บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 836: โอกาส
ตอนที่ 836: โอกาส
ตอนที่ 836: โอกาส
อีกาเก้ามืดมิด!
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย
นี่คือวิหคอัปมงคลชนิดหนึ่งในภูมิมืดมิด ทว่าการปรากฏตัวของมันหมายความว่าจะต้องเกิดภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงมหาศาล
“จากคำสอนที่ตกทอดกันมาในตระกูลชุยของข้า อธิบายไว้เป็นพิเศษว่าหากอีกาเก้ามืดมิดปรากฏขึ้นก่อนเกิดเทศกาลหมื่นโคม มันหมายความว่ายามเมื่อเทศกาลหมื่นโคมมาถึงจริง ๆ เมืองตาข่ายม่วงจะประสบหายนะอันน่าหวาดหวั่นยิ่ง”
ชุยฉางอันมีสีหน้าจริงจัง มิอาจหยุดความกังวลไม่ให้ปรากฏได้ “ถึงยามนั้น ขุมกำลังพิลึกร้ายกาจซึ่งกบดานเงียบอยู่บนโลกจะทะลวงพิภพขึ้นมาล้อมโจมตีเมืองตาข่ายม่วง!”
ภูมิมืดมิดไม่เคยเป็นโลกอันเงียบสงบรุ่งเรือง
ในทางกลับกัน ในโลกกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนี้เต็มไปด้วยพื้นที่ต้องห้ามอันโหดร้ายมากมาย
เช่นกัน เทศกาลหมื่นโคมซึ่งจัดขึ้นทุกพันปีก็ไม่ใช่เทศกาลรื่นเริง
ในทางกลับกัน เมื่อถึงวันดังกล่าว ต้นกำเนิดแห่งภูมิมืดมิดจะถูกปิดบังโดยอำนาจอัปมงคลอันพิสดาร ทั่วโลกหล้าจะตกสู่ความมืดดุจราตรีนิรันดร์ บังเกิดขุมกำลังชั่วร้ายพิศวงนานาทั่วภูมิมืดมิด
ถึงยามนั้น ทุกกลุ่มเต๋าบนโลกจะจุดโคมสวรรค์เพื่อปัดเป่าความชั่วร้ายและสร้างแสงสว่างยามราตรี หาไม่ พวกเขาจะถูกอำนาจชั่วร้ายวิปโยคเหล่านั้นโจมตี
นี่คือเทศกาลหมื่นโคมที่ว่า มันคือการปัดเป่าภัยพิบัติ!
สำหรับตระกูลชุย เทศกาลหมื่นโคมครั้งนี้ย่อมแตกต่างจากกาลก่อน
เนื่องจากอีกาเก้ามืดมิดปรากฏขึ้นอีกครั้ง ขอเพียงวิหคอัปมงคลตนนี้ปรากฏ มันหมายความว่าเทศกาลหมื่นโคมครานี้จะมีขุมกำลังชั่วร้ายพิสดารล้อมรอบเมืองตาข่ายม่วงมหาศาลเหนือล้ำกว่ากาลก่อนนัก!
“วิหคอัปมงคลตนนี้ปรากฏขึ้นล่าสุดเมื่อใด?”
ซูอี้ถาม
“เมื่อสี่หมื่นห้าพันปีก่อนขอรับ”
ชุยฉางอันตอบโดยไร้ลังเล “ข้าได้ยินบิดาบอกว่าเมื่อเทศกาลหมื่นโคมมาเยือน ที่นอกเมืองตาข่ายม่วงจะมีวิญญาณร้ายรวมตัวกันดุจคลื่นเลย”
“ในหมู่พวกมัน ตัวตนร้ายกาจอันเทียบได้กับจักรพรรดิมีมากมายไม่ขาดเลยขอรับ!”
“ในกาลนั้น แม้ตระกูลชุยของข้าจะรบนองเลือดยิบตา ทว่าเมืองตาข่ายม่วงก็เกือบล่มสลาย”
“เมื่อจบหายนะ ตัวตนระดับจักรพรรดิในตระกูลชุยของข้าล้มตายไปสี่ท่าน และในหมู่พวกเขาก็มีบรรพบุรุษท่านหนึ่งในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำด้วยขอรับ!”
…เมื่อกล่าวถึงเรื่องในอดีตนี้ สีหน้าของชุยฉางอันก็ยากคาดเดา หัวใจของเขาหนักอึ้งขึ้นทุกที
หลังจากผ่านไปสี่หมื่นห้าพันปี อีกาเก้ามืดมิดก็ปรากฏขึ้นอีก ทว่ายามนี้ ตระกูลชุยก็อยู่ในสภาพทุลักทุเลเป็นทุนเดิมแล้ว
ชุยหลงเซี่ยงประสบเรือยมโลกสีดำ เป็นตายไม่อาจทราบแน่ชัด
ตระกูลโบราณเยี่ยงชวีและหงเพ่งเล็งพวกเขาอยู่เสมอ หวังจะก่อเหตุจลาจลเมื่อถึงคราวเทศกาลหมื่นโคม
แล้วอีกาเก้ามืดมิดก็ยังโผล่มาอีก…
นี่มันเติมฟืนลงกองไฟ ทำให้เรื่องแย่ลงอีกแท้ ๆ!
“เมื่อสี่หมื่นห้าพันปีก่อน มิน่าเล่าข้าจึงไม่เคยได้เห็นวิหคอัปมงคลนี่ยามเดินทางสู่ภูมิมืดมิด…”
ซูอี้กล่าวอย่างสนอกสนใจ “หากมีโอกาส ข้าก็อยากเห็นสักหน่อยว่าอีกาเก้ามืดมิดนี่จะแข็งแกร่งสักเพียงไร”
ในอดีตชาติของเขา เขาเคยได้ยินสารพัดข่าวลือเกี่ยวกับอีกาเก้ามืดมิด
กล่าวกันว่าวิหคอัปมงคลชนิดนี้ถือกำเนิดในแดนโสมมเก้ามืดมิด และก่อร่างขึ้นโดยอำนาจหยินชั่วร้าย
กล่าวกันว่าวิหคนี้ แท้จริงแล้วก่อเกิดจากที่มาแห่งภูมิมืดมิด เป็นตัวแทนหายนะ ความปั่นป่วนและไร้จีรังแห่งภูมิ
ยังกล่าวกันอีกว่าวิหคนี้มีอำนาจหยั่งรู้แห่งโหราจารย์ผู้เกินคาดหยั่ง สามารถทำนายหายนะและวิบัติภัยพิสดารได้
ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือใด ทั้งหมดนี้ต่างแสดงให้เห็นถึงปริศนาและความแปลกประหลาดของอีกาเก้ามืดมิด
ซูอี้จะไม่ใคร่รู้ได้เช่นไร?
ชุยฉางอันตะลึงอึ้ง และทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านลุงซู คงดีกว่าหากไม่ไปหาวิหคอัปมงคลนั่นนะขอรับ ผู้ใดที่เห็นมันล้วนโชคร้าย มันเหมือนดาวอัปโชค ทั่วภูมิมืดมิดนี้ กระทั่งจักรพรรดิยังเกลียดมันนัก ข้าเกรงว่าคงต้องเลี่ยงมันขอรับ”
ซูอี้กล่าวทั้งที่ยังยิ้ม “นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้านกนี่สามารถกว่า หากศึกษาพลังของมันให้ดีจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนยิ่งนัก และบางทีมันอาจทำให้เราได้รับพลังเรียกหายนะได้บ้างก็ได้นะ”
ชุยฉางอัน “…”
หลังครุ่นคิดและพูดปากเปียกปากแฉะอยู่นาน ไม่เพียงไม่อาจทำให้ท่านลุงซูกลัว แต่ยังไปกระตุ้นความใคร่รู้ของเขาแทน!
“เอาล่ะ ช่วยข้าหาที่อยู่ของอีกาเก้ามืดมิดที”
ซูอี้กล่าว “หากเจ้าหามันเจอก็ดี แต่หากไม่เจอก็ไม่ต้องฝืน คล้อยตามชะตาก็พอ”
โลกแห่งผู้ฝึกตนนั้นหนักหนา ฝึกปรือคนให้จิตแข็ง ทว่าเมื่อเขาได้ยินคำขอของซูอี้ ชุยฉางอันก็ยังรู้สึกหนังหัวชายิบ
ยามนี้เองเขาจึงตระหนักว่าท่านลุงซูจริงจัง!
เขาต้องการปราบอีกาเก้ามืดมิดจริง ๆ!
ท้ายที่สุด ชุยฉางอันก็ตอบรับ
เขาจะไม่ตอบรับคำขอของซูอี้ได้เช่นไร?
“ส่วนเทศกาลหมื่นโคม ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าไม่ต้องห่วงมากหรอก ในเมื่อพ่อเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะไม่นิ่งดูดาย”
ซูอี้กล่าวเลื่อนลอย
ด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อเขาได้ยินวาจาของซูอี้ ชุยฉางอันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ชุยฉางอันก็จากไป
“สหายเต๋า ด้วยการฝึกฝนขณะนี้ของเจ้า จะแก้หายนะนี้ได้เช่นไรหรือ?”
ร่างงามสง่าของผอซัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสียงของนางฟังดูราวเสียงสวรรค์
“เรื่องนี้ย่อมต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
ซูอี้กล่าว
ผอซัวตะลึงไปเล็กน้อย ส่ายหน้าตอบว่า “ตระกูลชุยรู้เรื่องนี้ทุกรุ่นสมัย ว่าข้าสาบานจะรับผิดชอบเพียงพิทักษ์พฤกษาหมื่นวิถี ไม่เข้ายุ่งเรื่องอื่นใดของตระกูลชุย แม้ว่าพวกเขาจะประสบหายนะถึงขั้นล่มสลาย ข้าก็จะใช้เพียงอำนาจพอให้ตระกูลของพวกเขาเลี่ยงภัยไปได้เท่านั้น”
ซูอี้กล่าว “ข้าเข้าใจ”
กล่าวจบ เขาก็ขยับมือหยิบโคมไฟดอกบัวอาญาออกมา “ในสมบัตินี้มีมารเฒ่าอยู่สามสี่ตน หากข้าต้องการส่งพวกเขาออกมาต่อสู้ ข้าก็ต้องใช้พลัง ‘อาญา’ ที่สลักในสมบัตินี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถทำให้พวกเขาก้มหัวอย่างเชื่อฟังต่อ ‘อาญา’ นี้ได้”
“หากเป็นเช่นนี้ ด้วยการฝึกฝนของข้า ข้าสามารถทำให้พวกเขาเชื่อฟังข้าได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเปลืองพลัง”
แววตาของผอซัวดูพิกล และกล่าวว่า “สหายเต๋า เหตุใดข้าจึงคิดว่าเจ้าคิดใช้ข้าตั้งแต่ยามสยบคนเหล่านี้ในกองตัดสินแล้วเล่า?”
ซูอี้กล่าวตรง ๆ “ก็แค่ขอให้ช่วย มาเรียกว่าเป็นการคิดใช้ได้เช่นไร?”
ผอซัวกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้เคยเป็นที่เคารพในโลกหล้ามาขอให้ข้าช่วย ข้าควรรู้สึกเป็นเกียรติหรือไม่?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าเห็นด้วยนะ”
จากนั้น เขาก็โยนโคมไฟดอกบัวอาญาไปให้หญิงสาวโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด
ผอซัวดูจนใจ นางถอนหายใจเงียบ ๆ และกล่าวว่า “ไม่คาดมาก่อนเลยว่าคนเย่อหยิ่งเช่นเจ้าจะกระทำการหน้าไม่อายเช่นนี้ด้วย”
ซูอี้ยืดเอวพลางกล่าวว่า “หากเป็นผู้อื่น ข้าคงไม่แม้แต่จะคิดขอให้ช่วย”
เขาจะสื่อว่าแม้จะคิดขอให้ใครช่วย ซูเสวียนจวินก็ยังต้องพิจารณาว่าคนผู้นั้นมีคุณสมบัติพอหรือไม่!
เมื่อสิ้นวาจา ซูอี้ก็นั่งขัดสมาธิเริ่มทำสมาธิแล้ว
แก่นแท้เอกกะถูกควบรวมสำเร็จ
ต่อไปก็ถึงเวลาพยายามเลื่อนสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผอซัวก็กัดริมฝีปากสีเชอร์รี่ของนาง รู้ตนว่าไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป และเก็บโคมไฟดอกบัวอาญาในมือของนางไปทันที ร่างของนางวูบไหวหายเข้าไปในพฤกษาหมื่นวิถี
…
แรกเริ่มเดือนเจ็ด
นี่คือวันที่สิบนับแต่ซูอี้เก็บตัวฝึกฝน ณ พฤกษาหมื่นวิถี
ในที่สุดชายชราตาบอดก็ตื่นขึ้นจากฌาน และสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความปีติอย่างไม่อาจเก็บงำ
การฝึกฝนหยั่งรู้สิบวันสิบคืนทำให้เขาได้ดูดซับพลังที่มาแห่งพฤกษาหมื่นวิถี ซ่อมแซมมหาวิถีอันเสียหายของตนเองได้ในคราเดียว!
และนี่ยังหมายความว่าชายชราตาบอดอวิ๋นจือจิ่วผู้อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบไม่ต้องติดค้างในขอบเขตเดิมของตนอีกต่อไป และมีหวังชี้ปลายดาบของเขาสู่ขอบเขตจักรพรรดิ!
…
วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด
มีข่าวหนึ่งพลันแพร่กระจายในเมืองตาข่ายม่วง…
“บรรพชนตระกูลชุย ชุยหลงเซี่ยงตายในทะเลทุกข์ อีกาเก้ามืดมิดหวนปรากฏสู่โลกา และเมื่อเทศกาลหมื่นโคมมาเยือน จะเป็นวันที่เมืองตาข่ายม่วงถูกทำลาย!”
ข่าวนี้ทำให้ทั่วทั้งเมืองเกิดจลาจลขึ้นทันที ความโกลาหลก่อเกิดทุกแห่งหน ผู้คนลนลานและกระวนกระวาย
และเมื่อกาลผันผ่าน ข่าวนี้ก็ยิ่งลุกลามไปกันใหญ่
คนบางผู้กล่าวอย่างแน่ใจว่าตระกูลชุยรู้ตัวว่าพวกตนไม่อาจยั้งมหาหายนะเช่นนี้ได้ และได้เตรียมการอพยพจากเมืองตาข่ายม่วงล่วงหน้าแล้ว
บางคนกล่าวว่าขุมกำลังโบราณหลายแห่งจะฉวยโอกาสเข้าสู้กับตระกูลชุยยามเกิดเทศกาลหมื่นโคม
ยามนั้นจักรพรรดิจะรวมตัว เกิดมหาสงคราม และเมืองตาข่ายม่วงจะล่มสลาย ชีวิตต้องปลิดปลิวแน่แท้!
บางคนยังกล่าวอีกว่า…
สารพัดข่าวลือกระจายดุจหม้อระเบิด ขับเน้นความตระหนกแตกตื่นในเมืองตาข่ายม่วงให้ทวีคูณ
คนมากมายเก็บข้าวของเร่งหนีจากเมืองตาข่ายม่วงทันที
หลังจากรับรู้ข่าวเหล่านี้ เจ้าตระกูลชุย ชุยฉางอันก็เดือดดาล ส่งกำลังทั่วเมืองของเขาไปจับกุมผู้ปล่อยข่าว ทว่าก็สายเกินไป
ในช่วงสองสามวันถัดมา ผู้คนอพยพจากเมืองตาข่ายม่วงมากขึ้นทุกที และตรอกถนนที่เคยคลาคล่ำก็ถูกทิ้งร้าง
ในขณะเดียวกัน ความตระหนกก็ดูจะแพร่กระจายในตระกูลชุยด้วยเช่นกัน
เมื่อเกิดวิกฤตใกล้พายุโหม ชุยฉางอันก็แสดงกำปั้นเลือดเหล็กของเขาโดยพลัน
เขาเชิญเหล่าคนใหญ่คนโตทั้งหมดในตระกูลมารวมตัวกันในโถง และประกาศความผิดบาปแห่งการทรยศของผู้อาวุโสที่สามชุยเว่ยจงทันที
จากนั้น ต่อหน้าเหล่าบุคคลระดับสูงในตระกูล เขาก็บั่นหัวชุยเว่ยจง จักรพรรดิในขั้นกลางแห่งขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ!
ภาพนองเลือดนี้ทำให้เหล่าสมาชิกระดับสูงเหล่านั้นตะลึงจังงัง
ชุยฉางอันฉวยโอกาสนี้ประกาศทันทีว่าเขาเตรียมการรับมืออันตรายทั้งหมดไว้อย่างเพียงพอแล้ว และแม้ว่าเทศกาลหมื่นโคมจะมาถึง เขาก็ไม่กลัวหายนะใด
แม้ว่าเหล่าบุคคลระดับสูงซึ่งรวมตัวกันอยู่จะยังเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงและไม่รู้ว่าเจ้าตระกูลไปนำความมั่นใจมาจากไหน ทว่าในที่สุดในใจของพวกเขาก็ผ่อนคลายลง
พวกเขารู้ว่าชุยฉางอันไม่เคยเป็นคนพูดจาเลื่อนลอย
วาจาของเขาทำให้ทุกคนในตระกูลชุยรู้สึกใจชื้นขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าจลาจลในเมืองตาข่ายม่วงไม่อาจสงบลงได้ด้วยวาจาไม่กี่คำ
และยังเป็นไปไม่ได้ที่ชุยฉางอันจะบังคับปิดเมืองกันไม่ให้ผู้คนออก
จนกระทั่งในช่วงเวลาถัดมา เมืองตาข่ายม่วง เมืองโบราณขนาดยักษ์อันดับสูงสุดในเขตราชาหกวิถีก็กลายเป็นเมืองรกร้าง
สันดานมนุษย์จะมองหาข้อได้เปรียบ เลี่ยงการเสียเปรียบเสมอ
ชุยฉางอันรู้ดีมากว่าขอเพียงเขารอดจากภัยพิบัติอันเกิดจากเทศกาลหมื่นโคมไปได้ ไม่ช้าก็เร็ว เมืองตาข่ายม่วงนี้จะฟื้นกลับสู่ความรุ่งเรืองเดิมของมันเอง!
วันที่สิบเดือนเจ็ด
ซูอี้ผู้เก็บตัวฝึกฝนอยู่หลายวันลุกขึ้นจากพฤกษาหมื่นวิถี
เขาสัมผัสได้ว่าจะมีโอกาสเลื่อนขอบเขตได้ และตัดสินใจจะออกจากพิมานเครือทองสู่โลกภายนอกเพื่อหาที่ข้ามผ่านหายนะเลื่อนขอบเขต!
และในวันเดียวกัน ชุยหลงเซี่ยงก็นำข่าวหนึ่งมาให้เขา…
อีกาเก้ามืดมิดปรากฏตัวอีกครั้ง และบางคนก็พบเห็นวิหคอัปมงคลตนนี้ปรากฏขึ้นใน ‘เทือกเขาเมฆาชาด’ ซึ่งห่างจากเมืองตาข่ายม่วงหกร้อยลี้!