ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 876 เสินซู vs พระพุทธเจ้า
บทที่ 876 เสินซู vs พระพุทธเจ้า
……….
ร่างสสารเนื้อสีแดงเข้มงอเข่าลงเล็กน้อย ก่อนพุ่งทะยานเข้าหาอาซูหลัวท่ามกลางแผ่นดินที่สั่นสะเทือนโครมคราม
วงแหวนไฟที่ด้านหลังอาซูหลัวพลันระเบิดออก ปัง เปลวเพลิงลุกโชนโชติช่วง กล้ามเนื้อหลังของเขาปริแตก แขนขวาวาดหมัดปรี่เข้าโจมตีร่างจำแลงพระพุทธเจ้า
เหตุผลที่ใจกล้าเช่นนี้ก็เพราะเขารู้ว่าอานุภาพของร่างจำแลงกายนี้ไม่ได้แกร่งกล้ามากนัก มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของร่างมหึมาที่มีขนาดเทียบเท่ามหาสมุทรของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
‘แม้จะเอาชนะพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่กับร่างจำแลงก็คงไม่ใช่ปัญหา’
ทันทีที่ความคิดนี้แวบขึ้นมา อาซูหลัวก็เห็นองค์ฟ้าดินจำบังที่ด้านหลัง ‘ร่างจำแลงพระพุทธเจ้า’ สัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งและการทำลายล้าง
‘ร่างธรรมวชิระ!’
หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้ว มือขวาเหยียดออกผายไปทางร่างจำแลงพระพุทธเจ้าแล้วร่ายวนเบาๆ
ดูเหมือนมีบางอย่างถูกร่ายให้หายไป
แขนทั้งสิบสองคู่วางซ้อนทับกัน จากนั้นหมัดสิบสองคู่ก็ประดังลงมาจากฟากฟ้าราวกับฝนห่าใหญ่
การโจมตียี่สิบสี่ครั้งถูกกลืนหายเป็นเสียงเดียว
‘ตู้ม!’
หมัดของอาซูหลัวซึ่งมีพลังเต๋าแยกขันธ์ระเบิดออกเสียงดังกัมปนาท ปะทะกระดูกและเนื้อแตกกระเจิงออกเป็นเสี่ยง
หากแต่เขาที่มีแรงแค้นขับเคลื่อนในหัวใจ (ดวงของพระพุทธเจ้าอ่อนลง) จึงสร้างความเสียหายเกินกว่าขีดจำกัด ซัดร่างจำแลงพระพุทธเจ้าเซถอยไป
ทันใดนั้นรัศมีพร่างพราวของระดับเต๋าแยกขันธ์ก็ตรงเข้าปกคลุมหน้าอกของร่างจำแลงพระพุทธเจ้า แล้วกัดกินปราณชีวิตของอีกฝ่าย
บางทีอาจเป็นเพราะดวงที่อ่อนแอลง พลังเต๋าแยกขันธ์จึงสำแดงฤทธิ์ผลอันน่าพอใจได้อีกครั้งหนึ่ง กัดเซาะร่างเนื้อบนหน้าอกของร่างจำแลงพระพุทธเจ้าจนเกิดแผลเหวอะหวะน่าสะพรึงกลัว
ในเวลานี้ทางด้านซ้ายของร่างจำแลงพระพุทธเจ้าพลันปรากฏรูปธรรมสีทองอันเจิดจ้าขึ้น ฝ่ามือถือขวดหยกขาว ใบหน้าดูใจดี
แสงเรืองรองโพยพุ่งออกมาจากขวดใบนั้น อาบโชกลงบนร่างจำแลงพระพุทธเจ้า เพียงชั่วพริบตาเดียวเนื้อกายที่เน่าเปื่อยก็กลับคืนสู่สภาพเดิม พร้อมกับพลังเต๋าแยกขันธ์ที่สลายหายไป
‘ตึกๆๆ’
อาซูหลัวผู้เป็นแนวรบประชิดหลักของกลุ่มวิ่งกระโจนเข้าหาร่างจำแลงพระพุทธเจ้าอย่างไม่ลังเล ระหว่างนั้นพลังเทพวชิระของเขาก็ลดลงเรื่อยๆ ทั่วเรือนกายปกคลุมด้วยควันมืดทะมึนลอยคละคลุ้ง
‘สายเลือดอสูรทำงาน’
พลังการต่อสู้เพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ
ทว่ามันกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะจู่ๆ ร่างจำแลงพระพุทธเจ้าก็หายวับไปในอากาศต่อหน้าต่อตาเขา หายไปโดยไร้สัญญาณเตือนใดๆ
สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เคลื่อนย้ายไปมาได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้มีเพียงร่างธรรมธุดงค์เท่านั้น ที่แม้แต่วิชาเคลื่อนย้ายก็ไม่อาจทำได้เงียบเชียบเช่นนี้
ไม่นานร่างจำแลงพระพุทธเจ้าก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
หน้าอกของร่างสสารเลือดเนื้อแยกออกเป็นปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวอันแหลมคมตั้งแต่หน้าอกจนถึงหน้าท้อง ดูน่าอัปลักษณ์และน่าสะพรึงกลัว
ก่อนมันจะหดตัวแปรเป็นม่านพลังพร้อมกับมุ่งไปทางพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
เป้าหมายของพระพุทธเจ้าชัดเจนเสียยิ่งกว่าชัด นั่นคือต้องการกลืนกินตู้เอ้อร์เพื่อช่วงชิงโชคชะตาของสำนักพุทธที่สูญเสียไปกลับมา
‘ซวยแล้ว…’
หลี่เมี่ยวเจินและนักบวชเต๋าจินเหลียนเหยียดมือออกพร้อมกัน พยายามสะกดดวงของพระพุทธเจ้าให้อ่อนกำลังลง ขณะเดียวกันก็เรียก ‘ร่างปฐพี’ หนึ่งในสี่ยอดร่างธรรมออกมา สั่งให้สกัดร่างจำแลงพระพุทธเจ้าเอาไว้
ในเวลานี้ทางด้านซ้ายของร่างจำแลงพระพุทธเจ้าได้ปรากฏร่างธรรมวิถีที่สามขึ้น เป็นร่างธรรมหากรุณาในใบหน้าอ่อนโยนกำลังวางมือสอดประสานกัน ก้มศีรษะขัดสมาธิ
เรือนกายของร่างจำแลงพระพุทธเจ้าพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ทั่วท้องฟ้าเคลือบฉาบด้วยแสงพุทธะ ระงมด้วยเสียงขับสวดภาษาสันสกฤต
บันดาลให้จิตเบื้องลึกของหลี่เมี่ยวเจินและนักบวชเต๋าจินเหลียนเกิดเมตตาธรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อไม่สามารถสู้รบตบมือได้อีกต่อไป พวกเขาจึงแปรร่างวายุแล้วสลายตัวเป็นละอองหมอกในทันที
ขณะเดียวกันค้อนม่วงทองด้ามหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินกระแทกเข้ากับร่างของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์จนเขากระเด็นออกไปไกล
ส่งผลให้ม่านพลังที่สร้างขึ้นโดยร่างจำแลงพระพุทธเจ้าตรงเข้าปกคลุมค้อนม่วงทอง แล้วกลืนกลายมันเข้าไปแทน
ถือเป็นโชคอันดีที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์หลบเลี่ยงมันได้ทันท่วงที
‘ฟู่’ ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก อีกใจยังคงหวาดกลัว หากตู้เอ้อร์ถูกพระพุทธเจ้ากลืนกินล่ะก็ พุทธมหายานที่ได้รับการวางรากอย่างเข้มข้น ทั้งเงินที่ได้รับการสนับสนุนจำนวนมหาศาลก็คงไร้ความหมาย
และพระพุทธเจ้าที่ได้รับโชคชะตาอันท่วมท้นนี้ก็จะยิ่งทวีความน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
‘อันตรายเกินไปแล้ว พวกเราไม่มีทางหยุดยั้งพระพุทธเจ้าได้ แม้แต่ร่างจำแลงก็ไม่อาจเอาชนะ ต้องอพยพแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมให้พระพุทธเจ้ากลืนกลายและคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากกว่านี้ได้อีก’ หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจออกเบาๆ ทันใดนั้นก็พบว่าลมหายใจนี้ยาวนานผิดปกติ
นางพ่นลมหายใจอยู่นาน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง
ทันทีที่จับสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดเพี้ยนไป วิสัยทัศน์เบื้องหน้ากลับค่อยๆ ซีดจางและกลายเป็นสีขาวดำในที่สุด
‘นี่มัน…ร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สี…พระพุทธเจ้ารู้ร่างธรรมทั้งหมดหรือนี่…’ ความคิดของหลี่เมี่ยวเจินเริ่มช้าลงเกินจะควบคุม ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวฉายชัดบนใบหน้าทีละน้อย
นักบวชเต๋าจวี๋เมา ซุนเสวียนจีและคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าเช่นเดียวกัน
บัดนี้ความสิ้นหวังได้อัดแน่นและพรั่งพรูในใจของทุกคน
ร่างจำแลงพระพุทธเจ้าค่อยๆ หันกลับมามองดูพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่ติดอยู่ในเขตแดนไร้สี บนหน้าอกเกิดรูเว้าแหว่งอีกครั้งแผ่ขยายไปจนถึงท้องอันเต็มไปด้วยเขี้ยวและน้ำลายที่ไหลย้อยราวกับหยาดฝน
ครู่ต่อมาร่างของมันก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ แล้วแปรเป็นม่านบดบังอีกฝ่ายเอาไว้
ช่วงฟางเส้นสุดท้าย จู่ๆ ก็มีมือใหญ่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า กระแทกทับม่านจนเกิดเสียง ‘ตูม’ สนั่นพื้นดินอย่างรุนแรง
หลังเสียงแผ่นดินครืนครั่น เขตแดนร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สีก็พังทลายลง
โลกกลับมามีสีสันอีกครั้ง เช่นเดียวกับหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ที่กลับมาเคลื่อนไหวได้ดังเดิม
ทุกคนปราดตามองไปที่ด้านข้าง ผู้ช่วยชีวิตที่ตกลงมาจากท้องฟ้ากลายเป็นนักบวชหนุ่มรูปหนึ่ง ใบหน้าขึงขัง สวมชุดซอมซ่อสีช้ำ บนศีรษะเกลี้ยงเกลามีรอยธูปหอมหกจุดเรียงรายกันอย่างประณีต
ตอนนี้ร่างจำแลงพระพุทธเจ้าที่อยู่ในมือเขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ทว่าก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้ ราวกับผู้ใหญ่ที่ตรึงเด็กไว้กับพื้น
“ไต้ซือเสินซูรึ?”
หลี่เมี่ยวเจินลอบถาม
อาซูหลัวทำหน้ามึนงงเล็กน้อย
เสินซูพยักหน้าพร้อมส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอ ก่อนยกเท้าขึ้นเหยียบร่างจำแลงที่กอปรขึ้นด้วยเลือดและเนื้อ จนระเบิดเสียงดังปังเป็นผุยผง
…
“เทพยุทธ์ครึ่งก้าวสมคำร่ำลือโดยแท้”
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันห่างไกล ซ่าหลุนอากู่ทอดมองลงไปยังฉากรบนี้ก่อนถอนหายใจ
ที่ด้านข้างไม่ไกลจากผู้แข็งแกร่งฝานแห่งสำนักพ่อมดคือผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ ทว่าความสนใจของฉุนเยียนไม่ได้อยู่ที่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่โผล่มาจากท้องฟ้า แต่กลับอยู่ที่คลื่นร่างสสารเนื้อสีแดงเข้มที่กลืนกลายทุกสรรรพสิ่ง
“ท่านแม่ย่า พระพุทธเจ้าคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ?”
งูน้อยสองตัวบนเรียวหูของฉุนเยียนส่งเสียงฟ่ออย่างเห็นด้วยกับผู้เป็นนาย
แม่ย่าเทียนกู่ขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวเล็กน้อย
นางเองก็ไม่รู้แก่นแท้ของมหาเคราะห์เหมือนกัน
ซ่าหลุนอากู่พลันยกยิ้มเอ่ย
“พระองค์ต้องการยึดครองเหลยโจวและผนึกภูผาธารา”
ผู้นำคนอื่นๆ เริ่มแสดงท่าทีฟังอย่างตั้งใจ
“การต่อสู้ยึดครองพื้นที่และผนึกภูผาธารานั้นเทียบเท่ากับการกุมอาณาเขตไว้ในมือ ทุกครั้งที่ดินแดนหนึ่งสูญเสียอาณาเขต โชคชะตาส่วนหนึ่งของต้าฟ่งก็จะหายไป จนถึงคราวล่มสลาย”
“ในเวลานี้พระพุทธเจ้ากลืนกลายโชคชะตาในส่วนที่ราบภาคกลางที่กระจัดกระจายอยู่ในจิ่วโจวและผนึกภูผาธาราได้แล้ว”
เมื่อยึดที่ราบภาคกลางได้ก็เท่ากับยึดดินแดนประจิมทิศได้เช่นกัน
หลักๆ คือนี่เปรียบเหมือนกับการส่งกองกำลังไปโจมตีต้าฟ่งและทำลายราชวงศ์ที่ราบภาคกลาง เพียงแต่วิธีการนั้นต่างออกไป
ฉุนเยียนถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น “แล้วทำไปเพื่ออะไรเจ้าคะ?”
ซ่าหลุนอากู่ไม่ตอบ เพียงก้มมองดูฉากการต่อสู้ต่อไป
ป๋าจี้ผู้นำเผ่าตู๋กู่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
“ยังจำคำทำนายของศาสดาพยากรณ์เผ่าเทียนกู่ได้หรือไม่ เมื่อเทพเจ้ากู่ฟื้นคืนชีพ จิ่วโจวจะกลายเป็นดินแดนของกู่”
“หมายความว่าถ้าเทพเจ้ากู่หลุดจากผนึกเมื่อไร เขาก็จะกลายเป็นเหมือนพระพุทธเจ้าใช่หรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเหล่าผู้นำก็หม่นแสงลง
…
“เสินซู!”
ร่างเนื้อมหึมาขนาดเทียบเท่ามหาสมุทร อ้าปากน้อยใหญ่แผ่คำรามประสานเสียงกัน
ทันใดนั้นแต่ละปากก็คายลูกบอลแสงขนาดเท่ากำปั้นออกมา ราวกับดวงอาทิตย์ขนาดย่อม
ดวงอาทิตย์จิ๋วเหล่านั้นเปล่งแสงพุทธะออกปกคลุมทุกสรรพสิ่ง ทำให้ธาตุฟ้าดินเข้าสู่ห้วงนิทราลึกล้ำ พลังทั้งหมดยกเว้นในส่วนของพระพุทธเจ้าหมดกำลังลงอย่างรวดเร็ว
หลังนักบวชเต๋าจวี๋เมาและคนอื่นๆ ต้องแสงพุทธะ ควันสีดำก็โพยพุ่งออกมาจากเรือนกายของพวกเขา ร่างบำเพ็ญตบะพลันอ่อนแรงลงไปตามกัน
มีเพียงเหิงหย่วน ตู้เอ้อร์และอาซูหลัวเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
“ถอยก่อน!”
จินเหลียนร้องตะโกนขึ้น
‘นี่มันร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร’
ทันทีที่ได้ยินเสียงทุกคนต่างก็ล่าถอย ไร้ซึ่งท่าทีละล้าละลัง
อีกด้านหนึ่งเสินซูในชุดซอมซ่อสีช้ำกลับยืนแน่นิ่งท่ามกลางแสงพุทธะ เขามองตรงไปที่แสงพุทธะอันเรืองรองพร้อมกับเหยียดมือขวาออกพลางส่ายไปมา
บัดนี้ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรที่แตกร้าวได้ก่อตัวขึ้นใหม่แล้ว ทว่าพระพุทธเจ้ากลับไม่ได้สนใจ ร่างสสารเนื้อสีแดงเข้มยังคงก้าวต่อไปข้างหน้า พระองค์ยังไม่ถึงขีดจำกัด ยังสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่านี้
จนกว่าจะ ‘อิ่ม’ หลังพื้นที่ที่ยึดครองถูกผนึกเป็นภูเขาธาราแล้ว ก็จะเข้ากลืนกลายในดินแดนต้าฟ่งทันที
เสินซูเหลือบมองดูร่างสสารเลือดเนื้อที่กระจายตัวเหมือนกระแสน้ำ ก่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มก้าวเข้าไป
ร่างสสารเลือดเนื้อแยกออกจากกันโดยอัตโนมัติราวกับต้อนรับการมาเยือนของเขา เสินซูค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้าทีละน้อย ไม่ทันไรที่ด้านหลังร่างสสารเลือดเนื้อก็กระจายตัวอีกครั้งเข้าปิดกั้นทางหลบหนีของเขาเอาไว้
ต่อมาร่างสสารเลือดเนื้อที่เป็นเหมือนน้ำเชื่อมข้นหนืดก็บีบตัวเข้าหากันหมายจะกลืนกินเสินซู
ทว่าทันทีที่พวกมันเข้าใกล้เสินซูหนึ่งจั้ง กลับต้องถูกพลังปราณอันทรงพลังขับดีดออกไป กล่าวคือในระยะหนึ่งจั้งไม่มีสิ่งใดสามารถเข้าใกล้เขาได้
เช่นเดียวกับจอมยุทธ์ที่แยกตัวออกจากฟ้าดิน ตัดขาดกับโลกภายนอก และสร้างสังสาระของตนขึ้นเอง
ส่วนร่างสสารเนื้อสีแดงเข้มเปรียบเสมือนพื้นผิวน้ำภายใต้ลมพายุที่บันดาลคลื่นลูกใหญ่มหึมา โดยคลื่นที่ก่อตัวสูงหลายสิบจั้งนี้กำลังนั่งเมียงมองเสินซูอย่างเงียบๆ อยู่
…
ฮว๋ายชิ่งกระหน่ำต่อสายถึงสวี่ชีอัน จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีการตอบกลับ
ทว่าได้รับการตอบกลับจากหลี่เมี่ยวเจินแทน
หมายเลขสอง ‘พวกเรารบในแนวหน้าอยู่นะ อยู่แนวหลังแท้ๆ แต่กลับถ่วงแข้งถ่วงขาคนอื่นเขา เจ้านี่มันเหลือเชื่อจริงๆ!’
ฮว๋ายชิ่งถึงกับพูดไม่ออก แม้จะรู้ว่าหลี่เมี่ยวเจินพาลโมโหใส่ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญถึงตบะระดับนี้ การส่งข้อความเพียงเล็กน้อยคงไม่ทำให้จิตใจไขว้เขวถึงขั้นรบกวนสมาธิได้หรอก
‘แต่ใครจะยอมปล่อยให้ทุกคนรบในแนวหน้าจริงๆ กันล่ะ’ ถึงกระนั้นจักรพรรดิก็ไม่อาจกล้าเป็นปฏิปักษ์กับแม่ทัพผู้ยอมสละชีพเพื่อบ้านเมืองอยู่ดี
หมายเลขหนึ่ง ‘เป็นข้าเองที่ไม่ทันคิดให้รอบคอบ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?’
ฮว๋ายชิ่งไหลไปตามน้ำ
หมายเลขสี่ ‘ไต้ซือเสินซูอยู่ที่นี่แล้ว สถานการณ์สงบลงชั่วคราว ตอนนี้เขากำลังสู้กับพระพุทธเจ้าอยู่’
จากนั้นพวกเขาก็หารือถึงแผนการเบื้องหลังการโจมตีที่เหลยโจวของพระพุทธเจ้า มีการพูดคุยกันว่านี่อาจเป็นวิธีการที่สำนักพ่อมดใช้รุกรานที่ราบภาคกลางหลังจากพระพุทธเจ้าหลุดรอดเข้าไปได้แล้ว
หมายเลขเก้า ‘แค่พระพุทธเจ้าองค์เดียวก็อันตรายมากพอแล้ว หากสำนักพ่อมดหลุดเข้าไปได้อีก ถึงตอนนั้นที่ราบภาคกลางต้องถูกทั้งสองฝ่ายโจมตีพร้อมกันแน่ จะทำอย่างไรกันดี?’
หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้ว เอ่ยตอบกลับจากซินเจียงตอนใต้
หมายเลขเจ็ด ‘นักบวชเต๋าไม่ต้องพูดแล้ว รังแต่จะเพิ่มความกระวนกระวายใจเปล่าๆ’
คราวนี้นกเพลิงอดีตนิกายสวรรค์ไม่ได้เอ่ยขัดศิษย์พี่อย่างที่เคยชอบทำ เพราะที่เขาพูดมานั้นถูกต้องแล้ว
…………………………………………………
……….