ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - ตอนที่ 2931: ทิศทางการบ่มเพาะ ผู้อาวุโสลมจากไปอีกครั้ง เมื่อเขาจากไป เจี้ยนเฉิน, เฉินเจี้ยนจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ต่างก็กลับไปเก็บตัวบ่มเพาะเหมือนเดิม การเก็บตัวบ่มเพาะนั้นจะพูดจริง ๆ ก็คือถ้ำที่พวกเขาขุดกันขึ้นมาเองอย่างไม่ใส่ใจ ถ้ำนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากสมบัติสวรรค์ที่ปลูกไว้ในดาวเคราะห์นิรนาม แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะมีโถงศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมดี ๆ ได้ แต่ก็ไม่มีใครที่จะบ่มเพาะในโถงศักดิ์สิทธิ์ อย่างแรก ดาวเคราะห์นิรนามนี้นั้นปลอดภัยมาก ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องกังวลว่าพวกเขาจะถูกรบกวน อย่างที่สอง การบ่มเพาะภายนอกทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น แม้ว่าดาวเคราะห์นิรนามจะถูกละเลยไม่สนใจเลย แต่ก็เป็นเรื่องพิเศษอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เขาถูกห่อหุ้มด้วยค่ายกลที่ทรงพลัง ทั้งวิถีและกฏก็ถูกรวบรวมเช่นกันและสมบัติสวรรค์ระ ะดับสูงจำนวนมากก็ถูกปลูกเอาไว้ "เจี้ยนเฉิน ดินนี่มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง มันสามารถใช้ส่งเสริมทรัพยากรได้ ดังนั้นดินเหล่านี้จึงเป็นการบอกใบ้ทางอ้อมว่ามันมีกฏกำเนิดอยู่ การกินเข้าไปจะทำให้เกิดผลประโยชน์อย่า างยิ่งต่อการบ่มเพาะ” "หยดน้ำค้างเหล่านี้ก็เก็บมาจากดอกไม้วิญญาณน้ำแข็ง จากที่ผู้อาวุโสลมพูด ดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งเป็นสิ่งที่พิเศษมาก มันเหมาะสำหรับการเสริมสร้างวิญญาณและเป็นสิ่งของที่ใช้ได้เรื่อ อย ๆ แต่การจะให้ได้มันมานั้นยากมาก น้ำค้างจากดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งแตกต่างจากน้ำค้างทั่ว ๆ ไป มันกลั่นตัวมาจากพลังของดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งและแต่ละปีจะมีเพียงหยดเดียวเท่านั้น" "หยดน้ำค้างเพียงหยดเดียวของดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งประกอบไปด้วยพลังบริสุทธิ์อย่างมาก หากเจ้ากินน้ำค้างจากดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งเป็นเวลานาน ๆ และบ่มเพาะ ไม่เพียงแต่พลังวิญญาณของเจ้ าจะเพิ่มอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยหลอมรวมวิญญาณของเจ้าด้วยเช่นกันทำให้จิตใจของเจ้าไม่มีอารมณ์เชิงลบใด ๆ " "สำหรับใบไม้เหล่านี้มีไว้สำหรับการกลั่นร่างกายโดยเฉพาะ ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างร่างกายทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอัตราการดูดซึมพลังงานดั้งเดิมของร่างกายได้อีกด้วย" เฉินเจี้ยนเอาทรัพยากรล้ำค่าต่าง ๆ ที่ใช้ในการบ่มเพาะและแบ่งออกเป็น 0 กองให้เจี้ยนเฉินและจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ได้เอาสมบัติสวรรค์มากมายอย่างที่เห็น มันเป็นการเก ก็บสุ่ม ๆ เล็กน้อยอย่างไม่สนใจเท่านั้น แต่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มากมาย แต่ก็ยังเป็นของล้ำค่าและหายากสำหรับขั้นอสงไขย พวกมันต่างก็หายากมากที่จะได้รับหากอยู่ในโลกภายนอก ผู้อาวุโสลมได้เพาะปลูกสมบัติสวรรค์ทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง ในระดับการบ่มเพาะของผู้อาวุโสลม สมบัติสวรรค์จำนวนมากเหล่านี้นั้นไร้ประโยชน์สำหรับเขาแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เขาปลูกเองมันจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เจี้ยนเฉินและจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ลังเลที่จะรับสมบัติสวรรค์จากเฉินเจี้ยนเลย ไม่จำเป็นต้องทำตัวมีมารยาทระหว่างพวกเขาอีกต่อไป เจี้ยนเฉินสนใจที่จะทดลองใช้ผลของสมบัติสวรรค์เหล่านี้ ในไม่ช้าเขาก็ได้รับสมบัติสวรรค์ทั้งหมดจากเฉินเจี้ยน และทันใดนั้นเองเขาก็ตกตะลึงอย่างประหลาดใจ สมบัติสวรรค์จากเฉินเจี้ยนล้วนเป็นส่วนที่ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นดิน, น้ำค้าง, หรือใบไม้ ทั้งหมดนี้สามารถบอกได้ว่าเป็นของขวัญได้ แต่แม้กระทั่งของขวัญเหล่านี้ก็ยังส่งผลชัดเจนต่อร่างกายของเขา "ข้าจะไม่แข็งแกร่งขึ้นมากในช่วงเวลาสั้นด้วยสมบัติเหล่านี้ แต่ถ้าข้ากินเข้าไปเป็นเวลานานเหมือนกับเฉินเจี้ยน ผลประโยชน์มากมายจะมหาศาลมากนอกจากเรื่องของสายเลือดแล้วด้านอื่น ๆ แ และความสามารถก็จะเพิ่มขึ้นหรือแม้กระทั่งได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์" เจี้ยนเฉินคิด เขาอดไม่ได้ที่จะถึงถึงผลเลือดศักดิ์สิทธิ์แห่งวิถี หากผลเลือดศักดิ์สิทธิ์แหงวิถียังคงอยู่ มัน นควรจะเป็นการรวมตัวกันของสมบัติสวรรค์ที่เข้าชุดกันอย่างสมบูรณ์ หากสมบัติสวรรค์ทั้งหมดนี้ถูกใช้โดยพวกเขาทุก ๆ วัน เขาก็สามารถเพิ่มพลังทุก ๆ ด้านในการบ่มเพาะได้ ไม่ว่าจะเป็นสายเลือด, ร่างกายหรือวิญญาณของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดที่จะล้าหลังใน ด้านอื่น ๆ พวกเขาจะเปลี่ยนกลายเป็นเสาหลักได้อย่างแท้จริง "ผู้อาวุโสลมแต่เดิมเตรียมสิ่งของเหล่านี้ไว้เพื่อตัวเอง แต่เดิมมันอาจจะเป็นขั้นตอนสุดท้าย" เจี้ยนเฉินคิดกับตัวเอง เนื่องจากผู้อาวุโสลมกล่าวว่าเขาไม่ต้องการสมบัติสวรรค์เหล่านี้ อีกต่อไปและทิ้งไว้ให้กับเฉินเจี้ยน เจี้ยนเฉินก็สามารถจินตนาการได้ว่าเฉินเจี้ยนจะมีพลังมากแค่ไหนถ้าเขากินสมบัติสวรรค์ทั้งหมดนี้ไปจริง ๆ อย่างไรก็ตามเขาเข้าใจด้วยว่าเฉินเจี้ยนยังคงอยู่ห่างไกลจากวันนั้น แม้ว่าเขาจะเป็นขั้นอสงไขยแล้วก็ตาม แต่ขอบเขตการบ่มเพาะของเขานั้นยังต่ำเมื่อเทียบกับสมบัติสวรรค์ที่หายาก การกินมันในตอนนี้จะกลายเป็นการสิ้นเปลืองแทน "ตอนนี้ข้าเข้าใจกฏมากมายแล้ว ในหมู่พวกมันมีกฏกระบี่และกฏมิติเท่านั้นที่ทรงพลังที่สุด ตามมาด้วยกฏแกนสีทองที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญทั้งแปดที่อยู่ใต้ดินบนที่ราบรกร้าง ซึ่ง งได้แก่ กฏแห่งความแข็งแกร่ง, กฎแห่งการสร้างสรรค์, กฏแห่งการทำลายล้าง, กฏแห่งไฟ, กฏแห่งคำสาป, กฏแห่งการกัดกร่อนและกฏแห่งมิติ" "ทั้ง 7 กฏ กฏแห่งมิติเป็นกฏที่โดดเด่นที่สุด ตามมาด้วยกฎแห่งความแข็งแกร่ง ความเข้าใจในด้านกฎอื่น ๆ ของข้าค่อนข้างตื้นเขิน แม้จะมีกฏแกนสีทองอยู่ก็ตาม แต่ข้าก็แทบจะไม่มีเ เวลาในการบ่มเพาะพวกมัน" "หลังจากนั้นก็คือพลังวิญญาณนักรบ แต่พลังวิญญาณนักรบของข้าจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับช้า ๆ นับตั้งแต่ที่ข้าออกจากภูเขาวิญญาณนักรบ ถ้าข้าต้องการบ่มเพาะพลังวิญญาณนักร รบ จะดีที่สุดถ้าข้าได้ไปบ่มเพาะในภูเขาวิญญาณนักรบ" "ข้าสามารถผลักดันกฏแห่งการกัดกร่อน, กฏแห่งคำสาป, กฏแห่งไฟ, กฏแห่งความแข็งแกร่ง, กฏแห่งการทำลายล้างและกฏแห่งการสร้างสรรค์ให้เข้าสู่ขอบเขตอสงไขยได้ด้วยกฏแกนสีทอง แต่มันจ จะยากมากสำหรับข้าที่จะทะลวงไปยังชั้นสวรรค์ที่ 5 แม้ว่าข้าจะดูดซับมันทั้งหมดก็ตาม” "กฏที่ชั้นสวรรค์ที่ 5 จะไม่เพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของข้าในตอนนี้มากนัก มันจะทำได้เพียงแค่เสริมความสามารถของข้าในท้ายที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันอาจไม่จำเป็นต้องไปถึงชั้นส สวรรค์ที่ 5 และข้าต้องใช้เวลาหลายปีกับพวกมัน" "ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของข้ายังไม่เพียงพอ ตอนนี้วิธีเดียวที่จะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมีแต่จะต้องบ่มเพาะวิถีกระบี่ สำหรับกฎมิติ ข้าไม่จำเป็นต้องหาทางเบี่ยงเบนมันในตอนนี้ พลั งวิญญาณสัตว์อสูรจากจักรพรรดิแมลงมิติยังคงไม่หมด ในครั้งต่อไปที่ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้น พลังวิญญาณสัตว์อสูรจะยกระดับกฏมิติของข้าให้ไปถึงขั้นบรรพกาลโดยตรง" เจี้ยนเฉิน ลืมตาของเขาด้วยความคิดและเริ่มตรวจสอบร่างกายของเขาและเริ่มวางแผนทิศทางการบ่มเพาะในอนาคต จนถึงตอนนี้เขาเข้าใจกฏจำนวนมาก นอกจากกฏเหล่านั้นแล้ว เขายังสัมผัสได้กับกฏสังสารวัฎและวิถีกรรมผ่านอมตะเที่ยงแท้วัฎสงสาร อย่างไรก็ตามเขายังเข้าใจหลักการนิดหน่อย เมื่อเทียบกับการเสียเวลาเพื่อทำความเข้าใจกฏเพิ่มที่ไม่ได้เพิ่มพลังการต่อสู้ของเขา เขาก็ควรจะทุ่มเทความสนใจความพยายามทั้งหมดและทรัพยา ากรทั้งหมดของเขาให้กับกฏกระบี่ ด้วยการเพิ่มขึ้นของกฏกระบี่ในแต่ละครั้ง ร่างบรรพกาลก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นทุกครั้ง นั่นหมายความว่าเขาสามารถป้องกันตัวเองได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย วันหนึ่งเมื่อมีคนไม่มากนักในโลกที่สามารถคุกคามเขาได้ เขาก็ค่อยมากังวลว่าเขาจะมีเวลาเหลือพอเข้าใจกฎต่าง ๆ ไหม ? "ข้าจะเก็บเศษวิญญาณทั้งเจ็ดไว้ก่อนตอนนี้" เจี้ยนเฉินอยู่ในระดับเดียวกับขั้นบรรพกาลแล้วในตอนนี้ เขาไม่ใช่ราชาเทพที่ต้องมากลัวคนอื่น ๆ แบบที่ราบรกร้างอีกแล้ว ทำให้การคงอยู่ของเศษวิญญาณทั้งเจ็ดในจิตสำนึกของเขาชัดเจ จนขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้วิญญาณของเขาไม่เพียงจะทรงพลัง แต่มันยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของจิตวิญญาณกระบี่ด้วย ดังนั้นเศษวิญญาณที่อ่อนแอทั้งเจ็ดจึงไม่อาจเป็นภัยต่อเขามาตั้งนานแล้ว เศษวิญญาณทั้งเจ็ดอาจจะไม่เคยคิดว่าการเติบโตของเจี้ยนเฉินจะเร็วขนาดนี้ หลังจากตัดสินใจเลือกทิศทางแล้ว เจี้ยนเฉินก็คิดถึงเรื่องนี้และลงเอยด้วยการตัดสินใจที่จะโถงศักดิ์สิทธิ์ออกมา เขาเข้าไปในโถงศักดิ์สิทธิ์และหยิบหยกชะตาออกมาและนั่งบนหยกชะตาเพื อทำความเข้าใจกฏกระบี่ หยกชะตานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเชื่อใจผู้อาวุโสลมมาก แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องซ่อนการคงอยู่ของหยกชะตา เห็นได้ชัดว่าโถงศักดิ์สิทธิ์ วัตถุเซียนคุณภาพสูงสุดไม่อาจหลอกสัมผัสของผู้อาวุโสลมได้ แต่โชคดีที่หยกชะตาเป็นสมบัติพิเศษที่สามารถซ่อนจากสัมผัสของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดได้ แม้แต ต่จอมปราชญ์สูงสุดก็ไม่ยกเว้น วิธีเดียวที่จะเจอหยกชะตาได้ก็คือมองด้วยตาเปล่า
- Home
- ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
- ตอนที่ 2931: ทิศทางการบ่มเพาะ ผู้อาวุโสลมจากไปอีกครั้ง เมื่อเขาจากไป เจี้ยนเฉิน, เฉินเจี้ยนจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ต่างก็กลับไปเก็บตัวบ่มเพาะเหมือนเดิม การเก็บตัวบ่มเพาะนั้นจะพูดจริง ๆ ก็คือถ้ำที่พวกเขาขุดกันขึ้นมาเองอย่างไม่ใส่ใจ ถ้ำนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากสมบัติสวรรค์ที่ปลูกไว้ในดาวเคราะห์นิรนาม แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะมีโถงศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมดี ๆ ได้ แต่ก็ไม่มีใครที่จะบ่มเพาะในโถงศักดิ์สิทธิ์ อย่างแรก ดาวเคราะห์นิรนามนี้นั้นปลอดภัยมาก ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องกังวลว่าพวกเขาจะถูกรบกวน อย่างที่สอง การบ่มเพาะภายนอกทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น แม้ว่าดาวเคราะห์นิรนามจะถูกละเลยไม่สนใจเลย แต่ก็เป็นเรื่องพิเศษอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เขาถูกห่อหุ้มด้วยค่ายกลที่ทรงพลัง ทั้งวิถีและกฏก็ถูกรวบรวมเช่นกันและสมบัติสวรรค์ระ ะดับสูงจำนวนมากก็ถูกปลูกเอาไว้ "เจี้ยนเฉิน ดินนี่มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง มันสามารถใช้ส่งเสริมทรัพยากรได้ ดังนั้นดินเหล่านี้จึงเป็นการบอกใบ้ทางอ้อมว่ามันมีกฏกำเนิดอยู่ การกินเข้าไปจะทำให้เกิดผลประโยชน์อย่า างยิ่งต่อการบ่มเพาะ” "หยดน้ำค้างเหล่านี้ก็เก็บมาจากดอกไม้วิญญาณน้ำแข็ง จากที่ผู้อาวุโสลมพูด ดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งเป็นสิ่งที่พิเศษมาก มันเหมาะสำหรับการเสริมสร้างวิญญาณและเป็นสิ่งของที่ใช้ได้เรื่อ อย ๆ แต่การจะให้ได้มันมานั้นยากมาก น้ำค้างจากดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งแตกต่างจากน้ำค้างทั่ว ๆ ไป มันกลั่นตัวมาจากพลังของดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งและแต่ละปีจะมีเพียงหยดเดียวเท่านั้น" "หยดน้ำค้างเพียงหยดเดียวของดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งประกอบไปด้วยพลังบริสุทธิ์อย่างมาก หากเจ้ากินน้ำค้างจากดอกไม้วิญญาณน้ำแข็งเป็นเวลานาน ๆ และบ่มเพาะ ไม่เพียงแต่พลังวิญญาณของเจ้ าจะเพิ่มอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยหลอมรวมวิญญาณของเจ้าด้วยเช่นกันทำให้จิตใจของเจ้าไม่มีอารมณ์เชิงลบใด ๆ " "สำหรับใบไม้เหล่านี้มีไว้สำหรับการกลั่นร่างกายโดยเฉพาะ ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างร่างกายทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอัตราการดูดซึมพลังงานดั้งเดิมของร่างกายได้อีกด้วย" เฉินเจี้ยนเอาทรัพยากรล้ำค่าต่าง ๆ ที่ใช้ในการบ่มเพาะและแบ่งออกเป็น 0 กองให้เจี้ยนเฉินและจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ได้เอาสมบัติสวรรค์มากมายอย่างที่เห็น มันเป็นการเก ก็บสุ่ม ๆ เล็กน้อยอย่างไม่สนใจเท่านั้น แต่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มากมาย แต่ก็ยังเป็นของล้ำค่าและหายากสำหรับขั้นอสงไขย พวกมันต่างก็หายากมากที่จะได้รับหากอยู่ในโลกภายนอก ผู้อาวุโสลมได้เพาะปลูกสมบัติสวรรค์ทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง ในระดับการบ่มเพาะของผู้อาวุโสลม สมบัติสวรรค์จำนวนมากเหล่านี้นั้นไร้ประโยชน์สำหรับเขาแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เขาปลูกเองมันจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เจี้ยนเฉินและจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ลังเลที่จะรับสมบัติสวรรค์จากเฉินเจี้ยนเลย ไม่จำเป็นต้องทำตัวมีมารยาทระหว่างพวกเขาอีกต่อไป เจี้ยนเฉินสนใจที่จะทดลองใช้ผลของสมบัติสวรรค์เหล่านี้ ในไม่ช้าเขาก็ได้รับสมบัติสวรรค์ทั้งหมดจากเฉินเจี้ยน และทันใดนั้นเองเขาก็ตกตะลึงอย่างประหลาดใจ สมบัติสวรรค์จากเฉินเจี้ยนล้วนเป็นส่วนที่ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นดิน, น้ำค้าง, หรือใบไม้ ทั้งหมดนี้สามารถบอกได้ว่าเป็นของขวัญได้ แต่แม้กระทั่งของขวัญเหล่านี้ก็ยังส่งผลชัดเจนต่อร่างกายของเขา "ข้าจะไม่แข็งแกร่งขึ้นมากในช่วงเวลาสั้นด้วยสมบัติเหล่านี้ แต่ถ้าข้ากินเข้าไปเป็นเวลานานเหมือนกับเฉินเจี้ยน ผลประโยชน์มากมายจะมหาศาลมากนอกจากเรื่องของสายเลือดแล้วด้านอื่น ๆ แ และความสามารถก็จะเพิ่มขึ้นหรือแม้กระทั่งได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์" เจี้ยนเฉินคิด เขาอดไม่ได้ที่จะถึงถึงผลเลือดศักดิ์สิทธิ์แห่งวิถี หากผลเลือดศักดิ์สิทธิ์แหงวิถียังคงอยู่ มัน นควรจะเป็นการรวมตัวกันของสมบัติสวรรค์ที่เข้าชุดกันอย่างสมบูรณ์ หากสมบัติสวรรค์ทั้งหมดนี้ถูกใช้โดยพวกเขาทุก ๆ วัน เขาก็สามารถเพิ่มพลังทุก ๆ ด้านในการบ่มเพาะได้ ไม่ว่าจะเป็นสายเลือด, ร่างกายหรือวิญญาณของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดที่จะล้าหลังใน ด้านอื่น ๆ พวกเขาจะเปลี่ยนกลายเป็นเสาหลักได้อย่างแท้จริง "ผู้อาวุโสลมแต่เดิมเตรียมสิ่งของเหล่านี้ไว้เพื่อตัวเอง แต่เดิมมันอาจจะเป็นขั้นตอนสุดท้าย" เจี้ยนเฉินคิดกับตัวเอง เนื่องจากผู้อาวุโสลมกล่าวว่าเขาไม่ต้องการสมบัติสวรรค์เหล่านี้ อีกต่อไปและทิ้งไว้ให้กับเฉินเจี้ยน เจี้ยนเฉินก็สามารถจินตนาการได้ว่าเฉินเจี้ยนจะมีพลังมากแค่ไหนถ้าเขากินสมบัติสวรรค์ทั้งหมดนี้ไปจริง ๆ อย่างไรก็ตามเขาเข้าใจด้วยว่าเฉินเจี้ยนยังคงอยู่ห่างไกลจากวันนั้น แม้ว่าเขาจะเป็นขั้นอสงไขยแล้วก็ตาม แต่ขอบเขตการบ่มเพาะของเขานั้นยังต่ำเมื่อเทียบกับสมบัติสวรรค์ที่หายาก การกินมันในตอนนี้จะกลายเป็นการสิ้นเปลืองแทน "ตอนนี้ข้าเข้าใจกฏมากมายแล้ว ในหมู่พวกมันมีกฏกระบี่และกฏมิติเท่านั้นที่ทรงพลังที่สุด ตามมาด้วยกฏแกนสีทองที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญทั้งแปดที่อยู่ใต้ดินบนที่ราบรกร้าง ซึ่ง งได้แก่ กฏแห่งความแข็งแกร่ง, กฎแห่งการสร้างสรรค์, กฏแห่งการทำลายล้าง, กฏแห่งไฟ, กฏแห่งคำสาป, กฏแห่งการกัดกร่อนและกฏแห่งมิติ" "ทั้ง 7 กฏ กฏแห่งมิติเป็นกฏที่โดดเด่นที่สุด ตามมาด้วยกฎแห่งความแข็งแกร่ง ความเข้าใจในด้านกฎอื่น ๆ ของข้าค่อนข้างตื้นเขิน แม้จะมีกฏแกนสีทองอยู่ก็ตาม แต่ข้าก็แทบจะไม่มีเ เวลาในการบ่มเพาะพวกมัน" "หลังจากนั้นก็คือพลังวิญญาณนักรบ แต่พลังวิญญาณนักรบของข้าจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับช้า ๆ นับตั้งแต่ที่ข้าออกจากภูเขาวิญญาณนักรบ ถ้าข้าต้องการบ่มเพาะพลังวิญญาณนักร รบ จะดีที่สุดถ้าข้าได้ไปบ่มเพาะในภูเขาวิญญาณนักรบ" "ข้าสามารถผลักดันกฏแห่งการกัดกร่อน, กฏแห่งคำสาป, กฏแห่งไฟ, กฏแห่งความแข็งแกร่ง, กฏแห่งการทำลายล้างและกฏแห่งการสร้างสรรค์ให้เข้าสู่ขอบเขตอสงไขยได้ด้วยกฏแกนสีทอง แต่มันจ จะยากมากสำหรับข้าที่จะทะลวงไปยังชั้นสวรรค์ที่ 5 แม้ว่าข้าจะดูดซับมันทั้งหมดก็ตาม” "กฏที่ชั้นสวรรค์ที่ 5 จะไม่เพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของข้าในตอนนี้มากนัก มันจะทำได้เพียงแค่เสริมความสามารถของข้าในท้ายที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันอาจไม่จำเป็นต้องไปถึงชั้นส สวรรค์ที่ 5 และข้าต้องใช้เวลาหลายปีกับพวกมัน" "ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของข้ายังไม่เพียงพอ ตอนนี้วิธีเดียวที่จะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมีแต่จะต้องบ่มเพาะวิถีกระบี่ สำหรับกฎมิติ ข้าไม่จำเป็นต้องหาทางเบี่ยงเบนมันในตอนนี้ พลั งวิญญาณสัตว์อสูรจากจักรพรรดิแมลงมิติยังคงไม่หมด ในครั้งต่อไปที่ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้น พลังวิญญาณสัตว์อสูรจะยกระดับกฏมิติของข้าให้ไปถึงขั้นบรรพกาลโดยตรง" เจี้ยนเฉิน ลืมตาของเขาด้วยความคิดและเริ่มตรวจสอบร่างกายของเขาและเริ่มวางแผนทิศทางการบ่มเพาะในอนาคต จนถึงตอนนี้เขาเข้าใจกฏจำนวนมาก นอกจากกฏเหล่านั้นแล้ว เขายังสัมผัสได้กับกฏสังสารวัฎและวิถีกรรมผ่านอมตะเที่ยงแท้วัฎสงสาร อย่างไรก็ตามเขายังเข้าใจหลักการนิดหน่อย เมื่อเทียบกับการเสียเวลาเพื่อทำความเข้าใจกฏเพิ่มที่ไม่ได้เพิ่มพลังการต่อสู้ของเขา เขาก็ควรจะทุ่มเทความสนใจความพยายามทั้งหมดและทรัพยา ากรทั้งหมดของเขาให้กับกฏกระบี่ ด้วยการเพิ่มขึ้นของกฏกระบี่ในแต่ละครั้ง ร่างบรรพกาลก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นทุกครั้ง นั่นหมายความว่าเขาสามารถป้องกันตัวเองได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย วันหนึ่งเมื่อมีคนไม่มากนักในโลกที่สามารถคุกคามเขาได้ เขาก็ค่อยมากังวลว่าเขาจะมีเวลาเหลือพอเข้าใจกฎต่าง ๆ ไหม ? "ข้าจะเก็บเศษวิญญาณทั้งเจ็ดไว้ก่อนตอนนี้" เจี้ยนเฉินอยู่ในระดับเดียวกับขั้นบรรพกาลแล้วในตอนนี้ เขาไม่ใช่ราชาเทพที่ต้องมากลัวคนอื่น ๆ แบบที่ราบรกร้างอีกแล้ว ทำให้การคงอยู่ของเศษวิญญาณทั้งเจ็ดในจิตสำนึกของเขาชัดเจ จนขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้วิญญาณของเขาไม่เพียงจะทรงพลัง แต่มันยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของจิตวิญญาณกระบี่ด้วย ดังนั้นเศษวิญญาณที่อ่อนแอทั้งเจ็ดจึงไม่อาจเป็นภัยต่อเขามาตั้งนานแล้ว เศษวิญญาณทั้งเจ็ดอาจจะไม่เคยคิดว่าการเติบโตของเจี้ยนเฉินจะเร็วขนาดนี้ หลังจากตัดสินใจเลือกทิศทางแล้ว เจี้ยนเฉินก็คิดถึงเรื่องนี้และลงเอยด้วยการตัดสินใจที่จะโถงศักดิ์สิทธิ์ออกมา เขาเข้าไปในโถงศักดิ์สิทธิ์และหยิบหยกชะตาออกมาและนั่งบนหยกชะตาเพื อทำความเข้าใจกฏกระบี่ หยกชะตานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเชื่อใจผู้อาวุโสลมมาก แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องซ่อนการคงอยู่ของหยกชะตา เห็นได้ชัดว่าโถงศักดิ์สิทธิ์ วัตถุเซียนคุณภาพสูงสุดไม่อาจหลอกสัมผัสของผู้อาวุโสลมได้ แต่โชคดีที่หยกชะตาเป็นสมบัติพิเศษที่สามารถซ่อนจากสัมผัสของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดได้ แม้แต ต่จอมปราชญ์สูงสุดก็ไม่ยกเว้น วิธีเดียวที่จะเจอหยกชะตาได้ก็คือมองด้วยตาเปล่า
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดให้ชัดเจนเเจ่มเเจ้ง แต่เย่เฉินก็เดาได้ว่าเธอคงต้องการถ่ายภาพอู๋เฟยเยี่ยนอย่างเเน่นอน ดังนั้น เขาจึงพยักหน้าเป็นการตอบรับเเล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เเละจัดการกดเปิดฟังก์ชั่นกล้องหน้าในทันที
หลังจากเปิดโหมดถ่ายภาพของกล้องเเล้ว ทั้งสองก็หันตัวกลับมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับรู้ใจกัน โดยหันหลังให้กับดวงอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา เเละหันหลังให้กับอู๋เฟยเยี่ยน จากนั้นพวกเขาทั้งสองจึงกดถ่ายภาพเซลฟี่ร่วมกันหนึ่งภาพ
หลังจากถ่ายภาพเสร็จเรียบร้อย เย่เฉินรีบคลิกเพื่อขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นด้วยความว่องไว เเละด้วยอานิสงส์ของกล้องหน้าที่มีความละเอียดสูงหลายล้านพิกเซล ในภาพๆ นั้น รูปลักษณ์ของอู๋เฟยเยี่ยนถูกถ่ายภาพเอาไว้ได้ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว
หลังจากนั้น เย่เฉินจึงขยับปรับเปลี่ยนอิริยาบถของตน เเละทำท่าเซลฟี่กับหลินหว่านเอ๋อร์ต่อไปอีก ในขณะที่มือก็กดถ่ายภาพผ่านทางกล้องหน้าไปด้วย ซึ่งภาพที่ถูกถ่ายเอาไว้อย่างต่อเนื่องนั้น ล้วนแต่เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับอู๋เฟยเยี่ยนทั้งสิ้น
แต่น่าเสียดายที่อู๋เฟยเยี่ยนเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งกล้องหน้าของเขายังไม่มีฟังก์ชั่นเลนส์ซูมเทเลโฟโต้อีกด้วย ดังนั้น ความปรารถนาที่จะถ่ายภาพเธอในสถานการณ์เช่นนี้ จึงกลายเป็นความฝันลมๆ แร้งๆ ไปเสียเเล้ว
เขาจึงเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ไว้ในกระเป๋าตามเดิม และแสร้งทำเป็นเพลิดเพลินกับการชื่นชมบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากับหลินหว่านเอ๋อร์ต่อไป
ทว่า หางตาของเขายังคงจับจ้องไปที่อู๋เฟยเยี่ยนอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่อู๋เฟยเยี่ยนเข้าไปในป่าได้สักพักหนึ่ง เธอจึงเลือกพื้นที่ที่ค่อนข้างโล่งกว้างบริเวณหนึ่งในป่าผืนนั้น เเล้วเธอก็หยิบค้อนกับแม่พิมพ์ทรงกระบอกที่ทำมาจากไม้ออกมาจากกระเป๋าของเธอ
ต่อจากนั้น อู๋เฟยเยี่ยนจึงโยนกระดาษสีเหลืองลงไปบนพื้น เเล้วนำแม่พิมพ์ทรงกระบอกที่ทำมาจากไม้วางทับลงไปบนกระดาษสีเหลืองอีกที จากนั้นก็ใช้ค้อนทุบลงไปบนปากแม่พิมพ์ไม้ทรงกระบอกนั้นอย่างแรง
ด้วยการกระทำเช่นนี้ จึงทำให้เกิดเค้าโครงเส้นวงกลมหลงเหลือทิ้งไว้บนกระดาษสีเหลืองหยาบกระด้างแผ่นนั้น เเละเกิดเป็นช่องว่างสี่เหลี่ยมเป็นอยู่ตรงกลาง
การกระทำนั้นเรียกว่า ” การพิมพ์เงิน ” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปในสมัยนี้ ไม่ค่อยมีโอกาสจะได้เห็นกันอีกแล้ว
แม้ว่ากระดาษสีเหลืองนั้นจะถูกทำขึ้นมาอย่างหยาบกระด้าง ทว่ากลับมีประสิทธิภาพในการติดไฟสูง รู้สึกว่าในปัจจุบันนี้ ตามพื้นที่ชนบทก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่นิยมไปปัดกวาดทำความสะอาดหลุมศพกันในช่วงเทศกาลเชงเม้ง ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการไปแสดงเคารพต่อบรรพบุรุษอันเป็นที่รักของพวกเขา
เเล้วแม่พิมพ์ทรงกระบอกที่ทำมาจากไม้นั้น ก็ได้กลายมาเป็นแม่พิมพ์ในการพิมพ์เงินนั่นเอง
อู๋เฟยเยี่ยนแยกกระดาษสีเหลืองเหล่านั้นออกจากปึกของมันด้วยความชำนาญแคล่วคล่อง จากนั้นจึงวางมันเรียงไว้บนพื้น เเล้วใช้แม่พิมพ์วางทับลงไปบนกระดาษ ก่อนจะออกเเรงตอกลงไปตรงส่วนปลายบนสุดของแม่พิมพ์ทรงกระบอกอย่างเเรง โดยเริ่มกระดาษที่เรียงจากมุมซ้ายบนก่อน บนกระดาษสีเหลืองปึกนั้น จึงกลายเป็นกระดาษที่มีด้านนอกเป็นวงกลมเเละมีรูปร่างทรงสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลางอีกที
อันที่จริงเเล้ว สิ่งนี้ก็คือตัวแทนของเหรียญทองแดง ที่ใช้ในอาณาจักรหัวเซี่ยมาตั้งเเต่สมัยโบราณ
เหรียญทองแดงเป็นสกุลเงินหลักของคนในสมัยโบราณ เพราะฉะนั้น การพิมพ์เงินให้ออกมาเป็นเหรียญทองแดงเช่นนี้เเล้วค่อยนำไปเผา จึงเป็นแก่นแท้ของการเผากระดาษเงินกระดาษทองที่เกิดจากหัวใจอย่างแท้จริงของคนสมัยก่อน เพื่ออุทิศส่วนกุศลและส่งดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับให้เดินทางไปยังอีกภพภูมิหนึ่ง
ดังนั้น การเผากระดาษเงินกระดาษทองดังกล่าวให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะได้มีกินมีใช้ ไม่อดอยากปากแห้ง เมื่อพวกเขาได้จากลาโลกนี้และเดินทางไปยังอีกภพภูมิหนึ่งเเล้ว
วิธีการพิมพ์เงินกระดาษแบบนี้ในปัจจุบันคงหาดูได้ยาก ด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการจัดงานศพในสมัยปัจจุบัน คงไม่มีใครผลิตสินค้าที่เรียบง่ายเเละราคาถูกเช่นนี้อีกแล้ว
แม้แต่กระดาษเงินกระดาษทองแบบธรรมดาทั่วไป ก็ล้วนเเต่ถูกพิมพ์ด้วยภาพของจักรพรรดิอวี้หวงซ่างตี้หมดแล้ว เเละบนหัวธนบัตรกงเต็กพวกนั้นยังเขียนชื่อธนาคารติดเอาไว้ด้วยว่า ธนาคารแห่งปรโลก
แต่สำหรับอู๋เฟยเยี่ยนเเล้ว เธอยังคงเคยชินกับการใช้วิธีพิมพ์เงินบนกระดาษสีเหลือง ในการสักการะเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับ ดังนั้น การมาเยือนเตียนหนานในครั้งนี้ เธอจึงตั้งใจนำกระดาษสีเหลืองและแม่พิมพ์ที่ใช้งานมานานหลายร้อยปีติดมือมาด้วย
ในเวลานี้ อู๋เฟยเยี่ยนรู้สึกเพิกเฉยต่อวัยรุ่นหนุ่มสาวกลุ่มนั้น ที่เธอบังเอิญได้พบเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง จากมุมมองของเธอเเล้ว คนเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกับเธอด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจอะไรในตัวพวกเขา เเละไม่เเคร์ว่าพวกเขาจะคิดหรือพูดอะไร การเดินทางของจิตใจและจิตวิญญาณของเธอนั้น เเทบจะตรงตามที่หลินหว่านเอ๋อร์ได้คาดการณ์เอาไว้เป๊ะๆ หลินหว่านเอ๋อร์เดิมพันถูกข้างเเล้ว !
หลังจากนั้น เธอจึงมุ่งความสนใจไปที่การตีพิมพ์กระดาษสีเหลืองปึกนั้นให้กลายเป็นเหรียญทองแดง อันเป็นตัวเเทนของกระดาษเงินกระดาษทองจำนวนมากมายก่ายกอง จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นไปเก็บกิ่งไม้ขนาดเหมาะมือมาอันหนึ่ง เเล้วใช้กิ่งไม้นั้นเขี่ยไปที่พื้นดิน เพื่อทำให้พื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นพื้นที่ราบ
ต่อจากนั้น อู๋เฟยเยี่ยนพลันหยิบไฟแช็กออกมา เเล้วจุดไปที่กระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่ง เเล้วโยนกระดาษสีเหลืองที่ติดไฟนั้นลงไปยังบริเวณกึ่งกลางของพื้นที่ราบ จากนั้นจึงเริ่มเติมกระดาษลงไปทีละแผ่นๆ
ระหว่างที่มองดูเปลวไฟกำลังลุกไหม้โชกโชน จนคลื่นความร้อนจากเปลวไฟส่งผลให้ขี้เถ้าที่กำลังมอดไหม้ค่อยๆ ม้วนตัวลอยฟุ้งขึ้นไปในอากาศ ดวงตาของอู๋เฟยเยี่ยนกำลังจะถูกกลบกลืนด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อคลอปริ่มเบ้าตา เธอกล่าวกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบาซึ่งมีเพียงเธอเท่านั้นที่จะได้ยิน ” พี่จู๋ว์หลู เฟยเยี่ยนมาเยี่ยมพี่เเล้วนะคะ… “