พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 558 คำเดียว (2)
“พวกเจ้ายังจะให้ข้าไปยอมรับผิดอีกรึ” ผิงอ๋องยื่นมือไปคว้า
เสื้อด้านหน้าของขันทีไว้ กัดฟันเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมว่า “ไม่พอใจที่ข้า
ยังถูกคนหัวเราะเยาะไม่พอใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่นะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท นี่เพื่อกุ้ยเฟย นางเป็น
พระมารดาแท้ๆ ของท่าน…” ขันทีรีบเอ่ยอย่างร้อนใจ
“ก็เพราะนางเป็นแม่แท้ๆ ของข้าน่ะสิ ข้าจึงโดนคน
หัวเราะเยาะเอาน่ะ! นางอยู่ดีไม่ว่าดี จะไปเดินเล่นเที่ยวเตร่ทำไม
ซ้ำ อยู่ดีๆ ก็ยังให้ข้าเข้าวังไปพบนางอีก ยังดีที่ข้าไม่ได้ไป” ผิงอ๋อง
กัดฟันกระซิบเอ่ย น้ำลายกระเด็นใส่ขันทีเต็มหน้า “หากข้าไปล่ะก็
วันนั้นคนที่จะโดนใส่ร้ายก็คือข้า!”
พูดถึงตรงนี้ก็ผลักขันทีออกอย่างแรง
ขันทีคนนั้นล้มลงกับพื้นแยกเขี้ยวยิงฟัน ไม่กล้าเอ่ยสักคำ
“ล้วนเป็นนางที่สร้างปัญหา แต่เล็กจนโตนางก็ไม่ดูดำดูดีอะไร
ข้า ตั้งแต่เช้าจรดค่ำคิดแต่ว่าข้าโง่ เมื่อก่อนชอบเอาข้าไปเปรียบเทียบกับไอ้สติไม่ดีนั่น ตอนนี้ไอ้สติไม่ดีนั่นเทียบไม่ได้แล้ว
นึกไม่ถึงว่าจะไปเทียบกับเด็กที่ยังไม่ทันได้คลอดออกมา ในสายตา
นาง ข้ายังเทียบไม่ได้แม้กระทั่งก้อนเนื้อในครรภ์เลยรึ”
ผิงอ๋องกัดฟันอย่างแรงพลางสาวเท้าเดินไปทางด้านนอก
บรรดาขันทีคนอื่นๆ รีบตามไป
“ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท นี่เพื่อแสดงความกตัญญู
นะพ่ะย่ะค่ะ” มีขันทีอีกคนกระซิบขึ้นอีก ขวางผิงอ๋องเอาไว้โดย
ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “ฮ่องเต้ทรงให้ความสำ คัญกับความกตัญญู
ที่สุด เกิดเรื่องขึ้นกับกุ้ยเฟย ฮ่องเต้ทรงรังเกียจกุ้ยเฟย ไม่ได้รังเกียจ
ฝ่าบาท แต่ยามนี้ฝ่าบาทไม่ห่วงใยไต่ถามมารดาแท้ๆ เลย ฮ่องเต้
ต้องทรงคิดว่าฝ่าบาทไม่กตัญญูแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
กตัญญู
ผิงอ๋องหยุดฝีเท้า
“ฝ่าบาท คิดดูสิพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นชิ่งอ๋องก็ใช้การป้อนยา เล่า
เรื่องราวต่างๆ เด็ดดอกไม้ให้ฮองเฮาเพื่อได้รับความโปรดปรานจาก
ฮ่องเต้นะพ่ะย่ะค่ะ…” ขันทีคนนั้นรีบเอ่ยขึ้นชิ่งอ๋อง!
ไอ้คนสติไม่ดีนั่น!
จนกระทั่งยามนี้ เขายังต้องโดนเปรียบเทียบกับไอ้สติไม่ดีนั่น
อีก!
ผิงอ๋องสีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด มือที่ตกลงข้างกายกำเป็น
หมัดแน่น
‘ท่านพี่ ท่านพี่ พวกเราไปเด็กดอกเหมยกันเถอะ…’
คล้ายว่ามีคนจูงมือเขาไว้ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะของ
เด็กน้อยดังขึ้นข้างหู
ผิงอ๋องหลุดเสียงตกใจสะบัดมืออย่างแรง
“ไสหัวไป!” เขาตวาด
ขันทีตรงหน้าตกใจยกใหญ่ มองผิงอ๋องยกเท้าจะจากไป
“ฝ่าบาท!” เขาเอ่ยเรียก “ท่านจะไปไม่ได้นะพ่ะน่ะค่ะ
ไม่อย่างนั้นท่านจะบาปได้นะ”
ผิงอ๋องหยุดฝีเท้าลง ใบหน้าที่อึมครึมพลันปรากฏเป็นรอยยิ้ม
ขึ้นมา“บาปรึ” เขาเอ่ยขึ้น “ได้ ข้าจะไปยอมรับผิดกับฝ่าบาท!”
เหตุใดจู่ๆ จึงเห็นด้วยขึ้นมาเล่า
บรรดาขันทีตกตะลึง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาผิงอ๋องอารมณ์ขึ้นๆ
ลงๆ ไม่มั่นคงอยู่แล้ว คิดอยากจะไปก็ไป ปกติอย่างยิ่ง
ผิงอ๋องพูดประโยคนี้ออกมา ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขายกเท้า
เดินไปทางตำหนักฉินเจิ้ง
ขอบคุณดินฟ้า ขอแค่ยอมไปก็พอแล้ว บรรดาขันทีถอนหายใจ
กันอยู่ในใจ แล้วรีบตามไปทันที
ในเมื่อบอกว่าต้องการเยี่ยมเยือน หลังจากที่ท่านชายเกาพา
มารดาเข้าเฝ้าไทเฮาแล้ว เขาจึงหาเรื่องอ้างออกมา
“ฝ่าบาทไปหรือยัง”
ท่านชายเกาที่ยืนอยู่นอกตำหนักไทเฮาเอ่ยถามขึ้น
“ฝ่าบาทเสด็จไปแล้วขอรับ” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
ท่านชายเกาพลันขมวดคิ้ว ประโยคนี้เหตุใดฟังแล้วจึงดูแปลก
ๆ ล่ะ
“ฝ่าบาทไปตำหนักฉินเจิ้งหรือยัง” เขาถามอีกครั้ง“ไปแล้ว ไปแล้ว” ขันทีพยักหน้าบอกอีกครั้ง “ไปได้สักพักแล้ว”
ประโยคนี้ฟังดูแล้วยังพอดูได้หน่อย ท่านชายเกาสะบัดแขน
เสื้อ แต่ก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี
“ข้าก็จะไปดูสักหน่อยเหมือนกัน” เขาเอ่ย ยกเท้ากำลังจะเดิน
ไป ทันใดนั้นลมแรงหอบหนึ่งก็พัดมา ทำเอาแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
“ลมแรงนัก!”
ขันทีและนางกำนัลที่ยืนอยู่บนระเบียงพากันเอ่ยขึ้น พลาง
ก้มหัวปิดหน้ากันใหญ่
ลมพัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท่านชายเกาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
อีกครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
ฟากฟ้าที่เดิมทีมีตะวันเจิดจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว เมฆดำ
คืบคลานเข้ามารวมตัวกันบนนภา
“ฝนจะตกแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น แต่ก็ไม่ได้สนใจสาวเท้าเดินต่อ
ในขณะนั้นเอง ณ ตำหนักฉินเจิ้ง ลมพายุคลั่งก็พัดสาดจน
ประตูหน้าต่างดังวุ่นวาย บรรดาขันทีกรูกันจับประตูดึงหน้าต่างไม่ใช่เพราะลมที่โหมพัดอย่างบ้าคลั่งขัดจังหวะการถามตอบ
ภายในตำหนัง แต่เป็นเพราะผิงอ๋องต่างหาก
สีหน้าฮ่องเต้เขียวคล้ำ มือที่เท้ากับโต๊ะอยู่สั่นเทาอีกครั้ง ขันที
รู้สึกอย่างชัดเจนถึงความเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้ก็เหมือนเมฆดำบน
ฟากฟ้าด้านนอกที่กำลังรวมตัวกัน
ฝนฟ้าคะนองใกล้จะมาแล้ว…
บรรดาขันทีตะโกนกันขึ้นในใจ
“เขาว่าอย่างไรนะ” ฮ่องเต้กัดฟันถาม
ขันทีที่คุกเข่ากับพื้นตัวสั่นเทา
“ฝ่าบาทผิงอ๋อง ฝ่าบาทผิงอ๋องบอกว่าพระสนมอันโชคร้ายที่
สูญเสียโอรสเป็นเพราะเขาเอง ดังนั้นผิงอ๋องจึงทูลขอให้ส่งเขา
ออกจากวังเพื่อทำให้ถูกกฎสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ” เขากัดฟันโขกหัวเอ่ย
ขึ้นเสียงดัง
โชคร้ายทำให้สูญเสียโอรส…ขอให้ส่งออกไปนอกวัง…
เฉินเซ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ทั้งยังตกใจเกาหลิงปอโง่หรือไร ตัวเองกระด่างกระเดื่องยั่วให้ฮ่องเต้
มีโทสะไม่พอ นึกไม่ถึงยังปลุกปลั่นผิงอ๋องให้มาบีบบังคับฮ่องเต้เช่นนี้
อีก
ทว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เกาหลิงปอไม่ว่าจะโง่หรือบ้าไปแล้ว
ล้วนเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น
ครานี้จะต้องขับไล่ออกไปให้ได้ อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ดูซิว่า
ผิงอ๋องจะร่ำเรียนจากเขาจนมีฝีมือเช่นไร!
อวดดีไร้มารยาทเช่นนี้
เดิมทีผิงอ๋องไม่ได้เป็นแบบนี้
เฉินเซ่าส่ายหน้าเล็กน้อย ยืนอยู่ในแถวอย่างมั่นคง
“โชคร้ายที่ทำให้สูญเสียโอรสเป็นเพราะเขารึ เขาขอออกจาก
วังอย่างนั้นรึ” ฮ่องเต้เอ่ยทวนทีละถ้อยทีละคำ คล้ายอยากจะขำ
โชคร้ายที่ทำให้สูญเสียโอรสอย่างนั้นรึ ขอออกจากวังอย่างนั้น
รึ
พระองค์รอผิงอ๋องอยู่นานสองนานแล้วตามหลักการแล้วผิงอ๋องควรจะมาตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องด้วยซ้ำ
แต่จิ้นอันจวิ้นอ๋องหลบเลี่ยงออกไปแล้ว ผิงอ๋องก็หลบเลี่ยงไม่มาตาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเป็นจวิ้นอ๋อง ชินอ๋องคือชินอ๋อง จะเหมือนกันได้
หรือ
“ฝ่าบาท เขายังเด็กนัก คงเสียขวัญพ่ะย่ะค่ะ”
ยามพระองค์ไปบ่นกับฮองเฮา ฮองเฮาก็ยิ้มแล้วเอ่ยเช่นนี้
เช่นกัน
‘อย่ารีบร้อนไปเพคะ เขามาแน่’
ใช่แล้ว ผิงอ๋องมาแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าผิงอ๋องจะมาพูดเช่นนี้กับ
พระองค์!
รออยู่นานขนาดนี้ เพื่อรอฝ่ามือนี้น่ะรึ!
โชคร้ายที่ทำให้สูญเสียโอรส! ขอออกจากวัง!
ทำไมรึ หากไม่ยกโทษให้มารดาตน เขาจึงท้าว่าจะออกจากวัง
หรือไร
มีปัญญาเจ้าก็มาฆ่าข้าสิ มีปัญญาเจ้าก็ไล่ข้าออกไปสิ
มีปัญญาเจ้าก็อย่านับข้าเป็นลูกสิเจ้ากล้าหรือไม่ เจ้าทำได้หรือไม่ เจ้าอยากตัดพ่อตัดลูกตัด
หลานหรือไม่
ผู้คนทั้งแผ่นดินหัวเราะเยาะ บรรดาขุนนางในราชสำ นึก
หัวเราะเยาะ ยามนี้กระทั่งโอรสของพระองค์ก็มาหัวเราะเยาะ
พระองค์แล้ว
ทั้ง
ยังไม่สนใจคำนินทาครหาที่ประชาชนข้างนอกแอบพูดคุย
กัน ภายนอกเขาคิดหาวิธีร้อยแปดพันเก้ามาปกปิดเรื่องนี้ เหล่า
ขุนนางยื่นมติไม่ไว้วางใจและหลีกเลี่ยงเรื่องภายในวัง คิดไม่ถึงเลย
คิดไม่ถึงเลยว่าโอรสคนนี้จะมาตบหน้าพระองค์ฉาดใหญ่!
คุกเข่าอยู่ด้านนอกตำหนักฉินเจิ้ง ต่อหน้าขุนนางบู้บ๋นทั่วทั้ง
ราชสำ นัก ต่อหน้าไพร่ฟ้าทั่วทั้งแผ่นดิน ตบหน้าพระองค์ฉาดใหญ่
เสียงดังก้อง!
มือฮ่องเต้สั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ให้เขาไสหัวไป!” พระองค์ตวาด
“ฝ่าบาทระงับโทสะด้วย”
ขุนนางบู้บุ๋นค้อมกายคำนับเอ่ยขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียงฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาพร้อมกับเสียงสายฟ้าฟาด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ก้าวเข้าประตูตำหนักมาเงยหน้าขึ้น
“ฝ่าบาท รีบมาหลบฝนเร็วพ่ะย่ะค่ะ” บรรดาขันทีรีบเอ่ยเรียก
“ไม่เป็นไร ตกไม่หนัก พวกเจ้าพกร่มไปคนละคัน ข้าจะไปก่อน
” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย ยกเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ
บรรดาขันทีรีบหยิบร่มมากางแล้วตามไป
ส่วนเฉิงเจียวเหนียงในยามนี้ก็เห็นขันทีที่มาถ่ายทอดพระ
ราชโองการให้เตรียมออกจากบ้าน
“เจ้าจะยังพูดความจริงอยู่ใช่หรือไม่” ฉินหูยืนอยู่บนระเบียง
มองเฉิงเจียวเหนียงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมาพลางเอ่ยขึ้น
“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก
“เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าบางครั้งพูดความจริงก็ไม่มีใครเชื่อ” ฉินหู
หัวเราะขมขื่นแล้วถามขึ้น
“ชา” เฉิงเจียวเหนียงอมยิ้มเอ่ย “ขอบคุณมาก อย่าได้กังวล
เลย”
ฉินหูพยักหน้า“ใช่ อย่าได้กังวลเลย” เขาเอ่ยพลางยกเท้าออกเดิน “ข้าส่งเจ้า
ถึงถนนหลวง”
เพิ่งจะก้าวเท้าลงบันไดไปก้าวเดียว เฉิงเจียวเหนียงก็ยื่นมือไป
จับข้อมือเขาไว้
“เดี๋ยวก่อน” นางเอ่ย
จู่ๆ อาภรณ์ผืนบางยามคิมหันตฤดูก็ถูกความอ่อนนุ่มอัน
ไม่คุ้นเคยจากมือดึงไว้ ร่างกายฉินหูแข็งทื่ออย่างห้ามไม่ได้
เพราะขาพิการตั้งแต่เด็ก หลังจากที่เขารู้ความแล้วก็ไม่ให้
คนอื่นมาแตะต้องร่างกายตัวเองอีกเลย ขนาดเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ
ก็ยังพยายามทำเอง
นอกจากทะเลาะตบตีกับโจวฝูตามประสาแล้ว ยังไม่มีใคร
จับมือเขาไว้เช่นนี้ ยิ่งเป็นสตรียิ่งไม่ต้องพูดถึง
มือของหญิงสาวเป็นเช่นนี้เองหรือ อ่อนนุ่ม แต่ก็แฝงไว้ด้วย
เรี่ยวแรง ซ้ำ ยังมีสัมผัสหยาบเล็กน้อยด้วย
ตุ่มไตที่เกิดจากการฝึกฝนธนูมานานหลายปีกระมัง
นางจะพูดอะไรหรือนางจะพูดอะไรกับตนหรือ
อันที่จริงนางไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด เขา
ย่อมช่วยนางและปกป้องนางไว้อยู่แล้ว
ฉินหูกำลังจะหันหน้าไป ตัวเองกลับโดนเฉิงเจียวเหนียงลาก
กลับไปอย่างแรง
และในขณะนั้นเอง จู่ๆ สายฟ้าขนาดยักษ์ก็ผ่าลงมากะทันหัน
ดังสนั่นอยู่ในอากาศ
บ่าวรับใช้และสาวใช้ภายในเรือนหลุดเสียงกรีดร้องกันขึ้น
บางคนตกอกตกใจจนล้มลงกับพื้น
ฉินหูก็ตกใจจนตื่นตระหนกเช่นกัน ข้างหูดังอื้ออึง
“มีสายฟ้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ปล่อยมือของเขาออก
มีสายฟ้า…
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขันทีภายในวังที่ถูกทำให้ตกอกตกใจจนล้มลงกับพื้นรีบ
คว้าร่มกันขึ้นมาใหม่อย่างลนลาน พลางมองจิ้นอันจวิ้นอ๋องจิ้นอันจวิ้นอ๋องยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ผมและเสื้อผ้า
เปียกโชก เขามองฟากฟ้า สีหน้าตกใจ
“สายฟ้ารุนแรงนัก” เขาเอ่ยขึ้น
เสียงฟ้าที่อยู่ไกลๆ ยังคงดังกึกก้อง บรรดาขันทีรีบถือร่มขึ้น
“ฝ่าบาทรีบไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ รีบไปหลบในตำหนัก”
คนทั้งกลุ่มเร่งฝีเท้าเดินกัน เดินไปได้ไม่นาน จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็
หยุดฝีเท้าลงอีก
“ตรงนั้น…”
เขามองไปหน้าตำหนักสูงใหญ่เบื้องหน้าด้วยความตกใจ
ท่ามกลางฝนฟ้าเป็นสาย มีคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
“ฝ่าบาทผิงอ๋อง ฝ่าบาท” เหล่าขันทีต่างร้อนใจกันจนจะร้องไห้
อยู่รอมร่อ “ฝนตกแล้ว ขอท่านโปรดเข้ามาเถิดพ่ะย่ะค่ะ คุกเข่าต่อ
ไม่ได้แล้ว ฟ้าผ่าแล้ว”
ผิงอ๋องยังคงคุกเข่าอยู่ บนร่างเปียกชุ่ม สายฟ้าเมื่อครู่ไม่ได้
ทำให้เขาตกใจ กลับกันยิ่งเห็นคนโดยรอบกรีดร้องหน้าถอดสีเขาก็ยิ่ง
ตื่นเต้นขึ้นกว่าเดิมดวงตาเขาเป็นประกาย บนใบหน้ายังปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้น
มาอีกด้วย
“ไม่ ข้ากำลังยอมรับผิดอยู่ ฝ่าบาทยังไม่ลงโทษ จะลุกขึ้นกลับ
ไปได้อย่างไร” เขาพูดเสียงดัง เงยหน้ามองประตูตำหนัก
เพราะฝนตก ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีทะมึน ภายในตำหนักจึงยิ่ง
มืดมิด เห็นเพียงคนยืนกันอย่างเลือนราง มองเห็นสีหน้าพวกเขาไม่
ชัด
ทว่า เขาสามารถจินตนาการถึงสีหน้าของพวกเขาได้
ตกใจละสิ เดือดดาลละสิ หวาดกลัวละสิ
ยอมรับผิดอย่างนั้นรึ
ยอมรับผิดเรื่องใด
คนที่สมควรตายล้วนเป็นพวกเขาที่ควรจะตายๆ ไปเสีย เกี่ยว
อะไรกับเขากัน!
เขาพากเพียรร่ำเรียนจนฉลาดเฉลียว ทุกคนต่างชื่นชมยกย่อง
เขา ไอ้สติไม่ดีนั่น แล้วก็ไอ้ก้อนเนื้อในครรภ์นั่น มีสิทธ์อะไรมาเทียบ
กับเขา!เจ้าแหกตาดูให้ดีก็แล้วกัน ดูว่าใครจะเป็นโอรสเพียงหนึ่งเดียว
บนแผ่นดินนี้ของเจ้า!
อย่ามาทำเป็นเห็นใครก็ล้วนแต่ดีไปหมด มีเพียงข้าที่ไม่ดี!
ผิงอ๋องกัดฟัน พยายามไม่ตะโกนคำพูดเหล่านี้ที่อยู่ใน
ใจออกมา จนใบหน้าเหยเก
“ขอเสด็จพ่อระงับโทสะด้วย!”
เขาตะโกนเสียงดัง
“ล้วนเป็นความผิดของลูก โปรดให้ลูกออกจากเมืองหลวงไป
ด้วย”
“ฝ่าบาท มีอะไรก็เข้าไปพูดกับพระองค์เถิด” เหล่าขันทีที่
คุกเข่าอยู่ด้านข้าง ร่มที่เดิมกางอยู่ก็โดนผิงอ๋องโยนทิ้งไปแล้ว ถูก
น้ำฝนสาดจนบิดเบี้ยวกลิ้งไปอยู่อีกด้านหนึ่ง “แต่ฟ้ากำลังจะผ่า…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงฟ้าคำรามอยู่ด้านบน กลบเสียง
ของขันทีไป
บรรดาขุนนางภายในตำหนักก็ทนไม่ไหวเช่นกัน ใช้สายตา
สนทนากัน“เช่นนี้ไม่ได้นะ”
“ยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเช่นนี้จะดีได้อย่างไร ต้อง
โน้มน้าวเสียหน่อย”
“โน้มน้าวรึ โน้มน้าวใครล่ะ”
“โน้มน้าวฮ่องเต้รึ เจ้าหมายความอย่างไร จะบอกว่าฮ่องเต้ผิด
รึ”
เช่นนั้นก็ทำได้เพียงโน้มน้าวผิงอ๋องแล้ว
ผิงอ๋องก่อเรื่องเสียเรื่อง ดูสิทำเอาฮ่องเต้กริ้วจนไม่พูดไม่จา
แล้ว
เฉินเซ่ายกเท้าด้วยความเคร่งขรึม
พอเห็นการเคลื่อนไหวของเขา มีขุนนางบางคนรีบสาวเท้าตาม
ไป
“ไม่ให้ออกไป!” ฮ่องเต้ตวาด “ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตออกไปดู
เขา! เขาอยากคุกเข่าก็ให้เขาคุกเข่าไป!”
ฝีเท้าขุนนางจำ นวนหนึ่งหยุดลง เฉินเซ่ากลับคำนับ“ฝ่าบาท เสียกิริยามารยาทหน้าตำหนัก แม้จะเป็นชินอ๋องก็
ไม่ได้ กระหม่อมต้องไปห้ามพ่ะย่ะค่ะ!” เขาเอ่ยด้วยความเคร่งขรึม
ไม่รอให้ฮ่องเต้เอ่ยคำใด ก็สาวเท้าไปทางด้านนอกอีกครั้ง
มุมปากของฮ่องเต้ขยับ สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ผิงอ๋องเห็นว่ามีคนออกมาก็ยิ่งตื่นเต้น
ฮ่า ฮ่า
“ฝ่าบาท หยุดก่อเรื่องได้แล้ว รีบลุกขึ้นเข้าไปพูดคุยเสีย”
เฉินเซ่าตวาดเสียงดัง พลางสาวเท้าไปหา ขันทีตรงระเบียงรีบถือร่ม
ตามไป
“ข้าไม่ได้ก่อเรื่อง!”
ผิงอ๋องตะคอกเสียงดัง พลางยกมือขึ้นฟ้า
“ข้ายอมรับผิดอย่างสัตย์จริง ข้ามารับโทษด้วยความสัตย์จริง
หากโกหกแม้ครึ่งคำ ขอให้ฟ้าผ่า”
เพิ่งจะเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงครืนๆ ดังมาเป็นระลอก คล้ายว่า
ฟากฟ้าถูกฉีกเป็นทางเฉินเซ่ารู้สึกชาวาบตั้งแต่หนังศีรษะลงมาถึงปลายเท้า คุกเข่า
ทรุดลงกับพื้นทันใด วินาทีที่เขาคุกเข่าลงไปนั้น หางตาเขาเหลือบไป
เห็นเบื้องหน้าก็มีคนคุกเข่าลงเช่นกัน
เสียงกรีดร้องพลันดังขึ้นทั่วทุกสารทิศ
บนศีรษะจิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่มีร่ม ขันทีที่อยู่ทั้งสองด้านกรีดร้อง
พลางคุกเข่าตัวสั่นกับพื้น มีหลายคนที่หมดสติไปแล้ว
เขายืนอยู่กลางสายฝน ปากอ้าตาค้าง
สวรรค์…
ท่านชายเกาที่อยู่อีกด้านก็ปากอ้าตาค้างอยู่เช่นกัน
“นั่นใช่ฝ่าบาทหรือไม่”
“ใช่นะสิ ฝ่าบาทกำลังคุกเข่ายอมรับผิดกับฮ่องเต้อยู่ คุกเข่า
กลางฝนมานานมากแล้วด้วย”
“ไม่เลวนี่เด็กเพียงนี้ ยังเหี้ยมโหดได้”
บทสนทนาตรงริมฝีปากของเขายังไม่ทันจะหลุดออกมา
เบื้องหน้ากลับเห็นภาพเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ในสมองขาวโพลน
ซวยแล้ว!นี่เป็นความคิดที่หลงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวของเขา
ซวยแล้ว!