ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1342 ข้าเคยมาแล้ว
ชือรุ่ยเออร์หันมองทางนางด้วยความประหลาดใจ
“พระราชวังเมฆาสวรรค์?”
เจียงจื่อหยวนกระตุกมุมปากของตนเองขึ้น แต่ดวงตาไม่มีรอยยิ้มเลย
“ใช่แล้ว เจ้าคงยังไม่รู้ใช่หรือไม่? พระชายาของพระราชวังเมฆาสวรรค์ มีอินทรีสามตาอยู่หนึ่งตัวพอดี และที่บังเอิญไปมากกว่านั้นก็คือ นางก็มีกษายะหางวายุตัวหนึ่งเช่นเดียวกัน”
“ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรสองตัว? แล้วยังเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด? เป็นไปได้อย่างใด?”
ปฏิกิริยาแรกของชือรุ่ยเออร์คือการส่ายหน้า
เหล่าสัตว์อสูรมีนิสัยหยิ่งผยอง ไม่มีทางเลือกรับใช้เจ้านายกับผู้อื่นเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองตัวนั้นเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์?
“ข้าไม่กล้าโกหกต่อหน้าศิษย์พี่หรอก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ศิษย์พี่ไปสืบเอาก็น่าจะรู้แล้ว”
ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนั้นซั่งกวนเยว่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์สองตัว ในตอนนั้นนางจะแพ้ได้อย่างใด?
จนกระทั่งตอนนี้ นางยังไม่รู้เลยว่าซั่งกวนเยว่ผู้นั้นทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างใด
เมื่อได้ยินเจียงจื่อหยวนพูดเช่นนี้ ชือรุ่ยเออร์ก็รู้สึกประหลาดใจไป
เรื่องแบบนี้เจียงจื่อหยวนไม่จำเป็นต้องโกหก
ท้ายที่สุดแล้วความจริงเป็นอย่างใดแค่ไปสอบถามพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็รู้ได้แล้ว
นางพูดเช่นนี้…หมายความว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง?
“หากเป็นเรื่องจริง ถ้าข้ามีโอกาสจะต้องลองไปที่นั่นดูเสียหน่อย”
ชือรุ่ยเออร์ครุ่นคิด จากนั้นก็หัวเราะออกมาหนึ่งเสียง
“สมแล้วที่เป็นพระชายาที่หรงซิวเลือก ไม่ได้แย่เท่ากับข่าวลือในสำนักใช่หรือไม่? เจียงจื่อหยวน เจ้าว่าอย่างใด?”
ใบหน้าของเจียงจื่อหยวนแข็งค้างไป
คำพูดนี้เป็นการประชดประชันนางอย่างชัดเจน!
เพราะว่าในตอนแรก ข่าวลือเรื่องพระชายาพระราชวังเมฆาสวรรค์ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นเรื่องที่มาจากนางทั้งหมด
และแน่นอนว่านางไม่เคยพูดอันใดดีๆ เกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เมื่อถูกส่งผ่านไปมา ก็ทำให้เป็นเรื่องที่ย่ำแย่อย่างมาก
เจียงจื่อหยวนหัวเราะขึ้นมาอย่างฝืนๆ
“…ศิษย์พี่พูดได้อย่างถูกต้อง”
“หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่รู้ว่าในสำนักเป็นอย่างใดบ้าง คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะคดโกงมากขึ้น บางคนพรสวรรค์ไม่เทียบเท่ากับคนอื่น แต่ไม่ยอมเพียรพยายามบากบั่นเรียนรู้เพื่อก้าวข้ามผู้อื่น อีกทั้งยังพยายามสาดโคลนใส่ผู้อื่น พยายามที่จะทำลายชื่อเสียง และลากคนอื่นให้ลงมาด้วยกัน…”
ชือรุ่ยเออร์หัวเราะเสียงเย็นเบาๆ
“ถ้ามีเวลาเจ้าจะต้องดูแลให้ดีนะ”
เจียงจื่อหยวนเมื่อถูกคำพูดเช่นนี้ก็พูดอันใดไม่ออก ใบหน้าของนางเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว
ฉู่หลิวเยว่ที่ยืนมองอยู่ด้านข้าง ก็เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
หึ
น้อยมากที่นางจะเห็นเจียงจื่อหยวนถูกใครสักคนบีบบังคับ แม้กระทั่งตอนแรกที่เจอในพระราชวังเมฆาสวรรค์นางก็ยังทำตัวเป็นนายท่านอยู่ครึ่งส่วนเสมอ
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชือรุ่ยเออร์ นางกลับเก็บหัวเก็บหาง ราวกับกลัวว่าชือรุ่ยเออร์จะทำอันใดนางสักอย่าง
หากไม่ใช่ว่าตอนนี้โอกาสไม่เหมาะสม นางก็อยากจะถามออกไปจริงๆ ว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
“จริงสิ เจียงจื่อหยวน ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าหลังจากที่เจ้าหนีออกมาแล้ว ก็ได้เจอการล้อมโจมตีอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นทำให้นางกับคนอื่นต้องพลัดพรากแยกจากกันใช่หรือไม่?”
เจียงจื่อหยวนพยักหน้าอย่างประหม่า เหมือนกับว่ายังคงหวาดกลัวเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ถ้าเช่นนั้นก็บอกพวกเรามาสิว่าตอนนั้นมันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
เจียงจื่อหยวนพูดขึ้นเสียงเบา
“…ตอนนั้นข้าตกใจเป็นอย่างยิ่ง จึงสนใจแค่วิ่งหนี เรื่องราวอื่นๆ ข้าไม่ค่อยชัดเจน และจำไม่ค่อยได้…”
“ถ้าเช่นนั้นก็พูดเรื่องรายละเอียดที่เจ้าหลบหนีมาก็ได้”
ชือรุ่ยเออร์เน้นคำว่า “หลบหนี” อย่างชัดเจน พร้อมยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ยิ่งเจ้าพูดละเอียดมากเท่าไร มันก็จะช่วยพวกเราได้มากเท่านั้น ไม่ใช่ว่า…หรือว่าเจ้าไม่อยากจะเล่าให้พวกเราฟังงั้นหรือ?”
เจียงจื่อหยวนรู้สึกผิดอยู่สักพักหนึ่ง นางเริ่มคำนวณในสมองอย่างรวดเร็ว
ชือรุ่ยเออร์ผู้นี้มีสายตาที่เฉียบคมยิ่งนัก
นางถูกโจมตีสองครั้งจริง และใช้ช่วงชุลมุนในการวิ่งหนี แต่ความเป็นจริงนั้นแตกต่างจากสิ่งที่นางเล่าให้ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ ฟังอย่างมาก
ถ้าพูดออกไปละก็…
ไม่!
พูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด!
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่มีใครรับรู้โดยเด็ดขาด!
ไม่เช่นนั้น…
“ศิษย์พี่เข้าใจผิดไปแล้ว ข้าจะไม่อยากเล่าให้เจ้าฟังได้อย่างใด? ข้า…ตอนนี้สมองของข้าสับสนมึนงงไปเล็กน้อย รอจนข้าสามารถนึกออกแล้ว…”
“คิดให้เยอะหน่อยก็ดี”
ชือรุ่ยเออร์หัวเราะขึ้นมาเสียงเบา
“หลังจากจัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว อยากจะพูดอันใดก็ค่อยพูดก็ยังไม่สาย”
คำพูดเหล่านี้เหตุใดมันดูไม่รื่นหู แต่เจียงจื่อหยวนไม่รู้ว่าควรจะโต้เถียงอย่างใด จึงได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้
นางหลุบสายตาลงต่ำ ใบหน้าดูซีดเซียว ท่าทางน่าสงสารอย่างมาก
ทำให้ไม่มีใครมองเห็นแววตาที่ซ่อนไปด้วยความขุ่นเคืองของนาง
ชือรุ่ยเออร์เล็งเป้ามาที่นางตั้งนานแล้ว ไม่ใช่แค่วันสองวัน
ใช่ว่าในใจของเจียงจื่อหยวนจะไม่มีความขุ่นเคืองเลย
แต่ไม่ว่าอย่างใดชือรุ่ยเออร์ก็เป็นคุณหนูรองแห่งเฟยซิงเหมิน อีกทั้งนางก็ถูกเลี้ยงดูให้เป็นทายาทมาตั้งแต่เด็ก ฐานะสูงส่ง พรสวรรค์และฝีมือแข็งแกร่งมากกว่านาง
ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายมีมากเกินไป นางจึงทำได้เพียงอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า
โชคดีที่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน นางก็จากไป
คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากผ่านมาหลายปีแล้วจะได้มาเจอกันอีก
“ใช่แล้ว รุ่ยเออร์พูดได้ถูกต้อง เจ้าพักรักษาตัวให้ดีก่อน เรียบเรียงความคิดของตนเอง จากนั้นค่อยพยายามอธิบายให้ละเอียดที่สุด ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะสามารถพบเบาะแสและหาตัวปั๋วเหยี่ยนเจอก็ได้”
เห็นด้วยกับคำพูดของชือรุ่ยเออร์ จึงกล่าวเสริมอีกประโยค
เจียงจื่อหยวนทำได้เพียงยิ้มฝืนๆ
“เจ้าค่ะ จื่อหยวนทราบแล้ว”
…
หลังจากที่ทุกคนเดินไปสักพัก ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง
อุณหภูมิยามค่ำคืนหนาวจับใจ หากยังรั้งอยู่ที่เดิม จำเป็นจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรักษาอุณหภูมิร่างกายเดิมของตนเองเอาไว้
อีกทั้งหากไม่ระวังก็จะทำให้หลับไปได้ตลอดกาล
ดังนั้นทุกคนจึงเลือกที่จะเดินหน้าต่อ
ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด มองไม่เห็นแสงจันทร์ ดวงดาวไม่กี่ดวงที่ส่องแสงกะพริบ
ทุกคนเดินหน้าไปอย่างเงียบเชียบ
ทันใดนั้นเองฉู่หลิวเยว่ก็ได้ยินเสียงปฐมกษัตริย์ดังขึ้นในโสตประสาท
“เยว่เออร์”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจเล็กน้อย
“เกิดอันใดขึ้นหรือองค์ไท่จู่?”
ปฐมกษัตริย์ชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นมาว่า
“ข้ารู้สึก…คุ้นเคยกับที่แห่งนี้”
เสียงของเขานั้นเบามาก แต่มันดังในโสตประสาทของฉู่หลิวเยว่ ราวกับเสียงฟ้าผ่า
แต่นางรู้ดีว่า ถ้าองค์ปฐมกษัตริย์ไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งผิดปกติ อีกฝ่ายจะไม่มีทางพูดมันขึ้นมาเด็ดขาด
“ท่านนึกอันใดขึ้นมาได้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามในใจเสียงเบา
“ยังไม่มี แต่ว่า…ข้าน่าจะเคยมาที่นี่”
ความจริงแล้วตั้งแต่ที่เข้ามาในบุพกาลชายแดนเหนือ ตอนที่เดินออกจากค่ายกลมา นี่เป็นความรู้สึกแรกที่เขารู้สึก
ขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ความรู้สึกแบบนี้ก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดตอนนี้เขาก็สามารถมั่นใจและพูดออกมา
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแปลกใจ
“ท่านมั่นใจใช่หรือไม่?”
องค์ปฐมกษัตริย์ตอบรับสั้นๆ หนึ่งเสียง
“เหมือนข้าจะรู้ว่า…ที่แห่งนี้ควรเดินทางอย่างใด”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน
“ฉู่เยว่ เป็นอันใดไปหรือ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่เดินทางอยู่ด้านข้างของฉู่หลิวเยว่มาโดยตลอด เมื่อเห็นว่านางหยุดวิ่งลง จึงหันไปมองด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่ได้สติกลับคืนมา ก่อนจะปกปิดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีอันใดขอรับ ข้าเพียงแค่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงถอนหายใจออกมา ควันสีขาวลอยออกจากปากของเขา
ที่แห่งนี้หนาวมากจริงๆ ไม่ว่าจะเดินอย่างใดก็กินแรง
“ข้าเห็นว่าทุกคนเริ่มเหนื่อยแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็นั่งพักสักครึ่งชั่วยามเป็นอย่างใด?”
ทุกคนเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้
ความจริงแล้ว พวกเขาวิ่งมาทั้งวันแล้ว ในตอนนี้ก็เกือบจะไม่สามารถวิ่งต่อไปได้แล้ว
ทุกคนจัดการทำความสะอาดท่ามกลางทุ่งหิมะโล่ง จากนั้นก็นั่งลงไป ทุกคนต่างเริ่มโคจรลมปราณของตนเอง
ที่แห่งนี้มีเพียงข้อดีข้อเดียวเท่านั้น คือมีพลังปราณดั้งเดิมเข้มข้น
ฉู่หลิวเยว่นั่งลงแล้วหลับตาทั้งสองข้าง
“องค์ไท่จู่ เชิญท่านพูดต่อเจ้าค่ะ”