ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 483 หลุดรอด
บทที่ 483 หลุดรอด
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงนั้นจะทะลุผ่านกำแพงเขตแดนเข้ามาได้ไกลมากแล้ว แต่เขาก็ยังคงอยู่ใต้ดิน ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาดำดิ่งอยู่ลึกถึงหกร้อยเมตร
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้ทำสิ่งใด เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่ตะโกนขึ้นอย่างเลื่อนลั่นผ่านกระแสจิตของเขา
“ฉิบหายแล้ว มีคนพังกำแพงเขตแดนเข้ามาได้”
เพียงสิ้นคำ ร่างกายของเฉินเฉียงก็ถูกจับจ้องด้วยกระแสจิตที่ทรงพลังจำนวนมาก
เขาเห็นเส้นกระแสจิตที่มาตกกระทบร่างหกร้อยหกสิบหกสาย
เฉินเฉียงในตอนนี้ถูกล็อกเป้าเอาไว้โดยผู้บ่มเพาะถึงหกร้อยหกสิบหกคน
และที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือเส้นกระแสจิตทั้งหกร้อยหกสิบหกสายนี้มาจากผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับราชาเหนือราชา
นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของวิหารศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ
แต่ในตอนนี้เฉินเฉียงไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรมากมายอีก เขาไม่คิดแม้แต่จะปล่อยกระแสจิตออกไปเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมเลยด้วยซ้ำ
นั่นก็เพราะเมื่อเขาตกเป็นเป้าแล้ว ก็ได้มีผู้บ่มเพาะยี่สิบกว่าคนที่เริ่มเคลื่อนไหวในทันที
ต่อให้เขานั้นจะมั่นใจในตัวเองอย่างมาก แต่เขาก็ยังไม่อาจหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับราชาเหนือราชาจำนวนมากมายขนาดนี้ในเวลาเดียวกัน
ไม่ต้องพูดถึงยี่สิบคน แค่คนเดียวเขาก็หืดขึ้นคอได้แล้วด้วยซ้ำ
ต่อให้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาจะสามารถช่วยให้ไม่ถูกโจมตี แต่เขาเกรงว่าพลังจิตของเขาจะไม่เพียงพอที่จะยื้อเวลาได้นานนักหากต้องพบกับการโจมตีรอบทิศแบบนี้
นี่ทำให้เฉินเฉียงที่พึ่งจะได้เข้ามากลับต้องรีบเร่งออกไปในทันที
แต่ในตอนนี้ เสียงที่เขาคุ้นเคยก็ได้ดังขึ้นมา
“ผู้อาวุโสต๋ง นำคนยี่สิบคนไล่ตามมันไป ส่วนที่เหลือให้ควบคุมเขตแดนเอาไว้ พวกเราจะต้องไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาที่นี่ได้อีก”
มันคือฮั่นจุย
เขาไม่เคยจะหลงลืมเสียงของไอ้ตัวเลวชาติตัวนี้
ต่อให้มันจะล่วงเลยมาแล้วถึงสามปีก็ตาม
ดูเหมือนว่าผอ.จ้งจะกล่าวออกมาถูกต้อง ฮั่นจุยได้กลายเป็นผู้คุมหอของวิหารศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่มันผู้นี้มีคนใต้อาณัติเป็นราชาเหนือราชาขั้นปลายเกินกว่าหกร้อยคนคอยปกป้องอยู่ ต่อให้เขาอยากจะบั่นคอมันขนาดไหนก็คงไม่อาจทำได้แม้จะไปมองหน้ามันตรง งๆ
ฮั่นจุยมันวางแผนทำอะไรอยู่ภายในกำแพงเขตแดนนี้กันแน่
แต่เขาเองก็คงต้องหลบหนีออกไปให้ได้ก่อนที่จะมานั่งนึกหาคำตอบในเรื่องนี้
เฉินเฉียงในตอนนี้พุ่งตัวออกไปอย่างเร็วรี่ แต่ไม่นาน ผู้บ่มเพาะกว่ายี่สิบเอ็ดคนก็ค่อยๆเข้าใกล้เขาเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“ฝุบฝุบฝุบุฝบฝุบ.…”
ถึงแม้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของเขาจะทรงพลัง แต่ด้วยระดับบ่มเพาะที่แตกต่างกันเกินไปของเขากับคนทั้งยี่สิบเอ็ดคนนี้ทำให้เขานั้นยากจะสลัดหลุด
ยังไม่รวมถึงการที่ทั้งยี่สิบเอ็ดคนนี้ใช้พลังจิตจับจ้องไว้ที่เขาอย่างไม่ขาดสาย นี่ทำให้พวกเขาทำได้แม้กระทั่งแยกย้ายกันออกไปแล้วหาโอกาสโจมตีได้จากทุกทิศทางที่มีโอกาส
ในช่วงวิกฤตนี้ เฉินเฉียงจึงตัดสินใจใช้หลบหนีแสงพร้อมปล่อยหุ่นเชิดซากศพระดับราชาเหนือราชาขั้นกลางออกมาจากร่างเขา ก่อนที่จะสั่งให้มันพุ่งตรงผ่านพื้นดินต่อไป
หลังจากนั้นเฉินเฉียงก็ได้ใช้ทักษะไร้ตัวตนปกปิดสัมผัสทั้งหก พร้อมกับใช้ตรวจจับด้วยเสียงที่ไม่ต้องขุดมาใช้อย่างนานแสนนานมาแล้ว
“ทางนั้น เร็วเข้า”
เหล่าผู้บ่มเพาะรีบเร่งติดตามไล่หุ่นเชิดซากศพไป
หลังจากผ่านไปเป็นชั่วโมง เฉินเฉียงก็ยังคงใช้ทักษะไร้ตัวตนอยู่อย่างนั้นยังไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนแต่อย่างใด
ในช่วงเวลานี้เขาก็พบว่าตัวเขานั้นไม่อาจสั่งการหุ่นเชิดซากศพระดับราชาเหนือราชาขั้นกลางได้อีก
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องสูญสลายกลายเป็นซากไปแล้วอย่างแน่นอน
หลังจากผ่านไปอีกสี่ชั่วโมง เฉินเฉียงก็ค่อยๆปลดปล่อยกระแสจิตของตนออกไปทีละน้อยทีละน้อยจนกระทั่งไปถึงระดับเหนือพื้นดินและตรวจสอบในรัศมีห้าไมล์
ยังดีที่หลังจากผู้บ่มเพาะทั้งยี่สิบเอ็ดคนคิดว่ากำจัดตัวก่อความวุ่นวายได้แล้วก็หายไปในทันที คนเหล่านั้นสมควรจะกลับไปประจำการที่กำแพงเขตแดนนั่นเรียบร้อยไปแล้ว
นี่ทำให้เฉินเฉียงนั้นในที่สุดก็เบาใจขึ้นมาได้
แต่นี่ทำให้เฉินเฉียงไม่อาจหุนหันเข้าไปในเขตหอหลักอีกต่อไป
ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ หากไม่เตรียมตัวเผชิญหน้าศัตรูให้ดี เขาเองก็อาจจะต้องตกตายโดยราชาเหนือราชาสักคนหนึ่งในนั้น
แต่หากว่ากันตรงๆ หากเป็นการต่อสู้กันตัวต่อตัว เขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะชนะได้เหมือนกัน
นั่นก็เพราะขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขานั้นทำได้เพียงป้องกัน แต่ไม่มีผลในการโจมตี
อย่างน้อยๆก็ไม่สามารถจนกว่าเขาจะควบคุมโลกใบเล็กของเขาได้จนหมดสิ้น หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ต้องเป็นตอนนั้นเท่านั้นเขาถึงจะจัดการทุกสิ่งอย่างภายในขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่ อสู้ของเขาได้อย่างสมบูรณ์
แต่ในตอนนี้ อย่างน้อยๆเขาก็มีสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตเพียงพอที่จะนำกลับไปให้คนของเขาบนโลก
และหากโอกาสอำนวย เขาสามารถพาเหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับราชาจอมพลขั้นปลายมายังที่นี่ได้อีกด้วย
ถึงแม้จำนวนผู้บ่มเพาะของวิหารศักดิ์สิทธิ์จะมีจำนวนไม่น้อย แต่หากเทียบกับจำนวนผู้บ่มเพาะของฮุยตู๋ ยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวไม่อาจเทียบเคียง
หลังจากตัดสินใจได้ เฉินเฉียงก็ออกมาจากผืนดินและเก็บเกี่ยวสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตในบริเวณที่ไม่มีผู้คน
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เฉินเฉียงที่เก็บเกี่ยวสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตได้แสนกว่าต้นและเก็บพวกมันเข้าโลกใบเล็กไป
“ท่านผอ.”
ที่ไกลออกไปนั้น หลิวเสี่ยวหลันและพวกอีกห้าคนได้พุ่งตรงเข้ามาหาเฉินเฉียงพร้อมกับแหวนในมือ
“ท่านผอ. ข้าเก็บมาได้เจ็ดหมื่นต้น”
“ท่านผอ. ส่วนนี้ของข้า ข้าเก็บมาได้ไม่เจ็ดก็แปดหมื่นต้นอยู่ในแหวนวงนี้”
“ส่วนนี่ของข้า”
ทั้งหกที่ช่วยกันเก็บสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตให้กับเฉินเฉียงนั้น รวมๆกันแล้วได้ประมาณเกือบห้าแสนต้น นี่เพียงพอที่เฉินเฉียงจะนำกลับไปใช้อย่างแน่นอน
“ฮี่ฮี่ฮี่ เสี่ยวหลัน เอาไว้คราวหน้าที่ข้ามา ข้าจะหาโอกาสเอ่ยขอตำแหน่งดีๆให้กับพวกเจ้ากับท่านผู้คุมหอแล้วกัน พวกเจ้าจะได้มีตำแหน่งหน้าที่ดีๆกว่านี้”
หลิวเสี่ยวหลานและพวกเมื่อได้ยินก็แสดงออกมาอย่างยินดียิ่ง
“ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่านผอ.ครับ”
หลังจากออกจากเขาโรคาแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ตรงกลับไปยังสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าในทันที
เมื่อไปถึง เฉินเฉียงก็รู้จากหยานเสวี่ยว่าเมื่อตงติ๋นกลับมาถึง เขาก็ตรงไปหากัวเหลียงและแสดงความจำนงขอเข้าร่วมกลุ่มเหมันต์จันทราด้วยตนเอง
นี่จึงทำให้เฉินเฉียงตัดสินใจเรียกรวมกองกำลังเทียนเว่ยรวมถึงตงติ๋นในทันที
ต่อหน้าทุกคน เฉินเฉียงไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เขาค้นพบที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด แต่เขากลับพูดเพียงเรื่องภารกิจที่วิหารศักดิ์สิทธิ์มอบให้กับสำนักเต๋าทั่วทั้งโลกปีศาจ
นอกจากตงติ๋นแล้ว ทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ยเมื่อได้ยินคำว่าสิ่งมีชีวิตไม่ทราบที่มาก็พลันนึกถึงสัตว์ประหลาดที่ตกอยู่ในสภาพบ้าคลั่งที่พวกเขาเคยได้พบเจอ
เป็นตอนนี้เองที่ตงติ๋นนั้นได้รับรู้ว่าเหมือนทุกคนในที่นี้พอจะนึกออกว่าสิ่งมีชีวิตไม่ทราบที่มาที่ว่าคือตัวอะไร นี่ทำให้ตงติ๋นอดไม่ได้ที่จะถามออกมาในทันที “ผอ.จ้ง ไอ้สิ่งม มีชีวิตไม่ทราบที่มาที่ว่านี่คือตัวอะไรกัน”
“ท่านผู้อาวุโสตงไม่ต้องกังวลไป” เฉินเฉียงพูดออกมาราวกับต้องการปลอบขวัญ “สิ่งมีชีวิตไม่ทราบที่มาเหล่านี้ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ให้เราจัดการนั้นค่อนข้างจะอันตรายพอสมควร”
“และในเมื่อวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องเคลื่อนไหว พวกเราย่อมต้องกวาดล้างพวกมัน”
“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ข้าเชื่อว่าโลกปีศาจคงเสียหายไม่น้อยเลยทีเดียว”
“ส่วนไอ้ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ทราบที่มานี่ข้าเองก็อธิบายให้ท่านฟังได้ยากเหมือนกัน”
“อย่างน้อยๆพวกเราต้องเห็นพวกมันก่อน พวกเราถึงจะบอกท่านได้ว่าพอจะรับมือกับมันยังไงได้บ้าง”
“เอ้อว่าแต่ท่านผู้อาวุโสตง ท่านได้พูดคุยกับผู้อาวุโสแผนกปรุงยากับวัตถุวิญญาณบ้างรึยัง”
“ท่านผอ.ไม่ต้องกังวลในเรื่องนั้น หลังจากข้ากลับมาถึงก็ได้ติดต่อพวกเขาไปแล้ว”
“เพียงแต่ทั้งสองในตอนนี้ยังไม่อาจมายืนฝั่งเราได้อย่างเปิดเผยเพียงเท่านั้น”
“แต่เพียงแค่ท่านผอ.สั่งออกมา พวกเขาก็พร้อมที่จะเข้าร่วมได้ทุกเวลา”