็กน้อย
“เมื่อไม่นานนี้ กล่าวกันว่ามีซากโบราณลึกลับปรากฏขึ้นในห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์ ซากโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตทะเลสีเลือด ดูราวมหาทวีป ทว่าไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าที่แห่งนั้นคือที่ใด และซุกซ่อนสิ่งใดไว้”
สีหน้าของสิงเยว่เจือความประหลาดใจ “เหตุเป็นเพราะซากโบราณนั้นปกคลุมด้วยแสงสว่างเจิดจ้าดุจม่านมหาวิถีทั่วซาก ต่อให้มองเห็นได้ก็ต้องเข้าไปใกล้ ทว่าเมื่อเข้าใกล้ มันกลับห่างไกลดุจดังดาราบนฟากฟ้า”
“กล่าวกันว่าจักรพรรดิมากมายได้ออกไปสำรวจมันแล้ว ทว่าพวกเขากลับมิอาจเข้าใกล้มันดุจดั่งเป็นภาพลวง”
“แต่ทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวว่าซากโบราณนี้เป็นของจริง เพราะจะมีวจีวิถีลึกลับปรากฏออกมาจากซากเสมอ ซึ่งดูราวกับบทสวดโบราณบางอย่าง”
“สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ หลังจากฟังวจีวิถีลึกลับนั้นแล้ว ยอดฝีมือมากมายตกสู่ภวังค์หยั่งรู้และตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงแห่งมหาวิถีอย่างน่าอัศจรรย์”
“ทว่าในขณะเดียวกัน คนบางผู้หลังฟังวจีวิถีนั้นก็พลันเสียสติหายตัวไปกะทันหัน!”
ได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็อดขมวดคิ้วด้วยสีหน้าพิกล และจำบางสิ่งขึ้นได้
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดต่างมีปฏิกิริยา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความลับเช่นนี้ทำให้ทั้งสองประหลาดใจ
สิงเยว่กล่าวต่อ “และจากบรรพชนตระกูลข้า ซากโบราณนี้ก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็น ‘สนามเซียนมารสัประยุทธ์’ ที่หายไปนับแต่โบราณกาล! ทว่าไม่มีผู้ใดแน่ใจได้”
“ใช่ ข้าก็เคยได้ยินผู้อาวุโสตระกูลข้าคุยกันเรื่องนี้เช่นกัน ว่ากันว่าซากโบราณนี้ปรากฏขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน ทว่าข่าวเพิ่งกระจายในเขตราชาหกวิถีในภายหลัง”
ชายหนุ่มชุดสีเงินผู้หนึ่งกล่าวเบา ๆ “กล่าวกันว่าสุดยอดขุมกำลังในหกเขตสิบสามแดนดินต่างส่งกำลังไปตรวจสอบ ณ ห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์หลังได้ข่าวนี้”
“ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน”
“สนามเซียนมารสัประยุทธ์…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนงุนงงอยู่ชั่วขณะ
นางเพิ่งได้กลับจากมหาทวีปคังชิงสู่ภูมิมืดมิดเมื่อไม่นานนี้ และนี่คือคราแรกที่ได้ยินข่าวลือลึกลับชวนพิศวงนี่
หญิงสาวเผลอตัวหันไปกล่าวกับซูอี้ “พี่ซู เจ้ารู้สิ่งใดเกี่ยวกับซากโบราณนี้หรือไม่?”
ซูอี้ดื่มเหล้าพุทราไฟและกล่าวอย่างเฉยชา “การค้นหาว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไรไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ชุยจิ๋งเหยี่ยน “…”
นางกล้าสรุปว่าซูอี้ต้องรู้เกี่ยวกับซากโบราณนี้แน่ ทว่าไม่อยากกล่าวถึงมัน
หญิงสาวไม่ยอมแพ้ ถามอีกครั้งว่า “เช่นนั้นบอกข้าได้หรือไม่ว่าซากโบราณนั้นคือ ‘สนามเซียนมารสัประยุทธ์’ หรือไม่?”
ทุกผู้ที่ฟังอยู่อดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีของชุยจิ๋งเหยี่ยน พวกเขาคิดว่าชายหนุ่มชุดเขียวนามซูอี้อายุยังน้อย ทว่าเขากลับดูจะรู้เกี่ยวกับซากโบราณ
ในชั่วขณะนั้น ทุกสายตาต่างมองไปที่ซูอี้
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซูอี้ก็กล่าวว่า “สนามเซียนมารสัประยุทธ์เป็นเพียงนามที่กล่าวขานในหมู่ชนรุ่นหลัง ชื่อเดิมของสถานที่แห่งนั้นน่าจะเรียกว่า ‘พิภพยมราชฝังวิถี’ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงชื่อ ดังนั้นจะเรียกสนามเซียนมารสัประยุทธ์ก็ได้ ไม่ต่างกัน”
พิภพยมราชฝังวิถี!
ทุกคนตะลึงอึ้ง
ดูท่าสถานการณ์นี้ ซูอี้จะรู้บางอย่างเกี่ยวกับซากโบราณจริง ๆ!
ส่วนเรื่องนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนไม่ได้แปลกใจ ทว่าวาจาของซูอี้ไม่เพียงไม่คลายข้อสงสัยในใจนาง แต่ยังกระตุ้นความอยากรู้ของนางโดยสมบูรณ์
ทว่า ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะเอ่ยถาม ซูอี้ก็กล่าวดักคอ “ส่วนเรื่องอื่น ๆ เจ้าไม่รู้น่ะดีแล้ว”
พิภพยมราชฝังวิถีกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามซึ่งอันตรายที่สุดในทะเลทุกข์
แม้กระทั่งตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิยังไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้ และต่อให้เข้าไปได้ ก็ยังอาจจะไม่สามารถรอดชีวิตกลับมา!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้ย่อมไร้ความสนใจจะกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ให้แก่ชุยจิ๋งเหยี่ยนฟัง
อันที่จริง กระทั่งซูอี้ยังไม่คาดเลยว่าสถานที่ต้องห้ามเช่นพิภพยมราชฝังวิถีซึ่งถูกฝัง ณ ก้นทะเลทุกข์มาแสนนานจะโผล่ขึ้นมาโดยไม่มีปี่ขลุ่ย
และยามนี้ยังดึงดูดความสนใจทั่วโลกหล้า
นี่ย่อมผิดปกติเป็นแน่แท้!