บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 890: ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์
ตอนที่ 890: ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์
ในขณะเดียวกับที่เสียงครวญดาบดังขึ้น อำนาจแห่งวิถีมืดมิดก็กระเพื่อมไหวไปมาในภูเขาสงบแสงเทียน
มันเหมือนเทือกเขาแห่งนี้ได้ตื่นจากความเงียบชั่วนิรันดร์
เย่ชิงเหอกับเย่ซุ่นดูจะไม่เป็นไร
มีเพียงเพชฌฆาตเฒ่าเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันร้ายกาจ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่าขณะที่เขากำลังเตรียมใช้การฝึกฝนของตนมาต้านรับนั้นเอง เสียงของซูอี้ก็ดังขึ้น
“อย่าขัดขืน หาไม่ เมื่อกฎสงบแสงเทียนระเบิดออกมาจริง ๆ เจ้ารับมันไม่ไหวหรอก”
เพชฌฆาตเฒ่าหรี่ตาลง และไม่กล้าขยับตัวอีก
ในขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ก้าวขึ้นสู่อากาศ เขามองมายังถ้ำยักษ์ใจกลางภูเขาด้วยรอยยิ้ม “โยวเสวี่ย ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ฟู่!
ด้วยหนึ่งวาจานี้ อำนาจมืดมิดซึ่งพลุ่งพล่านดุจกระแสน้ำก็สลายลง
ณ กลางภูเขาสงบแสงเทียน แสงสว่างสีขาวพลันพุ่งสู่ฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นร่างลวงตาอันอรชรอ้อนแอ้น
เรือนผมดุจหมึกของนางถูกม้วนรวบไว้ด้านบน นางสวมอาภรณ์โบราณแขนเสื้อกว้างอันเรียบง่ายและเป็นประกายแสงสี
ละอองแสงควบแน่นโปรยปรายดุจกลีบบุหงาจากร่างสูงผอมสูงของนาง ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศและเสน่ห์ของนางดูเย็นชาเย่อหยิ่ง
และคู่เนตรอันลึกล้ำประหนึ่งท้องฟ้ารัตติกาลนิรันดร์อันกว้างไกลนั้น หากมีผู้ใดมองจากไกล ๆ หัวใจของพวกเขาจะสั่นสะท้านเหมือนดั่งคนธรรมดายามมองขึ้นไปบนนภาราตรี
นางยืนบนอากาศ แต่ดูยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่งราวนางสวรรค์ผู้ปกปักรักษาภูเขาสงบแสงเทียน
เย่ซุ่นและเย่ชิงเหอตะลึงอึ้ง พวกเขาโค้งตัวลงคำนับ “ทายาทเผ่าปีศาจงูคารวะใต้เท้าโยวเสวี่ย!”
โยวเสวี่ย
จิตวิญญาณสมบัติสูงสุดของเผ่าปีศาจงู ‘โคมสงบวิญญาณเทียนหยา’
นับแต่บรรพกาล โยวเสวี่ยก็เป็น ‘ผู้พิทักษ์’ เผ่าปีศาจงูมาช้านาน ลำดับอาวุโสของนางจึงล้ำลึกหาผู้ใดเปรียบ
แม้กระทั่งเพชฌฆาตเฒ่าก็ไม่อาจหายใจ
มันก็แค่จิตวิญญาณสมบัติ ทว่าบรรยากาศยิ่งใหญ่นี้กลับเหมือนเป็นเจ้าผู้ครองที่แห่งนี้!
เพชฌฆาตเฒ่าผู้เข่นฆ่าผู้คนมานาน คุ้นชินกับการลุยเลือดบุกพายุสัมผัสอำนาจกดดันเช่นนี้ได้!
“ซูเสวียนจวิน?”
สตรีที่อยู่บนอากาศผู้มีนามว่า ‘ใต้เท้าโยวเสวี่ย’ แปลกใจ คู่เนตรลึกล้ำเย็นชาดุจนภารัตติกาลมองมาอย่างกดดัน ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ายังไม่ตาย”
ซูอี้เกาคอของเขา พลางกล่าวว่า “ข้าไม่คุ้นกับการเงยหน้าพูดเลย”
สตรีนางนั้นโบกแขนเสื้อ
ตู้ม!
หมอกสีเทาซึ่งปกคลุมภูเขาสงบแสงเทียนอยู่พลันแยกเปิดทางซ้ายขวา นำสู่ถ้ำกลางภูเขา
“เชิญ”
หญิงสาวผายมือเชิญ จากนั้นร่างของนางก็วูบไหวร่อนลงในถ้ำ
นับแต่ต้นจนจบ นางไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเย่ซุ่นกับเย่ชิงเหอด้วยซ้ำ
ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าพูดแย้ง
ในเผ่าปีศาจงูทุกวันนี้อาจจะมีตัวตนบรรพกาลผู้อยู่รอดแสนนานมากมาย ทว่าต่อหน้าโยวเสวี่ย ทุกผู้ต่างเป็นผู้น้อย…
ซูอี้ไม่เกรงใจ และเดินนำขึ้นไปบนภูเขาสงบแสงเทียน
คนอื่น ๆ ตามเขาไป
ถ้ำ ณ กลางภูเขากว้างใหญ่มหาศาล มีรัศมีหลายพันจั้ง เทียบได้กับสนามเต๋ายักษ์
ท่ามกลางหมอกอันมืดทึบ จะเห็นได้ว่ามีสวนแห่งหนึ่งถูกสร้างอยู่ในถ้ำ ล้อมด้วยกำแพงศิลาดำเตี้ย ๆ
มีบ้านหิน บ่อน้ำ และพฤกษาปลูกอยู่ในสวน ใกล้บ่อน้ำมีบุปผาสีแดงเพลิงดอกหนึ่ง งดงามตระการดุจเข็มขัดหยกแดง
ภายใต้ร่มพฤกษาในสวนมีโต๊ะเก้าอี้เรียงราย
มีหนึ่งไหสุรา สองจอกสุรา และพุทราไฟจานหนึ่งบนโต๊ะ
หญิงสาวนามโยวเสวี่ยนั่งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะหิน รายล้อมโดยประกายแสงพร่างพราวดุจนางสวรรค์ผู้ซุกซ่อนในโลกา ไม่พัวพันกับสิ่งใด
“พวกเจ้าทั้งสามรอข้างนอก”
เมื่อนางเห็นซูอี้และคณะเดินมาหา หญิงสาวก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างเฉยเมย
ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ เย่ซุ่นและคนอื่น ๆ หยุดอยู่ที่นอกสวน
ซูอี้ไม่ใส่ใจ เขาเดินตรงเข้ามาในสวน
เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ และหยุดสายตาที่บ่อน้ำ
บ่อน้ำนี้กว้างเพียงเก้าจั้ง และใจกลางของมันมีแท่นปทุมสีดำซึ่งมีโคมไฟสำริดดวงหนึ่งวางอยู่ รอบ ๆ โคมมีลวดลายเต๋าประหลาดคดเคี้ยวดุจไส้เดือน
และพลังมหาวิถีอันประหลาดก็แผ่ออกมาเช่นกัน
โคมสงบวิญญาณเทียนหยา!
มันหล่อหลอมขึ้นจากแก่นเพลิงเวหาในปากมังกรคบเพลิง อำนาจเกินหยั่งคาด เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์!
ซูอี้จ้องมองสมบัตินี้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองลึกเข้าไปในบ่อน้ำ “การใช้อำนาจของ ‘ที่มาสงบแสงเทียน’ เพื่อผนึกดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์นั้นแยบยลแท้ หากไม่ได้การยินยอมจากเจ้า กระทั่งข้าก็ชิงดาบคืนไม่ได้”
เมื่อกล่าวแล้ว ซูอี้ก็หันเดินไปใต้ต้นไม้ใหญ่ จากนั้นก็นั่งลงอีกฟากของโต๊ะหิน
“นี่เป็นความคิดของเย่อวี๋ ยามเมื่อนางไปยังเมืองมืด เรื่องที่นางกังวลที่สุดคือดาบของเจ้า นางจึงขอให้ข้าซ่อนดาบนี้ไว้ที่ก้นบ่อน้ำ”
เสียงของโยวเสวี่ยกล่าวออกมาจากอีกฟากโต๊ะ น้ำเสียงของเย็นชาและมีชั้นเชิง
คู่เนตรลึกล้ำระยับแสงมองพินิจซูอี้หัวจรดเท้า และใบหน้างามพราวเสน่ห์ของนางก็ดูพิกล “ไม่คาดเลยว่าสหายเต๋าจะพบเคล็ดเวียนวัฏสงสารและมีวาสนาได้กลับชาติจริง ๆ”
ซูอี้แย้มยิ้ม หยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้นดื่ม สัมผัสรสชาติกลมกล่อมรุนแรง
ครู่ถัดมา เขาก็กล่าวว่า “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าสนใจเคล็ดเวียนวัฏสงสารมาก ทว่าข้าไม่อาจบอกเจ้าเรื่องนี้ได้มากนัก”
โยวเสวี่ยถามอย่างตกใจ “ไฉนเล่าจึงเป็นเช่นนี้?”
ชายหนุ่มวางจอกสุราลง สายตามองตรงไปยังดวงตาของหญิงสาวอันระยับพราวดุจรัตติกาลค่ำคืน และกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าข้าปิดบังอันใด แต่ความลับของมันไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ถูก มีเพียงผู้ที่ได้ประสบมากับตัวเท่านั้นจึงสามารถเข้าใจเคล็ดนี้ได้อย่างลึกซึ้ง”
โยวเสวี่ยครุ่นคิดสักพัก จากนั้นนางก็ยิ้มหวาน “ข้าเป็นจิตวิญญาณสมบัติ เป็นตายร่วมกับโคมสงบวิญญาณเทียนหยา แม้เคล็ดเวียนวัฏสงสารจะอยู่ตรงหน้าก็เกรงว่าคงไม่อาจทำให้ข้าบรรลุวิถีเวียนวัฏสงสารได้ ทว่าข้าก็ดีใจมากแล้วที่ได้เห็นสหายเต๋าเวียนวัฏสงสารกลับมา”
ยามหญิงสาวไม่ยิ้ม บรรยากาศของนางจะเย็นเยียบเยี่ยงน้ำแข็ง
ทว่ายามแย้มยิ้มกลับงดงามตระการดุจผืนฟ้าที่สะท้อนบนธารวารี งามเสียจนใจเต้นระรัว
ทว่าซูอี้กลับเคาะโต๊ะหินและกล่าวพลางขมวดคิ้ว “หากเจ้าทำเช่นนี้อีก ข้าจะโกรธนะ”
โยวเสวี่ยถาม “เจ้าหมายความเช่นไร ที่ว่าทำเช่นนี้อีก?”
นางยิ้มขี้เล่นส่งให้ชายหนุ่ม
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “ครานี้ข้ามาเพื่อนำดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์กลับไป แต่จะไม่มีทางพาเจ้าไป”
โยวเสวี่ยแค่นเสียง
รอยยิ้มบนใบหน้างามของหญิงสาวเลือนหาย บรรยากาศรอบตัวนางเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกอีกครั้ง
“ข้ากะแล้วว่าเจ้าจะใจร้าย ไม่แปลกใจนักหรอก”
โยวเสวี่ยยื่นหัตถ์หยกของนางหยิบไหสุรารินลงจอกให้ซูอี้ “ทว่ากาลก่อน เจ้าเคยสัญญาบางอย่างกับข้า และยามนี้ก็ยังไม่ได้เติมเต็มมัน จำได้หรือไม่?”
ซูอี้อึ้งไปและถามอย่างสงสัย “อันใดหรือ?”
เนตรพราวแสงของโยวเสวี่ยวูบไหว สีหน้าของนางยากบรรยาย “ช่างเถอะ ว่ากันทีหลังก็ยังไม่สาย”
ซูอี้จ้องโยวเสวี่ยสักพัก และกล่าว “ก็ได้”
เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าไฉนตนจึงไปรับปากอันใดไว้ ณ กาลก่อน?
โยวเสวี่ยลุกขึ้นเดินมายังบ่อน้ำ จากนั้นยื่นหัตถ์หยกของนางออก
โคมสงบวิญญาณเทียนหยาร่วงลงบนมือของนางทันที
ทันใดนั้น ผิวน้ำในบ่อซึ่งเคยสงบนิ่งพลันเดือดพล่าน และเสียงครวญกระบี่เปี่ยมอารมณ์ก็ระเบิดก้องขึ้นมา
เย่ซุ่นและคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกสวนต่างหันมองขึ้นไปอย่างตกใจโดยพร้อมเพรียง
บนอากาศเหนือบ่อน้ำ ปรากฏรอยร้าวอันน่าตกใจนับไม่ถ้วนแพร่กระจายทุกทิศทาง
ลำแสงดาบสีเขียวเจิดจ้าทะยานสู่นภา แทงทะลวงน่านฟ้า ตัดผ่านกฎเกณฑ์ซึ่งปกคลุมภูเขาสงบแสงเทียนในพริบตา!
ตู้ม!
ถ้ำยักษ์โบราณสะท้านสั่น โลกเร้นลับอันมืดหม่นหดหู่ทุกซอกมุมถูกแสงดาบสาดส่องเจิดจ้าทั่วทิศ!
อำนาจดาบอันเกินบรรยายแผ่ออกในขณะเดียวกัน
มันเหมือนกับดาบคมกริบที่เปรอะฝุ่นมานานนับปี ยามเมื่อเผยตัวออกมาก็เผยอำนาจอันสะท้านทั่วโลกา!
สีหน้าของเย่ซุ่นพลันแปรเปลี่ยน ร่างสะท้านทั่วกาย ทั้งผิวกาย ดวงตา อารมณ์และวิญญาณต่างรู้สึกเจ็บแปลบจนเผลอก้มศีรษะลง ไม่กล้ามองมันตรง ๆ อีก
เหงื่อกาฬไหลโซมแผ่นหลังของเย่ชิงเหอ ความคมของลำแสงดาบนี้ทำให้หัวใจวิถีของเขาเต้นกระตุก ความเย็นเยียบกร่อนถึงกระดูก
“หากสัตว์ประหลาดเฒ่าซูเอาดาบนี่มาแทงข้า เกรงว่าคงไม่ได้มีชีวิตจวบวันนี้…”
เพชฌฆาตเฒ่าอ้าปากค้างอย่างตกใจ
พวกเขาทั้งสามไม่เคยได้เห็นดาบวิถีอันเป็นที่ภาคภูมิที่สุดของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินมาก่อน ทว่าพวกเขาต่างรู้ว่าอาวุธวิเศษซึ่งเคยปกปักรักษาสวรรค์และแดนดินได้ปรากฏขึ้นแล้ว!
ในสวน
คู่เนตรงามของโยวเสวี่ยพร่างพราวดุจภาพลวง นางกระซิบเบา ๆ “ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ ใจแห่งดาบคือใจแห่งสวรรค์ ดาบสืบทอดวิถีโบราณ ทว่าข้าไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดดาบนี้จึงมีชื่อ ‘สามชุ่น’?”
ซูอี้นั่งกินพุทราไฟพลางกล่าวอย่างเฉยเมย “เลขสามแปรเปลี่ยนเป็นทุกสิ่ง ทุกปรากฏการณ์ ทุกวิถีและธรรมะทั้งปวง หมายถึงความเป็นนิรันดร์ ยืนยงไม่รู้จบ และไร้ช่องโหว่”
“ในมุมมองทางพุทธศาสนา เขาพระสุเมรุสามารถแทรกเข้าไปในเมล็ดผักกาดได้ กรวดหินทุกก้อนล้วนสร้างเป็นโลหะ และในสายตาของผู้ฝึกเต๋า เมื่อมีโชคลาภน้อยใหญ่ก็สามารถบรรลุถึงเคล็ดแห่งแดนดินได้”
“บนโลกแห่งผู้ฝึกตน ท้ายที่สุดก็ต้องใช้ความ ‘เล็ก’ ของตนเองต่อกรกับวิถีอัน ‘ยิ่งใหญ่’ อยู่แล้ว”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “และแน่นอน ดาบนี้ยาวเพียงสามชุ่นแต่กำเนิด”
เสียงยังไม่ทันจางหาย เขาก็ลุกขึ้นมองลงไปในบ่อน้ำและโบกมือเบา ๆ
ชิ้ง!
ลึกเข้าไปในบ่อน้ำ พลันเกิดแสงสีเขียวสายหนึ่งทะลวงวารีเข้าสู่ฝ่ามือของซูอี้ราวนางแอ่นคืนรัง
แสงสีเขียวนั้นงดงามตระการ เจิดจ้าทั่วนภา ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองมันตรง ๆ
“ควบรวม”
ซูอี้กระซิบ
ทันใดนั้น แสงสีเขียวก็สั่นไหวเล็กน้อย
แสงดาบสีเขียวอันเจิดจ้าทั่วโลกหล้า ความรู้สึกคมกริบเสียดกระดูก และเสียงคำรามแห่งดาบที่สะท้อนก้องทั่วชั้นฟ้าต่างหายไปสิ้น
พวกเย่ซุ่นที่อยู่นอกสวนต่างลอบถอนหายใจโล่งอก
อำนาจดาบเมื่อครู่น่ากลัวเกินไปจริง ๆ!
น้ำเต้าสีเขียวซึ่งมีขนาดเพียงสามชุ่นปรากฏขึ้นบนฝ่ามือซูอี้
นี่คือน้ำเต้าดาบ
แรกเริ่มเดิมที ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ก็เกิดขึ้นจากน้ำเต้าดาบสีเขียวนี้!
เมื่อมองไปยังสมบัติชิ้นนี้ ดวงตาล้ำลึกของซูอี้ก็ฉายประกายโล่งใจราวกับได้หวนมาพานพบสหายเก่าที่ห่างหายแสนนาน และกล่าวเบา ๆ ว่า “สหายเก่า ให้เจ้ารอเสียนานแล้ว”
น้ำเต้าดาบสีเขียวสั่นไหวเล็กน้อย พลางส่งเสียงครวญดาบเบา ๆ ราวกับตอบสนองต่อซูอี้
ไม่ไกลนัก โยวเสวี่ยมองภาพนี้ด้วยสายตาละเอียดอ่อน
ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ไร้จิตวิญญาณดาบ
ทว่าความฉลาดเพียงนี้ก็น่าตกใจมากแล้ว!