ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1182 จัดการ (2)
“ปฏิสุญญตาหรือ”
“ถิ่นของหอคอยวารีเทาหรือ เผ่าพันธุ์มารโกลาหลใช่หรือไม่?”
“เป็นพลังวารีเทาเหมือนกัน ถ้ามารโกลาหลอาศัยพลังของสัตว์ประหลาดตัวนั้นออกจากปฏิสุญญตา…จะเกิดปัญหาใหญ่มาก”
เหล่าผู้เข้มแข็งของสหพันธ์การดำรงอยู่พลันปั่นป่วน
“อาศัยอะไร? นี่เป็นไปได้สูงมาก” ผู้ล่าดาวสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเขาคือผู้ใช้พลังวารีเทา พลังที่เลวร้ายแบบนั้น เดิมทีก็…”
ยังพูดไม่ทันจบ พลันมีการสั่นสะเทือนส่งมาจากความมืดมิดว่างเปล่าไกลออกไป
ช่องหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งแตกออก
ช่องยาวแสนกว่าเมตร ในความมืดมิดว่างเปล่าที่แม้แต่จักรวาลก็ใหญ่สุดเพียงไม่กี่พันเมตร ช่องแบบนี้เรียกได้ว่าไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
จากนั้นก็มีปลาดำยักษ์ที่ยาวแสนกว่าเมตรตัวหนึ่ง ถูกพลังยิ่งใหญ่ไร้รูปร่างลากออกมาจากช่องอย่างเชื่องช้าและยากลำบาก
“ไม่!” ปลาดำยักษ์ส่งเสียงคำราม “ข้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังวารีเทาเหมือนกัน พวกเจ้าทำแบบนี้ไม่ได้! ทำแบบนี้ไม่ได้! ไอ้พวกเวรตะไล! ข้ายังกินไม่อิ่มเลย!”
ปลาดำดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง หมายจะมุดกลับไปในช่อง แต่ก็ไร้ประโยชน์ แม้พลังยิ่งใหญ่สายนั้นจะทุลักทุเล แต่ก็ยังมีแรงเยอะกว่าปลา ค่อยๆ ดันมันออกมา
“ข้าคือสะพานเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถพาพวกเจ้าออกจากปฏิสุญญาตามายังสุญญตาหลักได้! พวกเจ้าทำแบบนี้กับข้าเรอะ!” ปลาดำคำรามกู่ร้อง “ข้าแค่กัดไปสองคำ! สองคำเท่านั้น! ไม่รู้จ จักให้อภัยกันหน่อยหรือ!”
แต่ไม่ว่ามันจะตะโกนอย่างไร ช่องแตกสีเทายังคงพยายามบีบมันออกมา เหมือนกับบีบเมล็ดถั่วแระออกจากเปลือก สุดท้ายก็พ่นปลาดำออกมาอย่างรุนแรง
พึ่บ
เพิ่งจะบีบปลาดำออกมา ช่องแตกก็สมานตัวแล้วหายไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด พริบตาเดียวก็ออกจากสุญญตาหลัก ราวกับกลัวว่ามันจะมุดเข้าไปอีก
ปลาดำว่ายวนอยู่ที่เดิมหลายรอบ พลางส่งเสียงคำรามไม่ยอมรับ พลังวารีเทาหลายสายบนร่างกระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่ามันจะกระจายการสั่นสะเทือนขนาดไหน ก็ไม่อาจเปิดประตูท ทางเข้าปฏิสุญญตาได้อีก
ถูกต้อง เขาก็คือลู่เซิ่ง…หรือการดำรงอยู่หนึ่งเดียวที่ถูกไล่ออกจากปฏิสุญญตาเพราะกินมากเกินไป
ตั้งแต่วินาทีที่พนันกับชารอน ลู่เซิ่งก็ได้สัมผัสรสโอชาของหมอกเทาในปฏิสุญญตาเป็นครั้งแรก
ถ้าบอกว่าตอนแรกเขากินเพราะพนันกับชารอน อย่างนั้นหลังเขาได้ลิ้มลองรสชาติของหมอกเทาอย่างแท้จริง ก็กินหมอกเทาอย่างบ้าคลั่งราวกับเสพติด
จากนั้น ในที่สุดการกินอย่างตะกละตะกลามของเขาก็สร้างความตื่นตัวให้แก่ผู้ดูแลปฏิสุญญตาคนอื่นๆ
ผู้ดูแลทั้งหมดอาศัยตอนที่เขาไม่ทันให้ความสนใจ ควบคุมปฏิสุญญตาให้บีบเขาออกมาจากเขตหมอกเทา
ในเวลานี้ ในร่างลู่เซิ่งได้รวบรวมปฐมพลังจักรวาลที่มีจำนวนเหลือคณานับ และปฐมจักรวาลจำนวนมากก็มีพลังอาวรณ์นับไม่ถ้วนในปฏิสุญญตาปนอยู่
พลังอาวรณ์ที่บรรจุอยู่ในปฏิสุญญตาเป็นเวลาหลายปี มีจำนวนสูงกว่าจักรวาลใดๆ
และการดับสูญของพลังงานที่เกิดขึ้นเมื่อสสารพลังงานจากสุญญตาหลักและหมอกเทาของปฏิสุญญตาเจอกัน ก็ยิ่งมอบความรู้สึกซาบซ่านให้แก่ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งแทบจะจมดิ่งในความรู้สึกอันน่าอัศจรรย์นั้น ถึงได้เผลอโดนโยนออกมาโดยไม่รู้ตัว
รอเขาได้สติกลับมาก็สายไปเสียแล้ว ผู้ดูแลรวมถึงชารอนได้แย่งชิงตราประทับโกลาหลบนตัวเขา แล้วขับไล่เขาออกจากปฏิสุญญตา จากนั้นก็ติดฉลากห้ามเข้าถาวร
ว่ายวนอยู่ในความมืดมิดว่างเปล่าอย่างไม่ยอมอยู่หลายรอบ ความเดือดดาลของลู่เซิ่งพอจะได้รับการระบาย แต่ยังคงพยายามควบคุมพลังหมอกเทาของตัวเองเพื่อเปิดทางเข้าสู่ปฏิสุญญตาอย่าง งคับข้องใจ
ทว่าก็ไร้ประโยชน์
ทางเข้าออกปฏิสุญญตาไม่ใช่ว่ามีพลังวารีเทาแล้วจะเปิดได้
หลังว่ายอยู่สักพัก ลู่เซิ่งก็กวาดตามองรอบๆ ไม่นานก็สังเกตเห็นธารมารดาสีรุ้งใหญ่โตที่อยู่ด้านข้าง
ธารมารดาอันตระการตายื่นเหยียดไปถึงปลายทางที่มองไม่เห็นในความว่างเปล่าอันมืดมิด ราวกับเถาวัลย์ขนาดยักษ์
แล้วลู่เซิ่งก็กวาดตาเห็นวิหารสีดำที่มองดูก็รู้ว่าสร้างขึ้นชั่วคราวในตำแหน่งหนึ่งบนธารมารดา
เขาสะบัดหางทีหนึ่ง มุ่งหน้าไปทางวิหารแห่งนั้น
เขาในเวลานี้ พลังวารีเทาหลอมรวมกับวิญญาณ เป็นตัวแทนจิตของเขา สสารพลังงานรวมถึงมิติเวลานับไม่ถ้วนจากสุญญตาหลักและปฏิสุญญตาที่กลืนกินไป ก็รวมตัวกันในโลกรูปจิต กลายเป็นร่า างกายของเขา
อาศัยพลังของดีปบลู ลู่เซิ่งเปลี่ยนหมอกเทาที่รับเข้ามาให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ ถือเป็นการแปลงหมอกเทาส่วนหนึ่งเป็นพลังหมอกเทา เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่จิตใจของตั วเอง ชดเชยข้อบกพร่องบางส่วนของเขา
นี่เป็นการชดเชยข้อบกพร่องที่พลังของจิตวิญญาณและร่างหลักของตัวเขาต่างกันมหาศาล น่าเสียดายที่ยังแปลงได้ไม่มากเท่าไหร่ เขาก็ถูกไล่ออกมาเสียก่อน
เขาไม่รู้เลยว่า หมอกเทาในปฏิสุญญตาหายไปเกือบหนึ่งในห้าส่วนเพราะการกินอย่างไม่บันยะบันยังของเขา
หากกินต่อไปก็จะไม่เหลืออะไรจริงๆ
พลังวารีเทาที่สะสมมาหลายปีล้วนกลายเป็นสารอาหารให้เขา
พอสองขุมกำลังในวิหารเห็นลู่เซิ่งว่ายมาทางนี้ พลันระวังตัวทันที
ซีหนิงลุกขึ้นอย่างฉับพลัน จับจ้องปลาดำยักษ์ที่เข้าใกล้เขม็ง เขาจำกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้แล้ว
ผู้ที่ทำให้โลกวิญญาณอุดรมีสภาพน่าอนาถขนาดนี้ มีแต่สัตว์ประหลาดตรงหน้าเท่านั้น
เวลานี้เหล่าการดำรงอยู่อย่างพวกผู้ล่าดาวที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างมีสีหน้ากระวนกระวาย แม้พวกเขาจะเตรียมแผนรับมือไว้แล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าแผนการนั้นจะยังใช้ได้หรือไม่
อนุภาคนิรันดร์เป็นแผนการสุดท้าย เมื่อใช้สิ่งนั้นครั้งหนึ่ง การดำรงอยู่ทั้งหมดอย่างพวกเขาจะเสียอายุขัยครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ จะไม่มีใครยอมใช้มัน
ทางตราสูญสลายก็เป็นแบบเดียวกัน
ซีหนิงที่มีจิตสูญสลายก็มีความคิดแบบเดียวกัน การใช้จิตสูญสลายครั้งหนึ่ง จะสร้างความเสียหายอย่างสาหัสให้แก่เขา
ความเสียหายนี้เป็นการทำลายถาวรที่ไม่อาจฟื้นฟู และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ความเสียหายจากตราสูญสลายจะแบ่งตามสัดส่วน ไม่ว่าเขาจะแกร่งขึ้นหรืออ่อนแอลง ความเสียหายที่ได้รับจะ ะคงอยู่ในระดับคงที่
หมายความว่า เขาจะอ่อนแอลงขั้นหนึ่งๆ ทุกๆ การใช้งาน
หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เขาก็จะไม่ใช้จิตในตราสูญสลายเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้ตัวตรงหน้านี้…จิตสูญสลายแค่เล็กน้อยจะมีผลหรือไม่ นั่นก็ยังเป็นปริศนา
ปลาดำยักษ์ว่ายมาถึงหน้าทุกคน แล้วหยุดลงหน้าวิหาร แนบร่างกับผนังด้านนอกธารมารดา
วิหารชั่วคราวขนาดมหึมาเหมือนกล่องที่มีขนาดเท่าไข่ไก่เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เซิ่งเท่านั้น
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่แทบทุกคนที่อยู่ด้านในต่างเป็นการดำรงอยู่ระดับราชันในจักรวาลของใครของมัน แต่เมื่ออยู่ที่นี่ แม้แต่จักรวาลก็มีพื้นที่น้อยนิดในความมืดมิดว่างเปล่าเท่านั้น เป ป็นเพียงปัจเจกธรรมดาที่มีขนาดเท่าคนธรรมดาคนหนึ่ง
ผู้ล่าดาวเพิ่งพบลู่เซิ่งในสภาพร่างหลักครั้งแรก แม้จะสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่ทำให้เขาสูญเสียความเยือกเย็น
“การกลืนกินทุกสิ่งมอบอะไรให้ท่านได้ สิ่งที่ท่านแสวงหาคืออะไร” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม เสียงกลายเป็นการสั่นสะเทือนทางวิญญาณ ส่งเข้าสมองของลู่เซิ่ง
“ข้าคือผู้ล่าดาว เป็นผู้นำชั่วคราวของเขตธารมารดาอุดร ผู้กลืนกินที่แข็งแกร่ง สิ่งที่ท่านแสวงหาคือสิ่งใด พลังเพียงแค่เป็นเครื่องมือที่ใช้บรรลุเป้าหมาย เป็นเพียงเครื่องมือที่ รับใช้จิตใจของท่านเท่านั้น”
อารมณ์เดือดดาลคับข้องของลู่เซิ่งค่อยๆ สงบลง จิตวิญญาณจับเป้าหมายอยู่ที่วิหารตรงหน้า ส่วนคนที่พูดอยู่ก็ช่างเล็กกระจิดริดเหลือเกิน
“ข้าเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย ข้าเพียงแค่คิดจะกินให้เพียงพอแล้วพาภรรยากับลูกไปหาที่เร้นกาย แล้วใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาเท่านั้น ความจริง ข้าก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มการดำรงอ อยู่เช่นกัน” ลู่เซิ่งรีบตอบ
“พวกเราเข้าใจความคิดของท่าน ครั้งกระโน้นท่านเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สำนักมารกำเนิด ก็เพียงเพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น” ผู้ล่าดาวค่อยๆ ใจเย็นลง ความจริงหลังจากตรวจสอบลู่เซิ่ง เขาก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้คุยด้วยยาก เขาก็แค่มีแนวคิดต่างจากคนปกติเล็กน้อย แต่เนื้อแท้เป็นคนดีคนหนึ่ง
“ถ้า ข้าบอกว่าถ้านะ พวกเราช่วยท่านหาภรรยาท่าน ท่านยินดีจะหยุดกิน และพักผ่อนอย่างเงียบๆ หาสถานที่สักแห่งใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหรือไม่” เขาถาม
“แน่นอน นี่เป็นความฝันของข้า” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ “หลายๆ ครั้ง ความจริงข้าแค่จนหนทาง ที่กินก็เพราะต้องการหาเสบียงที่เพียงพอตไว้ใช้ตอนเร้นกายเท่านั้น ความจริงข้าไม่มีเจตนาร้า าย”
“ใช่แล้ว…ไม่มีเจตนาร้าย…ข้าสัมผัสได้” ผู้ล่าดาวพยักหน้า มุมปากกระตุก แต่ยังคงแสงดีหน้าเหมือนปลดเปลื้องภาระหนักอึ้ง
“อย่างนั้น ก็ตกลงตามนี้ พวกเราจะช่วยเตรียมทุกอย่างแก่ท่าน ท่านจากไปพักผ่อนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเถอะ”
“ไม่ได้!” ซีหนิงที่อยู่อีกด้านพลันกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ลู่เซิ่ง เจ้าคิดว่าพวกมันจะปล่อยกำลังรบที่แข็งแกร่งแบบนี้ไปโดยไม่สนใจหรือ พวกเราหยุดนิ่งอยู่ในขอบเขตเดิมมาหลายปี แต่เจ้า กลับมาถึงระดับอันน่ากลัวนี้ได้โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่ร้อยปี เจ้าคิดว่าจะไม่มีใครสนใจในตัวเจ้าหรือ”
คำพูดของเขาแทงใจดำการดำรงอยู่หลายคนในสหพันธ์การดำรงอยู่ แต่ไม่มีใครแสดงออกมา ผู้ที่มาถึงระดับนี้ได้ ไม่มีทางแสดงท่าทีออกมาให้เห็นแน่
ลู่เซิ่งก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
เขาพัฒนาเร็วเกินไป เร็วจนเท่ากับการดำรงอยู่มากมายแค่งีบทีหนึ่ง ก็ไปถึงจุดสูงสุดที่ธารมารดาอนุญาตแล้ว
เป็นพลังอะไรกันแน่ที่ผลักดันให้เขาไปถึงจุดสูงสุดในเวลาที่สั้นขนาดนี้ ไม่ว่าเป็นใคร ก็เกรงว่าจะสนใจกันทั้งนั้น
“นี่ไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ท่านยอมเก็บตัว พวกเราสามารถตัดขาดการรบกวนจากเขตธารมารดาส่วนหนึ่งให้ท่านได้ ทำให้อาณาเขตกลุ่มนั้นกลายเป็นเขตของท่านโดยสมบูรณ์” บุรุษวัยกลางคนที่สวมเ เสื้อผ้านายพรานธรรมดาๆ คนหนึ่งข้างกายผู้ล่าดาวเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“สหพันธ์การดำรงอยู่สามารถแบ่งจักรวาลหนึ่งให้ห้าส่วนให้ท่านใช้เป็นสวนสนุกสำหรับเที่ยวเล่นได้” บุรุษกล่าวต่อ
“เจ้าเป็นใคร? มีอำนาจตัดสินใจหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างแปลกใจ
“ข้าคืออูเดียร์ หลายคนเรียกข้าว่านักล่าความว่างเปล่า” บุรุษโค้งร่างแนะนำตัว “ข้ากับท่านผู้ล่าดาว เป็นผู้ปกครองสหพันธ์การดำรงอยู่”
เงื่อนไขนี้ถือว่าใจกว้างพอแล้ว
ความจริงลู่เซิ่งเป็นคนไร้ปณิธานใหญ่ เป้าหมายหนึ่งเดียวของเขาตั้งแต่เริ่มแรกคือใช้ชีวิตที่ดีกว่าเดิม
และขณะนี้ ก็เหมือนว่าเป้าหมายนี้มีโอกาสสำเร็จสูงมาก
“แต่ถ้าข้าหิวจะทำอย่างไร” เขาใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนถามอีก
นี่ไม่ใช่มุกตลก หากเป็นสภาพที่แท้จริงของเขาในปัจจุบัน โลกรูปจิตค้ำยันพลังที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ของเขา จำเป็นต้องผลาญสสารพลังงานปริมาณมหาศาลทุกวินาที
และการผลาญพลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นสหพันธ์การดำรงอยู่หรือขุมกำลังความว่างเปล่า ล้วนเป็นตัวเลขมหาศาลที่น่ากลัวถึงขีดสุด
เพราะการผลาญพลังทั่วไปคือการแปลงการดำรงอยู่เป็นความว่างเปล่า ทำให้ความว่างเปล่ากลับเป็นการดำรงอยู่ เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา
แต่ลู่เซิ่งเปลี่ยนความว่างเปล่าและการดำรงอยู่เป็นพลังวารีเทาของตัวเองพร้อมกันได้…หากเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันใดวันหนึ่งที่การดำรงอยู่และความว่างเปล่าถูกกินหมดอย ย่างสมบูรณ์…