พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 551 คิดคำนึงถึง (2)
“ชายหก เกิดอะไรขึ้น” ฮูหยินโจวเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกใจ
ชายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ทำไมหน้าซีดขนาดนั้น ไปไหน
มาเล่า”
โจวฝูเอ่ยขานตอบเพียงเสียงอืม
“ข้าไปเรือนนางมา”เขาเอ่ยตอบพลางชี้นิ้วประกอบ
ฮูหยินโจวยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร นายใหญ่โจวก็รีบชิงเอ่ยก่อน
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดสภาพเจ้าถึงเป็นเช่นนี้” นายใหญ่โจว
ขมวดคิ้วถาม
โจวฝูเอ่ยอืมอีกครั้ง
“นางกำลังจะแต่งงาน” เขาเอ่ย
แต่งงานงั้นรึ
ทั้ง
ฮูหยินและนายใหญ่โจวต่างตกตะลึง
“กับใคร นางเลือกใคร”ทั้งสองคนเอ่ยถามพร้อมกัน
“จิ้นอันจวิ้นอ๋อง” โจวฝูตอบคำตอบนี้ทำเอาทั้งคู่ตกตะลึงอีกครั้ง
โดยเฉพาะฮูหยินโจวที่ทำหน้าตกตะลึงพลางเอามือป้องปาก
ราวกับจะร้องไห้ออกมา นางคิดในใจ เหตุใดกัน ไม่ใช่ชายหก
อย่างนั้นหรอกรึ ก็ว่าเห็นทำท่าทางแปลกๆ นึกว่าจะมีเรื่องน่ายินดี
เสียอีก ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง
เป็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องนี่เอง…
“จิ้นอันจวิ้นอ๋อง!”
เสียงตะโกนพวกเขาลั่นไปทั่วเรือน
“เรื่องจริงงั้นหรือ”
“ก็เรื่องจริงนะสิ จิ้นอันจวิ้นอ๋องทูลเรื่องกับฮ่องเต้แล้ว นางเอง
ก็ตกลงปลงใจแล้ว”
สิ้นคำอธิบายของโจวฝู เสียงหัวเราะพลันดังลั่นขึ้น
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องเชียวรึ! ให้ตายเถอะ กะแล้วว่าเจียวเจียวของ
เราไม่ธรรมดาอยู่แล้ว!”
“นายท่าน นายท่าน ดูสิ ระดับจวิ้นอ๋องเชียวนะ!”“ก็นั่นนะสิ แถมยังเป็นคนสนิทของฮ่องเต้อีกด้วย! ไม่แน่นะ
ต่อไปเขาอาจจะได้ครองตำแหน่งสูงๆ ก็เป็นได้”
“นายท่าน ถ้าอย่างนั้นเจียวเจียวของเราก็จะได้เลื่อนขั้นเป็น
พระชายาแล้วนะสิ”
“พระชายางั้นรึ ให้เจียวเจียวของพวกเราเป็นถึงอัครชายาไป
เลยยิ่งดี”
“รีบไปหาเจียวเจียวกันดีกว่า เร็วเข้า ไปกัน”
โจวฝูยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สุดท้ายเรือนก็กลับสู่ความสงบ
อีกครั้ง
“ถามจบแล้วใช่ไหมขอรับ เช่นนั้นข้ากลับห้องก่อน” โจว
ฝูพึมพำ เหยียดมือพลางเอียงคอซ้ายขวาไล่ความปวดเมื่อยเนื้อตัว
ก่อนเอื้อมมือไปไขว้ที่ท้ายทอย แล้วเดินทอดน่องกลับไปที่เรือนของ
ตน
ขณะเดียวกัน ที่เรือนตระกูลฉิน เมื่อเทียบกับเรือนตระกูลโจว
แล้ว บรรยากาศช่างต่างกันลิบลับ“เข้าไปดูหน่อยไหมเจ้าคะ” เหล่าแม่นมต่างพากันถกถาม
สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก
“ไม่ได้เด็ดขาด!” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางทำมือห้าม “เข้าไปไม่ได้
นะ”
“แต่ท่านชานสิบสามอาการดูน่า…”เหล่าแม่นมเอ่ยด้วย
ความเป็นห่วง
“ก็ดูปกติดีไม่ใช่รึ” ฮูหยินฉินเอ่ย “สิบสามเขามาระบายกับข้า
บอกว่าจนปัญญาแล้ว คนอย่างเขาเอาชนะกฎของนางไม่ได้ ก็เลย
ต้องมานั่งเสียใจอยู่อย่างนี้ แถมยังบอกว่าไม่ต้องไปกวนเขาด้วย”
เหล่าแม่นมมองตากันปริบๆ
“แต่นี่ก็ผิดปกตินะเจ้าคะ”
ฮูหยินฉินถอนหายใจ
“ก็เป็นอาการของคนปกติทั่วไปเขาเป็นกันมิใช่รึ”
“ชายสิบสามเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เขาแสดงออกแบบ
คนปกติทั่วไป เขาคิดแบบคนปกติทั่วไป”“นี่เป็นอาการแสดงออกของคนทั่วไปก็จริง แต่เขาก็รู้ตัวว่าเขา
กำลังทำอะไรอยู่ เขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามารับรู้ด้านนี้ของเขา
เป็นอันขาด”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฮูหยินฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่
พลางเอามือป้องอก
“อย่าว่าแต่ชายสิบสามเลย ข้าเองพอได้รู้เข้าก็แทบใจจะขาด
ราวกับหัวใจของข้ากำลังจะหลุดออกจากอกอย่างไรอย่างนั้น”
เหล่าแม่นมเดิมทีก็รู้สึกเศร้าอยู่หรอก แต่ประโยคเมื่อครู่ของ
ฮูหยินฉินทำเอาพวกเขาอยากจะหลุดขำออกมา แต่นี่ไม่ใช่เวลา
มายืนหัวเราะก๊าก เลยทำได้แค่ทำหน้าเหยเกเก็บอาการไว้ก่อน
“ฮูหยินเจ้าคะ” แม่นมที่อายุมากสุดเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่เวลา
มาเล่นตลกนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้เล่นตลก”ฮูหยินฉินแย้ง พลางทำหน้าจริงจัง แล้ว
ถอนหายใจดัง
จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน ราวกับว่านึกอะไรขึ้นได้“ไม่สิ นี่ไม่ใช่อาการปกติของชายสิบสามแล้วล่ะ หากข้าไม่รีบ
เข้าไปดูเขาตอนนี้ เดี๋ยวจะยิ่งไม่ปกติเข้าไปใหญ่” นางเอ่ย “เขา
ไม่อยากให้ใครเห็นมุมที่ไม่ปกติของเขา ถ้าหากมีใครเห็นมุมที่
ไม่ปกติของเขา เขาก็จะยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม”
ฮูหยินฉินเอาแต่พูดวนไปวนมาปกติคำไม่ปกติคำ จนแม่นม
เริ่มมึนหัว รู้ตัวอีกทีก็พบว่าฮูหยินฉินเดินเข้าไปหาท่านชายแล้ว
เหล่าแม่นมจึงต้องตามเดินตามเข้าไป
เสียงร่าเริงของท่านชายดังขึ้น
“ท่านแม่ เข้ามาเห็นข้าสภาพนี้จนได้ น่าอายเสียจริง”
“ชายสิบสาม ข้าไม่ได้จะมาดูเจ้าร้องไห้เสียหน่อย ข้าจะเข้ามา
ปลอบใจเจ้าต่างหาก”
สายตาที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างของฮูหยินฉินก็พลัน
กลับมามองที่เขา พลางทำท่าหนักแน่นจริงจัง
“เอาของว่างมาปลอบขวัญให้ชายสิบสามกันหน่อยเร็ว”
ประตูห้องถูกเปิดค้างไว้ ชายหนุ่มเมื่อเห็นท่านแม่ของตน
หันหน้ามาหา ก็รีบยิ้มให้แล้วยื่นกล่องของว่างให้นางดู“ข้ามีแล้ว” เขาเอ่ยอวด พลางหัวเราะ “แถมเป็นของว่างฝีมือ
นางด้วย”
ฮูหยินฉินส่ายหัว
“แม่นางคนนี้ช่างน่าปวดหัวเสียจริง มาถึงขนาดนี้แล้ว ยัง
จะมอบของให้เจ้าอีก ไม่คิดเลยหรือว่าทำเช่นนี้แล้วคนเขายิ่งคิดไป
ไกลน่ะ”ฮูหยินฉินทำทีโกรธเคืองแล้วบ่นออกมา
ฉินหูหัวเราะพลางเลิกคิ้ว
“นางก็เป็นของนางเช่นนี้แต่ไหนแต่ไร ก็ถ้าอย่างนั้น ลูกชาย
ท่านอย่างข้าจะหลงนางหัวปักหัวปำได้อย่างไรกัน” เขาถาม
ฮูหยินฉินเบะปาก
“เช่นนั้นเจ้าก็หัวปักหัวปำต่อไปเองแล้วกัน ข้าไปทำอย่างอื่น
ก่อนล่ะ”
ฮูหยินเอ่ย พลางทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วเดินจากไป
เหล่าแม่นมต่างพากันยิ้มเยาะแล้วเดินตามออกไป
พอหันหลังให้เขา ใบหน้าฮูหยินฉินพลันไร้รอยยิ้ม นิ่งเฉย และ
แลดูเป็นกังวลยิ่งนักฉินหูเองก็เช่นกัน พอมารดาเดินออกไปแล้ว ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
นั้น
ก็พลันหายไป จากนั้นก็ค่อยๆ หยิบของว่างในกล่องขึ้นมาแล้วเอา
เข้าปาก
“หวานจริงๆ” เขาเอ่ย พลางเคี้ยวอย่างอ้อยอิ่ง
สายตาของเข้าจับจ้องไปที่กล่องไม้
เมื่อก่อนก็เหมือนกัน เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ดังนั้นแล้ว เขาคงไม่ต้องรีบร้อนอันใด เรื่องแต่งงานของนาง
ยังไงก็ไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้ว เหมือนกับตอนนั้น ที่นางจะแต่งงาน
กับใครสักคน แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ พลางยื่นมือไปหยิบ
กล่องไม้
เฉิงเจียวเหนียง ครั้งนี้ก็คงเป็นเหมือนเดิมสินะ ใช่หรือไม่
สองวันผ่านไป คนจากในวังได้เข้ามาเยือนยังเรือนของตระกูล
เฉิง ตอนนั้นเองที่ข่าวเรื่องการแต่งงานของจิ้นอันจวิ้นอ๋องและเฉิง
เจียวเหนียงได้ถูกแพร่กระจายไปทั่ว ทำให้บรรยากาศทั้งเมือง
เต็มไปด้วยความครึกครื้นตั้ง
แต่เรื่องแย่งนางโลมในหอเต๋อเซิ่ง ไปจนถึงเรื่องจากศัตรู
กลายเป็นคู่รักที่พร้อมจะจัดพิธีแต่งงานกัน ไหนจะเรื่องชู้สาวในหอ
เต๋อเซิ่ง ข่าวเก่ายังไม่ทันหายร้อน ข่าวใหม่ก็เข้ามาแทรก แถมครั้งนี้
ยังเกี่ยวพันถึงราชนิกุลอีกด้วย
ราชวงศ์ จวิ้นอ๋อง ราชนิกุล
คนที่เข้ามาเกี่ยวดองกับแม่นางเฉิงล้วนแต่เป็นคนที่มียศ
ถาบรรดาศักดิ์ เพียบพร้อมทั้งอำนาจและฝีมือการต่อสู้ อีกทั้งยังเป็น
ถึงราชนิกุล ตัวแม่นางเฉิงเองเดิมที่ก็เป็นคนที่มีความสามารถ
ยืนหยัดได้ด้วยตนเอง แถมยังมีความรู้ด้านงานอักษร เหตุการณ์นี้
ทำให้เหล่าผู้คนที่ทำงานด้านอักษรต่างก็เป็นบ้าเป็นหลังเอาแต่คอย
เขียนบันทึกเกี่ยวกับงานแต่งงานของหมอเทวดา แล้วเอามาพูดคุย
ถกกันในร้านน้ำชาที่ตั้งอยู่ตรงหัวสะพาน
ณ พระราชวัง ผิงอ๋องกำลังเรียนหนังสืออยู่ ต่อให้งานยุ่งแค่
ไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่เคยละทิ้งการอ่าน
“คงจะชื่นบานกันน่าดู”ผิงอ๋องพึมพำพลางยิ้มแหยะ ทำเอาแม่นางเฉินสิบแปดที่นั่งอยู่
ด้านข้างถึงกับต้องวางพู่กันลงแล้วหันมาหาเขา
ขันทีรีบวิ่งเข้ามาปรนนิบัติเขา พลางพยักหน้าอย่างขันแข็ง
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าไปที่ไหนก็ได้ยินแต่เรื่องนี้ ข้าน้อยว่า
ไม่เห็นจะน่าฟังตรงไหน…” ขันทีเอ่ยเบาๆ
ใบหน้าของผิงอ๋องเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ
“ในเมื่อฝ่าบาทเห็นดีเห็นงามแล้ว ข้าเองก็คงต้อง
แสดงความยินดีกับท่านจิ้นอันจวิ้นอ๋องด้วยสินะ” เขาเอ่ยอย่างนาบ
เนิบ
เขาสังเกตเห็นสายตาที่กำลังมองมาของแม่นางเฉินสิบแปด ก็
รีบหยุดพูดทันที
“ฝ่าบาท บัดนี้ท่านไม่ต้องเข้าเรียนแล้วก็ได้เพคะ แค่ตอนเขียน
อักษรเพิ่มความระมัดระวังลงไปอีกหน่อยก็เพียงพอแล้วเพคะ”
แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มให้เขาพลางเอ่ย
หน้าที่ประจำ ของแม่นางเฉินสิบแปดคือการสอนหนังสือให้
เหล่าองค์หญิงในวัง หากเทียบกับท่านผิงอ๋องแล้ว เหล่าองค์หญิงน้อยยังต้องฝึกอีกเยอะเลยล่ะ
ผิงอ๋องส่ายหน้าเบาๆ
“การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด บนโลกนี้มีวิชาความรู้อีก
มากมายก่ายกองให้ข้าได้ขวนขวาย ข้ามิอาจวางมือได้” เขาเอ่ย
“ต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย”
แม่นางเฉินสิบแปดหัวเราะพลางพยักหน้า
“ฝ่าบาทเอ่ยเช่นนี้ ทำเอาคนที่เรียนหนังสืออยู่อายกันไปข้าง
เลยนะเพคะ” นางเอ่ย
“อวยกันเกินไปแล้ว” ผิงอ๋องเอ่ย แม้สีหน้าของเขาไม่ได้บ่งบอก
ว่าตนเองกำลังถูกเอ่ยยอแต่อย่างใด
“ข้ามิได้พูดอวยเปล่านะเพคะ คนที่พากเพียรและพยายาม
อย่างฝ่าบาทนั้นช่างหายากนักเพคะ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยต่อ
“ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนปากไม่ตรงกับใจ ปากบอกว่าดี หรือไม่เช่นนั้นก็
ประมาณว่า ตอนแรกเริ่มยังบอกว่าดี พอเวลาผ่านไปสักพักก็ ไม่ได้
เป็นอย่างที่เคยว่าไว้เพคะ”เฉกเช่นแม่นางเฉิงผู้นั้น เดิมก็นึกว่าจะเป็นคนไม่สนใจเรื่องการ
แต่งงาน หลอกให้คนเชื่อภาพเช่นนั้นมาตั้งนาน สุดท้ายพอมีราชนิกู
ลขอแต่งงานเท่านั้นแหละก็กลับลำเสียอย่างนั้น
แม่นางเฉินสิบแปดหยิบพู่กันขึ้นมา พลางเบะปาก
ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยว่าไว้นี่นา