ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1181 จัดการ (1)
“แต่นั่น…เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงสัย “ข้าก็แค่อยากเร้นกายเท่านั้น”
อารมณ์ของเขาไม่ถูกล่อลวง มีเพียงแค่ความสงสัย
แกรอลท์พลันอึ้ง
“เรื่องราวยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หรือท่านจะไม่หวั่นไหวเลย”
“ตอนนี้ข้าคิดจะเร้นกาย เรื่องอื่นไม่ต้องมาพูดกับข้า” ลู่เซิ่งหงุดหงิดเล็กน้อย
“แต่ว่า…ช่างเถอะ การดำรงอยู่ที่ยิ่งใหญ่ระดับท่าน อาศัยข้าอาจเกลี้ยกล่อมท่านไม่ได้ ครั้งนี้ที่ข้ามา ยังนำการไหว้วานและการเชื้อเชิญของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในปฏิสุญญตามาด้วย พวกเข ขาขอเชิญท่านไปยังปฏิสุญญตา เป็นเพราะผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนไม่สามารถมายังสุญญาตาหลักได้ ดังนั้นจึงได้แต่เชิญท่านไปด้วยตัวเอง ส่วนที่เสียมารยาท โปรดให้อภัยด้วย” แกรอลท์รีบรายงาน
“ปฏิสุญญตาหรือ?” ลู่เซิ่งไตร่ตรอง ที่นั่นเหมือนจะลึกลับอยู่บ้าง ลองไปหยั่งเชิงได้
สุญญตาหลักมีการดำรงอยู่และความว่างเปล่า ส่วนปฏิสุญญตาถูกสัตว์ประหลาดและขุมกำลังจำนวนมากที่มีพลังวารีเทาครอบครอง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนี้ คือสิบเจ็ดเผ่าพันธุ์โกลาหล
สิ่งที่สำคัญที่สุดยังมีอีกอย่าง นั่นคือเขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตนในตอนนี้ได้ไปถึงขีดจำกัดแล้ว หากคิดจะเลื่อนระดับ ถ้าไม่เพิ่มความเร็วกลืนกินต่อไป ก็ต้องเริ่มหาวิธีการ รเพิ่มความบริสุทธิ์
พลังวารีเทาห่อหุ้มอยู่ในส่วนลึกสุดของจิตวิญญาณร่างหลัก จึงส่งผลต่อชีวิตมากมายที่อาศัยอยู่ในโลกรูปจิตบนร่างหลักเหมือนกัน
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าพวกเขาถูกกลืนกลายไปบางส่วนแล้ว ต่างปนเปื้อนพลังวารีเทา เริ่มกลายเป็นเหมือนมารโกลาหลในหมอกของปฏิสุญญตา
เขากังวลอยู่บ้างว่า สุดท้ายพลังวารีเทาจะกลืนกลายโลกรูปจิต เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเป็นความโกลาหลหรือไม่
ขณะมองดูแกรอลท์ที่รอคอยข้อมูลอยู่เบื้องหน้า ลู่เซิ่งก็ตัดสินใจไปปฏิสุญญตาสักครั้ง
เขาในเวลานี้แข็งแกร่งกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า
การใช้โลกรูปจิตเป็นโล่กำบัง สามารถเสริมสสารพลังงานด้านในไว้บนตัวเขา แล้วปล่อยออกมาพร้อมการโจมตีของเขาได้
ผลลัพธ์แบบนี้คืออานุภาพของทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขา แข็งแกร่งกว่าครึ่งปีก่อนไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า
ถ้าซีหนิงโผล่มาด้านหน้าเขา เกรงว่าจะเอาไม่อยู่
“เจ้าเกลี้ยกล่อมข้าสำเร็จแล้ว ไปด้วยกันเถอะ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบเสียงทุ้ม
แกรอลท์ผุดสีหน้ายินดี ข่มความตื่นเต้นในใจ ก่อนยื่นมือออกมาทำท่าดึง
หมอกเทากลุ่มใหญ่พลันกระจายออกมาจากด้านหลังเขา แล้วกลายเป็นประตูขนาดยักษ์รูปดวงตาแนวตั้ง
สามารถเห็นหมอกเทานับไม่ถ้วนพลิกม้วนในประตูได้
ลู่เซิ่งส่ายหางเบาๆ ว่ายเข้าประตู
ด้านในประตูเป็นสีเทาที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเช่นกัน
ลู่เซิ่งขยายจิตออกไป
“ข้ามาแล้ว ออกมาเถอะ”
หมอกเทาพลิกม้วนอย่างรวดเร็ว
ใบหน้ามนุษย์ที่มีขนาดเป็นหนึ่งในสี่ส่วนของเขา ค่อยๆ โผล่ออกมาจากในหมอกเทา
“ยินดีต้อนรับ มารกำเนิด หลังจากเจอกันครั้งก่อน เวลาก็ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ท่านกลับเติบโตถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราไม่ได้มองท่านผิดไปจริงๆ” เสียงของใบหน้าคนเป็นเสียงของชารอน คนบ บ้าที่ลู่เซิ่งเคยพบมาก่อน ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ดูแลปฏิสุญญตาผืนนี้ด้วย
ตอนนั้นชารอนเป็นคนมอบตราประทับลงทะเบียนให้ลู่เซิ่ง
น่าเสียดายที่ถึงมันจะแข็งแกร่ง แต่ลู่เซิ่งใช้ไม่ได้
นับตั้งแต่เขารู้วิธีใช้ดีปบลูกลืนกินจักรวาล เขาก็ใช้พลังอาวรณ์และพลังของดีปบลูถึงระดับสูงสุด
เขาใช้ความเป็นอมตะของตัวเอง รับมิติเวลาที่ไม่ใช่ของตัวเองเข้ามาในร่าง เพื่อเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง
แต่ผลลัพธ์ของการทำแบบนี้เริ่มทำให้เขาเกิดอาการหลงลืมตัวตน
ระดับความแข็งแกร่งทางวิญญาณและจิต รวมถึงพลังที่จำเป็นต่อการควบคุมวิญญาณ มีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล
เดิมทีลู่เซิ่งเป็นร่างชีวิตร่างหนึ่ง แม้จะรู้จักพลังวารีเทา แต่พลังควบคุมไม่ใช่ว่าไร้จำกัด
ส่วนมิติเวลาจักรวาลที่กลืนกินอย่างต่อเนื่องก็ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดที่เขาควบคุมได้ไปแล้ว
ถ้าไม่ใช่หลอมรวมเข้ากับพลังวารีเทาของวิญญาณจนมีสัญชาตญาณดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง และเกิดแรงดึงดูดมหาศาลเพราะสาเหตุนี้ จึงทำให้ลู่เซิ่งเข้าสู่สมดุลอันแยบยล
เกรงว่าเขาจะตกสู่สภาพเสียการควบคุมไปนานแล้ว
เวลานี้ลอยอยู่ในหมอกเทา ลู่เซิ่งมีจิตที่ชาด้านเล็กน้อย มองไปยังชารอนที่ปรากฏในส่วนลึกสุด
“ท่าน รีบร้อนตามหาข้าขนาดนี้ มีธุระหรือ”
คนในหมอกเทาคิดเงียบๆ
“ท่านเติบโตเร็วเกินไป…แต่แบบนี้ก็ดี หอคอยวารีเทาไม่เคยมีการดำรงอยู่ใดที่พัฒนาในสุญญตาหลักถึงระดับท่านมาก่อน”
“แล้วอย่างไร?” ลู่เซิ่งกวาดจิตไปรอบๆ อย่างช้าๆ
จิตของเขาถูกพลังวารีเทาของตัวเองกลืนกลายแล้ว จึงไม่เกรงกลัวหมอกเทาที่กลืนกินทุกอย่างอยู่รอบๆ โดยสิ้นเชิง กลับกำลังดูดซับหมอกเทาจำนวนมากเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง เพียงแ แต่ไม่เร็วเท่าตอนอยู่ในสุญญตาหลักเท่านั้น
“เผ่าพันธุ์ทั้งหลายหวังจะสวามิภักดิ์เป็นบริวารของท่าน เพื่อเปิดทางเชื่อมนิรันดร์เข้าสู่สุญญตาหลัก ถ้าท่านตกลง อย่างนั้นท่านจะได้รับขุมกำลังแข็งแกร่งที่เหนือกว่าเจ้าพวกที่อยู่ใ ในสุญญตาหลัก” เวลานี้สติของชารอนยังเป็นปกติ กล่าววาจามีเหตุมีผลอย่างยิ่ง
“เผ่าพันธุ์หรือ?”
“ถูกต้อง สิบเจ็ดเผ่าพันธุ์มีจักรพรรดิมารโกลาหลของตัวเอง สิบเจ็ดจักรพรรดิมารโกลาหลต่างก็เป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งระดับเดียวกับซีหนิง น่าเสียดายตรงที่ หากไม่มีทางเชื่อมนิรั นดร์ พวกเขาจะได้รับการสะกดอย่างรุนแรงเมื่อไปยังสุญญตาหลัก ส่วนผู้ดูแลอย่างพวกเรา ไปไหนไม่ได้…” ชารอนจนใจและเสียดายเล็กน้อย
เหมือนจะกลัวว่าลู่เซิ่งไม่เข้าใจ แกรอลท์โผล่ขึ้นกลางหมอกเทาที่อยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง แล้วส่งกระแสเสียงอธิบายให้ลู่เซิ่งฟัง
“ผู้ดูแลครอบครองพลังที่แข็งแกร่งมหาศาล อยู่เหนือราชาโลกวิญญาณ แต่พวกเขาก็ออกจากปฏิสุญญตาไม่ได้เพราะพลังนี้ นี่เป็นกฏ”ของที่นี่”
ลู่เซิ่งกระจ่าง แต่เทียบกับบริวารในโลกรูปจิตของเขาแล้ว คนที่มาสวามิภักดิ์อย่างไร้สาเหตุพวกนี้ย่อมไม่ได้รับความเชื่อใจจากเขา
“แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร ข้ามีบริวารอยู่แล้ว การดำรงอยู่ที่อ่อนแอเกินไปเป็นเพียงขยะสำหรับข้าเท่านั้น”
ชารอนได้ยินดังนั้นก็ไตร่ตรองเล็กน้อย
“ถ้าท่านตอบรับ ผู้ดูแลปฏิสุญญตาอย่างพวกเราจะกลายเป็นโล่กำบังที่ดีที่สุดให้ท่าน เมื่อท่านเจออันตรายหรือปัญหา ให้เข้ามาในปฏิสุญญตา ไม่ว่าจะเป็นพลังคุณสมบัติใดก็ไล่ตามเข้ามา ไม่ได้”
“แต่ตอนที่ข้าเข้าออกไม่มีใครขวางข้าได้ไม่ใช่หรือ” ลู่เซิ่งเอ่ย
“ไม่ ข้าคือผู้ดูแลของที่นี่ หากไม่ได้รับจิตยินยอมจากข้า เมื่ออยู่ที่นี่ก็มีผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือถูกกลืนกินจนดับสูญโดยสมบูรณ์” ชารอนเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นน้ำเสียงก็แปลกขึ้นเล็กน้อย
“ท่านจะเข้าใจแบบนั้นก็ได้” ชารอนหัวเราะ
“เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้เจอมานานเหลือเกิน…” ลู่เซิ่งอ้าและหุบปากช้าๆ กินและคายหมอกเทานับไม่ถ้วนรอบๆ
“แล้วคำตอบของท่านเล่า” ชารอนมองปลาดำขนาดยักษ์ตรงหน้า ดวงตาฉายแววคาดหวัง
นางเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่ การดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ได้ แม้จะไม่ชาญฉลาด เมื่อเจอกับตัวเลือกแบบนี้ ไม่มีทางเลือกฝั่งที่ไม่เป็นผลดีกับตัวเองแน่
น่าเสียดาย นางประเมินณนิสัยโดยสันดานของลู่เซิ่งผิดไป
“น่าคิดถึงจริงๆ…” ลู่เซิ่งเหม่อลอย ไม่มีความโมโห ไม่มีความพลุ่งพล่านใจ เป็นเพียงความรู้สึกสดใหม่และความคิดถึง
เขาไม่เจอการดำรงอยู่ที่กล้าข่มขู่เขามานานเหลือเกิน
“บางทีท่านอาจลองดูก็ได้ ลองว่าจะเอาชนะข้าได้หรือไม่” ชารอนกล่าวเสียงเรียบเช่นกัน
นางเคยพบคนที่อยู่ในสภาพจิตไร้เทียมทานแบบนี้ระหว่างกาลเวลาที่ยาวนานมามากมายเหลือเกิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาล้วนแข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนเกิดความเปลี่ยนแปลงและก้าวข้ามขีดจำกัด ดที่ร่างชีวิตทั่วไปจินตนาการถึงได้
แต่เมื่อพวกเขาพบนางตน ไม่ว่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดไหน ต่างก็ยอมยกธงขาว รับข้อเสนอของพวกผู้ดูแลอย่างเชื่อฟัง
นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่แข็งแกร่ง หากแต่ผู้ดูแล เป็นตัวแทนปฏิสุญญตา หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับที่นี่ ไม่แบ่งแยกจากกัน
ระบบสี่ผู้ดูแลใหญ่ แยกกันรับมืออนุภาคนิรันดร์และตราสูญสลายของสุญญตาหลัก
พวกเขาคือส่วนหนึ่งของนิยาม เป็นส่วนหนึ่งของมิติเวลาแห่งนี้
และชารอน ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่ง
“ข้าคิดจะลองดู” ลู่เซิ่งว่ายวนรอบใบหน้าของชารอนอย่างสนอกสนใจ
“ไม่มีประโยชน์หรอก ท่านอาจกินร่างแปลงของข้าตรงนี้ได้ แต่ขอแค่ปฏิสุญญตายังอยู่ ข้าจะคืนชีพได้ชั่วนิรันดร์ เป็นอมตะตลอดกาล” ชารอนกล่าวอย่างไม่สนใจ
หงับ!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ตัวนางและหมอกเทามิติเวลาผืนใหญ่รอบๆ ก็ถูกลู่เซิ่งงับเข้าปาก
อึก
เขาเงยหน้ากลืนลงไป พลังวารีเทาของเขาย่อยสลายชารอนและหมอกเทาที่เข้าไปในร่างตนด้วยความเร็วสูง
การกระทำนี้เหมือนจะยั่วโทสะหมอกเทาทั้งหมดรอบๆ
หมอกเทานับไม่ถ้วนพลิกม้วน ถั่งโถมเข้าหาลู่เซิ่ง ความเข้มข้นของมันสูงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มกัดกร่อนผิวสีดำของลู่เซิ่งจนดังฉ่าๆ จนปรากฏรอยขาวเล็กๆ
ลู่เซิ่งส่งเสียงร้องอย่างกระตือรือร้น อ้าปากใหญ่ เปิดรูขุมขนทั่วร่าง กลืนกินหมอกเทารอบๆ ที่ทะลักเข้ามาโดยไม่ปฏิเสธ
เขากินจักรวาลในสุญญตาหลักไปไม่น้อย มีพื้นที่เหลือเยอะพอบรรจุหมอกเทาเหล่านี้พอดี
สสารพลังงานของสุญญตาหลักและปฏิสุญญตาอยู่ขั้วตรงข้ามกันอยู่แล้ว เมื่อสองฝ่ายเจอกัน ก็ระเบิดพลังงานทำลายล้างมากมายออกมากลายเป็นปฐมพลังจักรวาลที่ไร้รูปร่างทันที
ปฐมพลังจักรวาลเหล่านี้บรรจุพลังอาวรณ์มหาศาล ทั้งหมดเป็นแก่นสารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งรวบรวมอยู่ในปฏิสุญญตามาหลายปี
ลู่เซิ่งค้นพบเรื่องนี้ในตอนที่ย่อยสลายหมอกเทา พลันลิงโลด ให้ความสำคัญกับการเร่งความเร็วกลืนกินหมอกเทามากกว่าเดิม
ตอนแรกแกรอลท์ที่อยู่ด้านหลัง เห็นลู่เซิ่งและชารอนคุยกันอย่างเป็นมิตร บรรยากาศปรองดอง นึกไม่ถึงว่าต่อมาบอกพลิกหน้าก็พลิกหน้าทันที
ชารอนถูกกิน จากนั้นปลายักษ์สีดำที่แปลงร่างมาจากลู่เซิ่งก็ถูกหมอกเทานับไม่ถ้วนกลบท่วม
เขาตกใจหันหนี แม้เขาจะเป็นผู้เข้มแข็งที่ทำลายจักรวาลแห่งหนึ่งได้เหมือนกัน แต่เทียบกับสองคนตรงหน้าแล้ว เป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ เท่านั้น หากตอนนี้ไม่หนี รออีกสักเดี๋ยวอาจไ ไม่เหลือโอกาสแล้ว
ดังนั้นเขาจึงหวาดเกรง ผละหนีออกจากปฏิสุญญตาทันที
การแลกเปลี่ยนคราวนี้จบลงด้วยความล้มเหลว
…
ผ่านไปอีกสักพัก…
ณ สุญญตาหลัก
เวลานี้การดำรงอยู่อย่างพวกซีหนิงและผู้ล่าดาวที่เริ่มเตรียมตราสูญสลายและอนุภาคนิรันดร์มารวมตัวกัน สร้างวิหารประชุมเรียบง่ายขึ้นบนผนังด้านนอกธารมารดาที่รกร้าง
“ในช่วงที่ผ่านมา เหมือนการสูญเสียพลังงานของจักรวาลจะลดลงมาก ใกล้จะกลับมาอยู่ในความเร็วปกติแล้ว” แม่ทัพความว่างเปล่าคนหนึ่งด้านหลังซีหนิงกล่าวเสียงทุ้ม
“ข้าก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าสัมผัสผิดไปหรือไม่” แม่ทัพความว่างเปล่าอีกคนตอบเสียงขรึม
“ยังไม่เจอสัตว์ประหลาดตัวนั้นอีกเหรอ” ซีหนิงขมวดคิ้วถาม ร่างหลักของเขาบินวนไปวนมาในความว่างเปล่าไกลออกไปหลายรอบ แต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของลู่เซิ่ง
ดัชนีและตัวแปรทั้งหมดในความว่างเปล่าก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมทั้งหมดแล้วเช่นกัน นี่สร้างความฉงนฉงายให้แก่เขา
คนของสหพันธ์การดำรงอยู่ที่อยู่ด้านหน้าก็มีสีหน้าสงสัยเช่นกัน
มนุษย์หมีตนหนึ่งด้านหลังผู้ล่าดาวกล่าวเสียงทุ้ม “ทางพวกเราก็ไม่เจอร่องรอยใดๆ เช่นกัน หรือสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะหายตัวไปแล้ว”
“สายของข้าตรวจสอบเจอว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นน่าจะไปปฏิสุญญตาแล้ว” ผู้ล่าดาวมีสีหน้าสงบนิ่ง