มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 15 หม้อไฟกับกระบี่ หมอกควันที่หายไป (2)
เมื่อครู่ตอนที่หั่นเนื้อวัวเนื้อแพะและหั่นผักกาดขาวหั่นต้นหอม สิ่งที่เขาใช้หั่นคือกระบี่ธรรมดาที่ยังไม่ได้ทำการเปลี่ยนของกู้ชิงเล่มนั้น
หยวนฉวี่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ยกชามวิ่งเข้ามา นั่งยองๆ อยู่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ มองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “อาจารย์อา กระบี่เล่มนี้ของข้าก็ใช้ไม่ได้เช่นกันขอรับ….”
กู้ชิงเองก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า “อาจารย์ งานชุมนุมเหมยฮุ่ยใกล้จะเริ่มแล้ว ท่านจะให้จัดงานชุมนุมทดสอบกระบี่หรือว่าท่านจะเป็นคนเลือกลูกศิษย์เองขอรับ?”
จิ๋งจิ่วยืนขึ้นมา เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าเขาค่อนข้างรำคาญแล้ว แต่นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร บนยอดเขาก็ถูกลำแสงกระบี่ที่เยือกเย็นอ้างว้างส่องสว่าง
กู้ชิงมองดูกระบี่คมจักรวาลที่บินออกไป นิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนจะหันกลับมามองหยวนฉวี่กับผิงหย่งเจีย
หยวนฉวี่และผิวหย่งเจียรู้ว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว ไหนเลยจะกล้าแก้ตัว จึงได้แต่ก้มหน้าลงไป
กู้ชิงชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่มีกระบี่ ข้าเคยพูดอะไรไหม? อาจารย์ท่านย่อมต้องมีแผนการของท่านเอง พวกเจ้าจะรีบร้อนไปทำไม?”
จัวหรูซุ่ยฟังอยู่ข้างๆ ก่อนจะส่งเสียงจุ๊ๆ ขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะเตรียมรับตำแหน่งเจ้าสำนักต่อจริงๆ ด้วย?”
กู้ชิงมองเขา กล่าวว่า “ท่านข้องใจ?”
หากเป็นเวลาอื่น เขาสามารถสงบเสงี่ยมและถ่อมตัวได้ แต่ในเมื่อนี่เป็นแผนการที่อาจารย์วางไว้ เขาจึงไม่มีทางถอยแม้เพียงก้าวเดียว
จัวหรูซุ่ยกล่าวด้วยหนังตาที่ห้อยตกว่า “ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยมาถามข้าแล้วกัน”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ลวกเนื้อกินต่อโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
……
……
กระบี่คมจักรวาลแหวกอากาศพุ่งออกไป มายังท้องฟ้าที่อยู่สูงเป็นอย่างมาก จากนั้นบินไปยังตำแหน่งที่มีเมฆหมอกหนาทึบที่สุดแห่งนั้น
ยอดเขาที่สามารถมองเห็นได้ลางๆ ในก้อนเมฆยอดนั้นคือยอดเขาอวิ๋นสิง หรือก็คือยอดเขากระบี่ที่ศิษย์ชิงซานชอบเรียกกัน
อินทรีเหล็กสองสามตัวถูกกระบี่ที่จู่ๆ ก็โผล่มาทำให้ตกใจจนบินหนีไป ยอดเขากระบี่ยิ่งเงียบสงัด
จิ๋งจิ่วเก็บกระบี่คมจักรวาล เดินไปบนหน้าผาที่สูงชันและรกร้าง
หน้าผาสั่นสะเทือนขึ้นมาเบาๆ ตามการเดินของเขา เศษหินเล็กๆ ไหลทะลักออกมา กระบี่บินและหน่อกระบี่รูปแบบต่างๆ โผล่ออกมาจากก้อนหิน
มือขวาของจิ๋งจิ่วประกบนิ้วสองนิ้วเข้าด้วยกัน ร่ายเคล็ดกระบี่เจ็ดดอกเหมยออกมา
เมื่อรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่ที่ชัดเจนสายนั้น กระบี่บินบางส่วนก็ค่อยๆ มุดกลับเข้าไปในภูเขา มีกระบี่บางส่วนที่บินออกมา ลอยอยู่นิ่งๆ กลางอากาศ
เขามองไปรอบๆ ก่อนจะชี้ไปยังกระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ในท้องฟ้า
กระบี่เล่มนั้นสั่นไหวขึ้นมาเบาๆ คล้ายรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง มันบินมาตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว กระบี่บินเล่มอื่นที่เหลือบินกลับไปยังที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ
จิ๋งจิ่วหยิบเอากระบี่บินเล่มนั้นมาสำรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง
กระบี่บินเล่มนั้นไม่ได้เหยียดตรงเป็นพิเศษ บริเวณตรงกลางมีรอยโค้งงอที่ดูไม่ชัดเจนอยู่สามแห่ง ตัวกระบี่ดูหมองเล็กน้อย น่าจะมีเหล็กอุกกาบาตผสมอยู่ บนผิวมีผลึกที่ดูคล้ายเกล ล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่เล็กน้อย ดูคล้ายกลีบดอกไม้
จิ๋งจิ่วพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาถือกระบี่เล่มนี้เดินขึ้นไปถึงจุดที่อยู่สูงขึ้นไป ก่อนจะเอามันปักลงไปในหินลายเมฆ
กระบี่บินเล่มนี้เหมาะสมสำหรับเพลงกระบี่เจ็ดดอกเหมยเป็นอย่างมาก เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างที่สมบูรณ์ ต้องหล่อเลี้ยงอยู่บนยอดเขากระบี่ไปอีกสักระยะ
เขาไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนกระบี่ให้หยวนฉวี่มาก่อน เพราะเขาคิดว่านี่ควรเป็นหน้าที่ของยอดเขาซั่งเต๋อ เพียงแต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของหยวนฉวี่ก่อนหน้านี้แล้วรู้สึกสงสาร เขาจึ งเปลี่ยนความคิด
ตอนนี้หยวนฉวี่มีกระบี่ใหม่ แล้วกระบี่ของผิงหย่งเจียจะทำอย่างไร? หลังจากสืบทอดกระบี่มาเป็นเวลานาน กระบี่ดีๆ ในยอดเขากระบี่ก็มีจำนวนน้อยลงทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อชิงซานแข็งแกร่ง ขึ้นเรื่อยๆ กระบี่กลับสู่ชิงซานช้าลงเรื่อยๆ การจะหากระบี่บินระดับสูงที่นี่สักเล่มจึงเป็นเรื่องยาก เช่นนั้นการจะหากระบี่บินระดับสูงที่เหมาะสมกับเพลงกระบี่ไร้จุดจบจึงยิ่งเป็ นเรื่องที่ยากลำบาก
ยอดเขาชิงหรงน่าจะมีกระบี่ที่ไม่เลวเก็บเอาไว้อยู่ แต่แบบนั้นก็จำเป็นต้องเจอกับหนานว่าง จิ๋งจิ่วไม่แม้กระทั่งคิดเรื่องนี้
เห็นทีผิงหย่งเจียคงจะไม่มีกระบี่ไปอีกหลายปี
จิ๋งจิ่วเดินไปตรงด้านหน้าหน้าผาแห่งนั้น นั่งลงไปในถ้ำ มองดูทิวทัศน์ที่รกร้างบนยอดเขา นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เขาเพิ่งจะออกมาจากการเก็บตัว ไม่จำเป็นต้องหลับตาบำเพ็ญเพียร
หน้าผาแห่งนี้อยู่ใกล้ยอดเขา มีเจตน์กระบี่ที่รุนแรงและน่ากลัวจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ นั่งอยู่ตรงนี้เพียงครู่เดียวก็จะรู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก ห่างนั่งเป็นเวลานานก ก็อาจจะทำให้บาดเจ็บภายในได้
แต่เขากลับรู้สึกสบาย เพราะที่นี่เงียบสงบ ไม่มีเสียงลิง ไม่มีคนมาหา
ในสายตาของหยวนฉีจิงและคนบางคนแล้ว เขามีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเมื่อเทียบกับชีวิตที่แล้ว ยอดเขาเสินม่อเองก็เปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้น
แต่ความจริงแล้ว เขายังคงเคยชินที่จะอยู่คนเดียว
อยู่คนเดียวไม่จำเป็นต้องใช้เพลิงกระบี่ล้างหน้า ไม่ต้องมาเก็บขยะที่ยอดเขานี้ ไม่ต้องคิดอะไรเลย
กระบี่บินและหน่อกระบี่เหล่านั้นมุดกลับเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา โพรงที่บ้างกลมบ้างแบนเหล่านั้นมีฝุ่นควันฟุ้งกระจายออกมา ค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งกับเมฆหมอกที่ปกคลุมยอดเขากระบ บี่เอาไว้
ควันจางหาย แต่เมฆยังไม่สลาย
เมื่อเห็นภาพนี้ จิ๋งจิ่วคิดถึงข่ายพลังที่ชื่อหมอกควันจางหายอันนั้นขึ้นมา
ข่ายพลังหมอกควันจางหายสามารถช่วยให้ผู้บำเพ็ญพรตตัดขาดกรรมเกี่ยวเนื่องทั้งหมดได้ ทำให้สามารถเดินหน้าทลายทัณฑ์สวรรค์ เปิดทางสู่สวรรค์ได้ง่ายดายขึ้น
เขาทลายทัณฑ์สวรรค์แล้ว เปิดทางสู่สวรรค์แล้ว แต่กลับไม่สามารถตัดขาดกรรมได้ ดังนั้นตอนนี้ถึงได้มานั่งอยู่ที่นี่ มองดูเมฆหมอกที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ
เขามั่นใจว่าข่ายพลังที่ตัวเองวางไม่มีปัญหา อย่างนั้นก็มีเพียงคำอธิบายเดียว นั่นคือในตอนที่ศิษย์พี่สอนเขาวางข่ายพลัง ศิษย์พี่จงใจสอนเขาผิด
แต่แน่นอนว่ายังมีคำอธิบายหนึ่งที่ค่อนข้างฟังดูดีกว่า นั้นก็คือข่ายพลังที่ศิษย์พี่เรียนรู้มามันผิดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เขาเคยสงสัยว่าในตอนที่ศิษย์พี่ถ่ายทอดข่ายพลังนี้ให้แก่เขาก็มีเจตนาที่ไม่ดีอยู่แล้ว แต่นั้นมันเป็นเรื่องเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน.….
ในตอนนั้นจักรพรรดิแห่งหมิงยังไม่ถูกจับไปขังในคุกสะกดมาร ศิษย์พี่ยังไม่ใช่นักพรตไท่ผิงในภายหลัง
ในเวลานี้ศิษย์พี่กำลังทำอะไรอยู่? อยู่ในภูเขาลูกไหนมองดูทิวทัศน์ที่แตกต่างกันออกไป มีความรู้สึกทอดถอนใจที่เหมือนกัน จากนั้นรอคอยความตายที่จะมาถึง?
หากไม่มีกระบี่พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นร่างกระบี่ได้ ทุกอย่างจะสลายหายไปเหมือนฝุ่นควัน
แต่คนอย่างเขา จะตายไปอย่างเงียบๆ ได้อย่างไร?
ขอเพียงไม่มีข่าว นั่นก็หมายความว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ยังซ่อนอยู่ในที่ไหนซักแห่ง มองดูโลกและชิงซานอันเป็นที่รักของเขา
……
……
ในตอนที่บรรลุกลายเป็นเซียนไม่สามารถตัดขาดกรรมได้ เขาถึงได้ถูกไป๋เริ่นลอบโจมตี แต่ปัญหาก็คือทำไมไป๋เริ่นต้องทำเช่นนั้น?
จากนั้นเขาคิดถึงยันต์เซียนที่ได้มาจากงานชุมนุมแสวงมรรคา จิตเซียนที่ไป๋เริ่นได้ทิ้งเอาไว้ในยันต์เซียนสายนั้นแสดงให้เห็นว่านางมีความคิดที่จะกลับมา
ไม่ง่ายเลยกว่าจะออกไปได้ เหตุใดถึงต้องกลับมา? นี่เป็นเพราะหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้และความไร้ขอบเขตหรือ?
นี่เป็นปัญหาที่เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่เข้าใจ กระทั่งเจ้าล่าเยวี่ยเองก็รู้สึกไม่เข้าใจ
ในตอนที่ไป๋เริ่นบรรลุกลายเป็นเซียนได้ทิ้งยันต์เซียนเอาไว้หกแผ่น ตอนนี้ยังเหลือยันต์หลักอยู่อีกหนึ่งแผ่น ยันต์รองอีกสองแผ่น สำนักจงโจวจะใช้ยันต์เซียนสามแผ่นนี้ทำอะไร?
ตอนนี้สำนักชิงซานมีหยวนฉีจิงเพียงคนเดียวที่อยู่ในขั้นทะลวงสวรรค์ สำนักจงโจวจะต้องทำอะไรอย่างแน่นอน แต่พวกเขาจะกล้าทำอะไรล่ะ?
จิ๋งจิ่วย่อมไม่มีทางปล่อยสำนักจงโจวไป หากเป็นเมื่อก่อนเขาไม่มีทางที่จะมานั่งคิดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขาทำเช่นนั้นไม่ได้
เขาเป็นเจ้าสำนักชิงซาน จำเป็นต้องคิดถึงปัญหาเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงต้องให้ถงเหยียนวางหมากกระดานนั้นออกมา?
แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ยังคงเป็นเรื่องที่รู้ให้ได้ก่อนว่าข่ายพลังหมอกควันจางหายมันมีปัญหาอะไรกันแน่
สภาวะของเขาก่อนหน้านี้ต่ำต้อย ครุ่นคิดถึงปัญหาเหล่านี้ไปก็ไม่มีความหมาย แต่ตอนนี้เขาบรรลุขั้นแหวกทะเล เช่นนั้นก็ต้องคิดถึงเรื่องที่บรรลุกลายเป็นเซียนอีกครั้งแล้ว
……
……
โคมไฟสลัวมิอาจส่องแสงทะลุกำแพง แสงดาวเองก็ไม่สามารถส่องสว่างยอดเขาที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมได้ มีเพียงแสงอาทิตย์เท่านั้นที่ทำได้
เวลาคืนหนึ่งผ่านไป แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่อง ปลุกอินทรีเหล็กและจิ๋งจิ่วให้ตื่นขึ้นมา
เขาลืมตา มุ่งหน้าไปยังยอดเขาซื่อเยวี่ยพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้นมา