บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 827: แค่นเสียงเหยียดหยาม
ตอนที่ 827: แค่นเสียงเหยียดหยาม
ตอนที่ 827: แค่นเสียงเหยียดหยาม
บรรพชน?
ซูอี้อดเหลือบมองชายชุดเทาและคาดเดาที่มาของอีกฝ่ายมิได้
“สหายเต๋า การมาในครั้งนี้ของเราไม่ใช่การช่วยคนนะ”
ชุยเว่ยจงอดกล่าวเตือนไม่ได้
เมื่อเขาได้ยินวาจาของชายชุดเทา เขาก็ผงะไป กลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดช่วยคนในคืนนี้และดึงความสนใจจากตระกูลชุย ซึ่งจะไม่ใช่เรื่องดี
“แน่นอน ข้ารู้”
ชายชุดเทาเหลือบมองชุยเว่ยจงอย่างเย็นชา “อย่าห่วงเลย คืนนี้ที่เรามา ก็เพื่อจัดการเรื่องบางอย่างที่นี่เพื่อเตรียมไว้สำหรับเทศกาลหมื่นโคมเท่านั้น”
ชุยเว่ยจงลอบผ่อนหายใจโล่งอก และกล่าวยิ้ม ๆ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
เขาคือจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำผู้ทรงเกียรติ ทว่าเมื่อเผชิญสายตาของอีกฝ่าย เขากลับรู้สึกอันตรายถึงตาย จนอดใจสั่นไม่ได้
“ไป”
จากนั้นชายชุดเทาก็นำขบวนเดินจากไป
คนอื่น ๆ ติดตามเบื้องหลัง
ชวีหมิงเวยจับตามองซูอี้ราวกลัวว่าเขาจะหนีไปยามไร้ผู้ใดตั้งตัว
ซูอี้ย่อมไม่อาจหนีไปไหนได้
ไม่นานนัก เมื่อพวกเขาเข้าสู่บริเวณเสาสำริดตระหง่านฟ้าทั้งเก้าสิบเก้า เสียงแหบแหลมเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“ผ่านมาแสนนาน ในที่สุดก็มีคนมา!!”
ชายชราที่มีรูปร่างผอมบางและเนื้อตัวมอมแมมผู้หนึ่งตะโกนอย่างตื่นเต้นพลางดิ้นรน โซ่ตรวนสีเลือดที่พันธนาการร่างของเขาสั่นระริก
ทว่าเขาก็ดิ้นรนสูญเปล่า
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังก้องตามมาทันที
“พวกเจ้าเป็นใคร? มาช่วยพวกเราหรือเปล่า?”
เสียงอันชราภาพถามอย่างกระวนกระวาย
“สหายเต๋าทั้งหลาย โปรดช่วยข้าปลดพันธนาการเหล่านี้ด้วย เมื่อข้าออกไปได้จะมีรางวัลให้อย่างงาม!”
มีเสียงตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างตื่นเต้นดังขึ้นอย่างรีบร้อน
“แล้วพวกตระกูลชุยสมควรตายในกองตัดสินเล่า? ตายไปหมดแล้วหรือ?”
เสียงหนึ่งดังลั่นขึ้นอย่างแสนชิงชัง
สิบกว่าตัวตนผู้มีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นบนเสาสำริดซึ่งเดิมนิ่งไม่ไหวติงดูจะตื่นขึ้นดิ้นรนพร้อมกัน
นักโทษเหล่านี้ไม่รู้ว่าถูกจองจำมานานเพียงไร สภาพแต่ละคนโทรมจนไม่น่าดู ทว่าบรรยากาศดุร้ายอันแผ่จากร่างของพวกเขายังคงน่ากลัวยิ่งนัก
“เหล่าผู้อาวุโส โปรดสงบใจลงและฟังข้าก่อน”
ชายชุดเทากล่าวขึ้นด้วยเสียงลุ่มลึก กลบทุกสุ้มเสียงใกล้เคียง
เหล่าผู้ถูกคุมขังต่างหันสายตามามอง
“จุดประสงค์การมาที่นี่ของพวกข้าคือทำลายผนึกที่นี่เสีย เหล่าผู้อาวุโสจึงจะได้โอกาสได้พบแสงตะวันอีกครั้ง!”
ชายคนนั้นกล่าว
นักโทษเหล่านี้ถูกคุมขังมาแสนนาน มีที่มาน่าหวาดหวั่นยิ่ง ดังนั้นการเรียกพวกเขาเป็น ‘ผู้อาวุโส’ จึงสมควรยิ่ง
“ยอดเยี่ยม!”
“ฮ่า ๆๆ ในที่สุดข้าก็จะทนมาจนจบแล้วโว้ย! ข้าออกไปได้เมื่อใด จะฆ่าล้างตระกูลชุยให้หมดเลย!”
เหล่านักโทษต่างกระเหี้ยนกระหือรือ
หลังจากถูกคุมขังไม่อาจนับรอบปี นักโทษส่วนใหญ่ไม่อาจทนการกัดกร่อนแห่งกาลเวลาจนพลังชีวิตรั่วไหล สิ้นใจไปแสนนานแล้ว
เหลือเพียงพวกเขาสิบกว่าคนที่อยู่รอดจวบบัดนี้ เมื่อพวกเขาได้รู้ว่ายังสามารถออกไปได้ ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้น?
“เหล่าผู้อาวุโสโปรดอย่างใจร้อน อีกหนึ่งเดือนจากนี้จะเกิดเทศกาลหมื่นโคมในรอบพันปีขึ้น เมื่อถึงวันนั้น จะเป็นวันที่ผู้อาวุโสทุกท่านจะเป็นอิสระ”
ชายชุดเทากล่าวอย่างจริงจัง “ทว่าก่อนหน้านั้น ขอเหล่าผู้อาวุโสรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”
ทันใดนั้น เหล่านักโทษก็สงบลง
“สหายเต๋าว่ามาเลย”
ใครสักคนเอ่ยขอ
ชายชุดเทากล่าวอีกครา “มันง่ายมาก ก่อนถึงเทศกาลหมื่นโคม ข้าหวังว่าเหล่าผู้อาวุโสจะไม่แพร่งพรายข่าวการมาเยือนที่นี่ของข้าในคืนนี้ เพื่อไม่ให้ตระกูลชุยสังเกตเห็น”
“เรื่องนี้จัดการง่ายมาก ขอเพียงข้าพ้นที่นี่ไปได้ เราย่อมไม่เปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้แน่แท้!”
“ใช่ ๆ”
เหล่านักโทษดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด และต่างเห็นพ้อง
‘หลังผ่านกาลแสนนาน คนเหล่านี้ถูกทรมานจนเป็นคนก็ไม่ผีก็ไม่เชิง พลังชีวิตถูกลิดรอนอย่างหนัก แม้จะหลุดรอดออกไป มีชีวิตต่ออีกเพียงครู่เดียวจะไปมีประโยชน์อันใด?’
ซูอี้ลอบคิด
ทว่า เขาเองก็ทราบว่าหากปล่อยคนเหล่านี้หนีไป ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็จะฟื้นคืนสู่วิถีเก่าด้วยวิธีการของตนเองเป็นแน่
หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะก่อให้เกิดกลียุคนองเลือดขึ้นอีกมากมายเพียงไร
ควรจดจำไว้ว่าตัวตนทุกผู้ซึ่งถูกกักขัง ณ ชั้นสามในโลกเร้นลับแห่งเรือนจำใต้ดินกองตัดสินนั้นล้วนแต่เป็นจักรพรรดิผู้โหดร้ายทรงพลังเมื่อนานมาแล้ว
จากนั้น ผู้ชายในชุดสีเทาก็หยุดโอ้เอ้และนำขบวนเดินต่อไปไกล
หลังจากผ่านเสาสำริดยักษ์และเหินไปเบื้องหน้าอีกร้อยลี้ ก็ปรากฏบรรพตสีดำตระหง่านอยู่ไกล ๆ
บรรพตแห่งนี้ดูราวเตาขนาดยักษ์สูงตระหง่านฟ้าจรดแดน ม่านตรวนสีเลือดระย้าลงดุจน้ำตกหนาแน่น ปกคลุมหุบเขานี้อย่างสมบูรณ์
ก่อนจะทันได้เข้าใกล้ อำนาจจองจำร้ายกาจไร้ขอบเขตก็แผ่กระเพื่อมออกมา
กลิ่นอายเช่นนี้ทำให้พวกชายชุดเทาต่างหน้าซีดหยุดฝีเท้า
“ที่แห่งนี้น่าจะเป็น ‘ภูเขาเตาสวรรค์’ ซึ่งอันตรายที่สุดในเรือนจำกองตัดสิน ลือกันว่าในโบราณกาล ตัวตนมากมายอันชั่วช้าร้ายกาจยิ่งยวดต่างถูกผนึกที่นี่ แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดยังอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเลย”
สีหน้าของชวีหมิงเวยเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนกลัวเกรง
“เท่าที่ข้ารู้ จากการพังทลายของกองตัดสิน พลังต้นกำเนิดของภูเขาเตาสวรรค์ก็ค่อย ๆ จางหายตามกาลจากกาลก่อน และท้ายที่สุด กระทั่งเกือบทำให้ใครหลายคนที่ถูกกักขังใต้หุบเขานี้หลุุดออกไปสร้างปัญหาได้”
ชุยเว่ยจงเผยสีหน้าย้อนระลึก “ราว ๆ สามหมื่นปีก่อน ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเดินทางสู่ภูมิมืดมิด และได้รับเชิญจากบรรพชนของเราชุยหลงเซี่ยง ทั้งสองร่วมมือกันผนึกภูเขาเตาสวรรค์ใหม่อีกครั้ง และจากยามนั้น ตัวตนน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดที่นี่ก็ถูกกำราบสิ้น”
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!
เมื่อได้ยินยามนี้ เปลือกตาของคนทุกผู้ก็กระตุก
ชุยเว่ยจงกล่าวต่อ “และยามนั้นเอง ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินได้ผนึกสมบัติล้ำค่ายิ่งชิ้นหนึ่งไว้ ณ ยอดภูเขาเตาสวรรค์”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองยอดภูเขาเตาสวรรค์อย่างไม่รู้ตัว
ทว่า เนื่องจากระยะทางอันแสนไกลและชั้นม่านค่ายกล พวกเขาจึงเห็นได้เพียงเลือนรางว่า ณ ยอดเขาเตาสวรรค์ดูจะมีแท่นแห่งหนึ่งตั้งอยู่
ซูอี้เองก็มองไปยังภูเขาเตาสวรรค์ด้วยสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย
ณ เริ่มแรก เมื่อเขาและชุยหลงเซี่ยงมาถึงที่นี่ ขณะนั้นคือยามที่เขาอยู่ในจุดสมบูรณ์พร้อมในอดีตชาติ
ยามนั้น เขาเองก็ถามชุยหลงเซี่ยงว่าเหตุใดจึงไม่ถอนรากถอนโคนเจ้าพวกสมควรตายที่นี่เสีย เพื่อไม่ให้ตระกูลชุยต้องมาลำบากอารักขาที่นี่รุ่นแล้วรุ่นเล่า
ทว่า ชุยหลงเซี่ยงตอบกลับว่าการมีชีวิตเหมือนตายนั้นคือการลงโทษอันหนักหนาที่สุดสำหรับผู้บาปหนาล้นฟ้าเหล่านั้น
นี่คือการตัดสินของบรรพชนตระกูลชุยผู้ปกครองกองตัดสินในอดีตกาลซึ่งถูกปฏิบัติตามโดยตระกูลชุยรุ่นแล้วรุ่นเล่า
ทันใดนั้น ชายชุดเทาผู้นำอยู่เบื้องหน้าพลันปลดปล่อยปราณอันน่าหวาดหวั่น และกล่าวอย่างจริงจัง
“เฟ่ยฉางถิง ทายาทรุ่นที่เก้าแห่งเผ่ามารโห่วมาพบท่านบรรพชนแล้ว!”
วาจานั้นดูทื่อ ๆ ทว่ากลับสนั่นลั่นโลกาดุจอสนีบาต
“ยอดฝีมือในขั้นสมบูรณ์แบบ ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำแห่งเผ่ามารโห่ว!”
ชุยเว่ยจงสูดลมหายใจลึก และยามนี้เอง เขาจึงตระหนักถึงที่มาและระดับฝึกฝนของชายชุดเทาผู้นำทางพวกเขา
เผ่ามารโห่วเป็นกลุ่มชนโบราณแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใน ‘เขตเทวากำสรวล’ และกล่าวกันว่าบรรพชนของเผ่านี้เป็นเทพมารที่แท้จริงโดยกำเนิด!
เขตเทวากำสรวลคือหนึ่งในหกเขตสิบสามแดนดินในภูมิมืดมิด และยังเป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยขุมกำลังผู้ฝึกตนมาร
เผ่ามารโห่วคือหนึ่งในขุมกำลังผู้ฝึกตนมารในเขตเทวากำสรวล และยังเป็นหนึ่งในห้าขุมกำลังผู้ฝึกตนมารใหญ่ในภูมิมืดมิดอีกด้วย!
ชวีหมิงเวย ชายในชุดหนังสัตว์และสตรีในชุดดำต่างดูปกติดี
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขารู้ถึงฐานะของชายชุดเทา เฟ่ยฉางถิงอยู่ก่อน
“ว่าแล้วเชียว สายเลือดเผ่ามารโห่วจริง ๆ ด้วย”
ซูอี้ลอบกล่าว ไม่แปลกใจเช่นกัน
ตู้ม!
เมื่อเสียงของเฟ่ยฉางถิงแพร่ออกไป ภูเขาเตาสวรรค์ซึ่งอยู่ไกลออกไปก็สั่นไหวอย่างรุนแรง สายโซ่ตรวนสีเลือดนับไม่ถ้วนซึ่งปกคลุมขุนเขาอยู่เหวี่ยงสะบัดอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้น แสงสีดำสายหนึ่งก็ดิ้นรนออกมาจากใต้ม่านตรวนหนาทึบ และสร้างเป็นเงาร่างมายาซึ่งกำยำล่ำสันบนอากาศ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือเสี้ยวจิตสำนึกซึ่งคลุมเครืออย่างยิ่ง
ทว่า การที่สามารถเผยเสี้ยวจิตสำนึกเช่นนี้แม้จะถูกจองจำในภูเขาเตาสวรรค์ ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนผู้นี้เป็นตัวตนอันน่าหวาดหวั่นเพียงไร
ร่างกำยำนี้ยืนบนพื้น แม้จะไม่อาจเห็นหน้าได้ชัดเจน แต่บรรยากาศดุร้ายกดดันเกินต้านก็แผ่ออกมาอย่างน่าหวาดกลัวยิ่ง
ณ ขณะนี้ นอกจากซูอี้แล้ว ทุกคนต่างตื่นกลัวร่างแข็งทื่อ
“เจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยข้าหรือไร?”
ร่างกำยำถามเสียงแหบต่ำ
ยามเมื่อเขาพูด เขายังคงอยู่ภายใต้การจองจำในภูเขาเตาสวรรค์ โซ่ตรวนสีเลือดฟาดไปบนร่างของเขาดุจแส้ ทำให้ร่างของเขาสั่นเทิ้มทั้งกาย แสงสีดำกะพริบกระเพื่อม
ทว่าเขากลับไม่ได้หลบเลี่ยง ทำเฉยเมินมันไป
“รายงานท่านบรรพชน ผู้น้อยมาที่นี่เพื่อเหตุนี้จริง ทว่า… คงต้องรอเดือนหน้าขอรับ”
เฟ่ยฉางถิงกล่าวอย่างนอบน้อม “ถึงยามนั้นจะเกิดเทศกาลหมื่นโคมขึ้น ตระกูลชุยจะระส่ำระสายอย่างไม่เคยเกิด และภายใต้การคุกคามจากภายนอก พวกท่านบรรพชนจะสามารถฉวยโอกาสนี้หลุดจากพันธนาการได้ขอรับ!”
“ไฉนไม่ใช่ยามนี้เล่า?”
“เรื่องนี้… จากแผนของเผ่า เราต้องรอก่อนขอรับ…”
เฟ่ยฉางถิงเตรียมอธิบาย
ทว่าร่างกำยำกล่าวขัดขึ้น “ข้าถามหน่อย เจ้าทำลายค่ายกลผนึกภูเขาเตาสวรรค์ในยามนี้ได้หรือไม่?”
เฟ่ยฉางถิงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเสียงต่ำ “เรียนท่านบรรพชน ด้วยกำลังข้าและสมบัติลับที่ถือกับตัว… ข้ายังทำเช่นนั้นไม่ได้ขอรับ”
กล่าวถึงยามนี้ เขาก็รีบพูดว่า “ทว่าเราจะตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ที่นี่ และเมื่อเทศกาลหมื่นโคมมาถึง เหล่ายอดฝีมือทุกฝ่ายจะรวมตัวกันเข้าสู่ที่นี่ มาช่วยเหล่าท่านบรรพชนด้วยพลังของค่ายกลเคลื่อนย้ายขอรับ!”
ร่างกำยำกล่าว “หนึ่งเดือน… อืม ข้าจะรอ”
ในน้ำเสียงของเขาเจือความคาดหวังและตื่นเต้นอย่างหาได้ยาก
เฟ่ยฉางถิงกล่าวอย่างโล่งใจทันที “ท่านบรรพชน เผ่าเราวางแผนต้อนรับท่านกลับมานานแล้ว ข้ามั่นใจว่าครานี้ ไม่เพียงข้าจะช่วยท่านให้พ้นภัย ยังจะทำลายตระกูลชุยล้างแค้นให้ท่านด้วยขอรับ!”
วาจาของเขาเด็ดเดี่ยว
ทว่าทันใดนั้น จู่ ๆ ก็บังเกิดเสียงแค่นเหยียดหยาม
เสียงนั้นไม่ได้ดัง ทว่าในโลกอันหดหู่ทึ่มทื่อนี้ มันดูกะทันหันอย่างเกินธรรมดา
ควับ!
ทุกสายตาต่างหันไปทางคนผู้เดียว
เขาคือชายหนุ่มในชุดเขียวผู้ยืนลอยชายใช้มือไพล่หลัง และมีรอยยิ้มเหยียดปรากฏ ณ ริมฝีปาก!!