ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 689 หยั่งเชิง (1)
บทที่ 689 หยั่งเชิง (1)
“เช่นนั้นเจ้าก็มาผิดที่แล้ว” ลู่เซิ่งยิ้ม “พวกเซียนของสำนักเต๋าไม่มีทางรับคนที่จิตใจไม่สมบูรณ์หรอก เจ้ามาเพื่อแก้แค้น จิตใจมีข้อบกพร่อง หรือมีบาดแผลที่ไม่อาจฟื้นฟูได้ตั้งแต่แรกแล้ว”
จวงอิ่นเสวี่ยผุดสีหน้าตื่นเต้น หากเป็นคนธรรมดาคงจะฟังคำพูดนี้ไม่เข้าใจ แต่นางอ่านตำราท่องคัมภีร์ตั้งแต่เด็ก ย่อมเข้าใจความหมายของท่านลู่ผู้นี้
“ความหมายของท่านคือ…” นางลืมตาโต รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เป็นเพราะนางนึกถึงคำพูดของเหล่านักพรตที่ตนเองวิงวอนขอให้อีกฝ่ายรับตนเป็นศิษย์
วาจาของนักพรตเหล่านั้นแทบจะเป็นอย่างเดียวกัน
“คิดจะบำเพ็ญเต๋า ถ้าไม่ละทิ้งการแก้แค้นตั้งแต่ตอนนี้ ก็ไปแก้แค้นก่อนแล้วค่อยกลับมา จัดการตัวเองให้เรียบร้อย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
ตอนนี้ต่อให้จวงอิ่นเสวี่ยจะโง่อย่างไร ก็ทราบว่าคนตรงหน้าไม่ธรรมดา
หน้างามของนางร้อนขึ้นเล็กน้อย จิตใจเกิดความตื่นเต้น ทั้งยังประหม่าขึ้นเรื่อยๆ แต่พอได้ยินเงื่อนไขที่ตัวลู่เซิ่งบอก ดวงตาที่ตอนแรกเปล่งประกายของนางก็ริบหรี่ลงทันที
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ…นางจึงค่อยส่งเสียง
“ข้า…ทำไม่ได้…”
ลู่เซิ่งยิ้ม
“แล้วเจ้าทำอะไรได้”
จวงอิ่นเสวี่ยกัดริมฝีปาก
“ข้าทำทุกสิ่งที่ข้าทำได้!” นางพลันคุกเข่ากับพื้น “ท่านเซียนได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”
นางสัมผัสได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าลู่เซิ่งไม่ธรรมดา แต่พอมาถึงตอนนี้ นางค่อยเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า คนผู้นี้น่าจะเป็นเซียนผู้เร้นกายหรือยอดคนสำนักเต๋าในตำนานอย่างแน่นอน
ความจริงในสายตาคนธรรมดาอย่างพวกนาง ขอแค่เป็นคนบำเพ็ญเต๋าหรือเป็นคนมีอิทธิฤทธิ์ก็ล้วนเป็นเซียนทุกคน
นางไม่สนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว ขอแค่เป็นเซียน ขอแค่มีโอกาสแค่สักครึ่ง นางจะไม่ยอมละทิ้งเด็ดขาด
“เจ้าบอกว่าเจ้าทำทุกอย่างได้หรือ” ลู่เซิ่งใช้สายตาที่แฝงรอยยิ้มกวาดผ่านร่างของจวงอิ่นเสวี่ย
“เจ้าค่ะ!” จวงอิ่นเสวี่ยกัดฟันก้มหน้า ร่างสั่นเทา “ขอร้องล่ะเจ้าค่ะท่านเซียน!” นางโขกศีรษะอย่างแรง แต่พอโขกศีรษะลงไปโดนเบาะอากาศที่อ่อนนุ่ม นางจึงทั้งแตกตื่นทั้งยินดียิ่งกว่าเดิม
คนที่มีความสามารถแบบนี้ได้จะต้องเป็นเซียนผู้เร้นกายในตำนานอย่างแน่นอน
“ตอนแรกคิดจะมาเดินเล่นเฉยๆ แต่การได้ร่วมทางกับเจ้าในสภาพแวดล้อมแบบนี้ก็นับว่าเป็นวาสนาเหมือนกัน” ลู่เซิ่งหัวเราะ “เจ้าว่าเจ้าทำได้ทุกอย่างเลยหรือ”
“เจ้าค่ะ!” จวงอิ่นเสวี่ยใจคอไม่ดี…หรือว่าผู้ที่ตนได้พบจะเป็น…
แต่นางไม่กล้ายอมแพ้ ความหวังลดน้อยลงเรื่อยๆ จนใกล้จะไม่เห็นอีกแล้ว นางจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!
“ขอแค่ท่านเซียนรับข้าเป็นศิษย์ ข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง!”
“ข้าให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็จะทำอย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น
“เจ้าค่ะ!” จวงอิ่นเสวี่ยกัดฟันพร้อมกับพยักหน้า
เงียบงันกันสักพัก
“แล้วถ้าข้าให้เจ้าไปตายเล่า” ลู่เซิ่งเงยหน้ามองไปยังยอดเขากลางนภาที่ค่อยๆ เข้าใกล้
“ตายหรือ?!”
จวงอิ่นเสวี่ยหน้าซีดในบัดดล
นางช้อนตามองลู่เซิ่งเพื่อยืนยันอีกครั้ง ลู่เซิ่งไม่มีความคิดจะล้อเล่นกับนาง
นางก้มหน้าลง สีหน้าโดดเดี่ยวกว่าเดิม ความหวังในตอนแรกมืดสลัวลงอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นนางชักกระบี่ออกมาปาดคอตัวเอง
ฉูด!
เลือดกระจัดกระจาย จวงอิ่นเสวี่ยลืมตาโต หงายล้มไปด้านหลังอย่างอ่อนแรง เลือดจำนวนมากทะลักออกมาจากลำคอของนางไม่หยุด
ลู่เซิ่งงุนงง ด้วยนึกไม่ถึงว่าแม่นางคนนี้จะใจเด็ดปานนี้ เขามองออกว่าจวงอิ่นเสวี่ยไม่ใช่จะฆ่าตัวตายจริงๆ แต่เดิมพันด้วยการฆ่าตัวตาย เดิมพันกับความหวังที่เลื่อนลอยนี้
ดาดฟ้าเรือเปรอะเปื้อนเลือด จวงอิ่นเสวี่ยล้มพับกับพื้นแล้วหยุดเคลื่อนไหว เส้นเลือด เส้นชีพจร และหลอดลมถูกตัดขาดไปพร้อมกัน
เลือดไหลท่วมปอดจนไม่มีอากาศเข้าไป จวงอิ่นเสวี่ยหน้าซีดลงเรื่อยๆ ใกล้จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
ฆ่าคน!
รอบๆ ท้องเรือที่อยู่ไม่ไกลออกไปมีคนเห็นเหตุการณ์นี้ ส่งเสียงหวีดร้อง ยังมีคนรีบรุดมาทางด้านนี้ด้วย
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบนเรือ ในฐานะตระกูลพายเรือไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดการอย่างเหมาะสม ไม่อย่างนั้นกิจการในวันหน้าจะได้รับผลกระทบด้านลบที่ยากจะลบล้าง
มีผู้คุ้มกันหลายคนตะโกนพร้อมกับโถมตัวเข้าใส่ลู่เซิ่ง
“เจ้าคนชั่วกล้าฆ่าคนได้อย่างไร!?”
“จับตัวมันไว้!”
เสียงตะโกนดังออกมาเป็นกลุ่มๆ
ลู่เซิ่งกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เพียงแค่มองดูจวงอิ่นเสวี่ยที่สติเลือนรางอย่างเรียบเฉยเท่านั้น
“ประเสริฐ!”
เ