ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2003 ป้ายไม้ที่คุ้นตา
ตอนที่ 2003 ป้ายไม้ที่คุ้นตา
………………..
เมื่อข้อความปรากฏขึ้น ทุกคนต่างประหลาดใจ
หงอันยืดตัวขึ้นและสะบัดแขนเสื้อ
ค่ายกลสีแดงที่อยู่รอบๆ ได้สลายไปในทันที
หลังจากนั้นป้ายไม้ก็พุ่งออกมาจากมือของเขา!
หึ่ง!
ตามมาด้วยเสียงหึ่งๆ เช่นนี้ ค่ายกลสีเงินขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน!
แรงบีบคั้นอันทรงพลังยังคงแพร่กระจายจากด้านบนออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนบนยอดเขาต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและตกใจ
“ด้านหลังค่ายกลนี้ คือพื้นที่เล็กๆ ที่แยกตัวอิสระ และระยะห่างก็มีการดำรงอยู่ที่ใกล้กับอาณาจักรเสิ่นซวี่แค่เพียงประตูสวรรค์กั้นเท่านั้น! เพียงแค่ลอดผ่านค่ายกลนี้ และเข้าไปด้านใน พวกเขาก็สามารถเจอประตูนแดนสวรรค์ และข้ามเข้าสู่อาาณาจักรเสิ่นซวี่”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่สว่างขึ้น มาแล้ว!
“เดิมทีค่ายกลนี้น่าจะเริ่มใช้หลังจากหนึ่งเดือน แม้ว่าตอนนี้พวกเจ้าไม่มีความตั้งใจจะรออยู่ที่แล้ว ไม่สู้ล่วงหน้าไปก่อน”
คำพูดไม่กี่ประโยค ทำให้หัวใจของทุกคนสับสนพลุ่งพล่าน
เขาไท่อินแห่งนี้ค่อนข้างแปลกนัก มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนพวกเขามิอาจอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป
หากสามารถล่วงหน้าเข้าไปได้ แน่นอนว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว!
หงอันมองไปที่พี่น้องสองคนนั้น
“ภายในพื้นที่เล็กๆ นั่น เต็มไปด้วยพลังแห่งสวรรค์และโลก อีกทั้งมีสมบัติอันล้ำค่ามากมาย หลังจากที่พวกเจ้าไปแล้วนั้นก็สามารถฟื้นฟูพลังได้เป็นอย่างดี เมื่อร่างกายดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าสามารถจากไปได้ตามต้องการ แน่นอนว่าหากพวกเจ้าต้องการไปอาณาจักรเสิ่นซวี่อีกครั้ง โอกาสยังคงอยู่”
“ขอบคุณใต้เท้าหงอันยิ่งนัก!”
อันที่จริงเขาอารมณ์เสียอย่างมาก
เดิมทีควรพาคนเหล่านี้มาอยู่ที่นี่หนึ่งเดือน แต่บัดนี้เพิ่งผ่านไปสองวัน ไม่ว่าอะไรล้วนจับไม่ได้จึงต้องส่งพวกเขาเข้าไป
ครั้งนี้นับว่าเขาล้มเหลวมากจริงๆ
แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ก็ไม่มีวิธีแก้ไขอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว
ล้มเหลวก็คือล้มเหลว ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม
ยิ่งกว่านั้นภายในสถานการณ์นี้ ยังมีคนไม่ธรรมดาอยู่สองสามคน
สุดท้ายบางทีอาจมีรางวัล ก็เป็นไปได้
เมื่อคิดเช่นนี้ ในที่สุดอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย
เขาเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยและพุ่งไปก่อนถึงค่ายกลสีเงินนั่น
“บัดนี้ทุกท่านเข้าแถวเรียงตามอันดับแล้วเข้าไปก็พอ!”
แทบจะในทันทีที่มีคนก้าวไปข้างหน้า
“ข้าไปก่อนนะ!”
โอกาสดีเช่นนี้เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจสำหรับพวกเขาเท่านั้นจริงๆ
ใครจะไม่อยากเหนือกว่าคนอื่น แล้วใครจะไม่อยากกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่ากันเล่า
เบื้องหน้าความล่อล่วงใจและผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ จึงแทบไม่มีใครสามารถประคองสติเอาไว้ได้
นอกจากหงอันแล้วที่นี่ก็มีทั้งหมดห้าสิบคน
ขั้นตอนดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเพียงไม่นาน ก็สามารถเข้าไปได้หนึ่งในสามส่วนแล้ว
เด็กหนุ่มคนนั้นประคองน้องชายของตนและเดินตามเข้าไป
ใครๆ ต่างมองเห็นความตื่นเต้นและกระตือรือร้นบนหน้าของพวกเขา
หรงซิวยิ้มเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่มองดูอย่างเงียบๆ
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยช่วยเหลือคนแปลกหน้า
การลงมือครั้งนี้ จุดประสงค์หลักคือต้องการดึกแผนการของหงอันออกมา
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว สองพี่น้องนั่นกลับเลือกที่จะอยู่ต่อ…
เช่นนี้ไม่ว่าใครก็ช่วยไม่ได้
“พวกเราก็ไปกันเถอะ?”
เฮ่อจื่อจี้พูดขึ้น
เขามองไปที่หรงซิวและทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัวฃลยฃว
ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดเขามักรู้สึกว่าการติดตามพวกเขา ทำให้เขารู้สึกวางใจอย่างมิอาจอธิบายได้
เท้าทั้งคู่ของเฮ่อจื่อหลานเหมือนตอกลงกับพื้นไว้แน่นและนางถามขึ้นด้วยความลังเล
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่เข้าไปไม่ได้เหรอ ข้า…ข้ามักจะรู้สึกว่า…มีบางอย่างผิดปกติ…”
เฮ่อจื่อจี้แค่คิดว่าเป็นเพราะนางยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จึงพูดขึ้น
“ไม่มีสิ่งใดผิดปกติหรอก มีแต่เจ้าที่กลัวไปเองก็เท่านั้น วางใจเถอะ มีพี่ใหญ่อยู่จะต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยนะ?”
เฮ่อจื่อหลานกระทืบเท้า
นางก็รู้ว่าตอนนี้เมื่อขี่หลังเสือแล้วยากที่จะลงได้
และไม่สามารถเอาชนะพี่ใหญ่ได้ นางทำได้เพียงรับปากกลับไปเท่านั้น
ขณะนี้ผู้คนได้ทยอยเข้าไปกว่าครึ่งแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มและมองไปทางหรงซิว
“ไปเถอะ! ไปดูกันว่าด้านในนี้ แท้จริงแล้วสวรรค์และโลกเป็นแบบใด!”
หรงซิวพยักหน้าและจับมือนาง ทั้งสองจึงเดินเคียงข้างกันเข้าไป
เฮ่อจื่อจี้พี่น้องทั้งสองตามหลังพวกเขาไป
ผมหน้าม้าที่อ่อนนุ่มและละเอียดอ่อน ปกคลุมคิ้วของเขาไว้
ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเห็นคิ้วขมวดเล็กน้อยของเขา รวมทั้งความลังเลและความรังเกียจที่แวบขึ้นมาในดวงตาของเขา
“มีอันใดงั้นหรือ”
หงอันยืนอยู่ด้านหน้าค่ายกลนั่น และเห็นฝีเท้าของเสี่ยวโจวหยุดชะงักลง รู้สึกแปลกใจจึงเอ่ยถามขึ้น
“หรือว่าครั้งนี้เจ้ายังจะกลับคำอีกหรือ”
เด็กหนุ่มผมทองคนนี้ เขารู้สึกประทับใจยิ่งนัก
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความสามารถและความแข็งแกร่งของเขาที่โด่ดเด่นอย่างมากจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาคงไม่ไว้หน้าถึงเพียงนั้น
“ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ ครั้งนี้…จะไม่มีโอกาสได้กลับคำอีก เข้าใจหรือไม่”
ด้วยอารมณ์ที่ถูกบดขยี้กับเรื่องเหล่านี้ หงอันจึงรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมากและเหลือความอดทนเพียงเล็กน้อย ที่หมดสิ้นไปนานแล้วตอนเขาเปิดค่ายกล
ดังนั้นเมื่อพูดกับเสี่ยวโจว จึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป
ดวงตาของเสี่ยวโจวเปล่งประกายและค่อยๆ พยักหน้า
“ข้ารู้”
หลังจากพูดจบเขาก็ยกเท้าขึ้นและก้าวเข้าไปทันที!
เหนือค่ายกลมีคลื่นลูกหนึ่งวาบหายไปในทันที
หรงอันมองดูอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกมีบางอย่างผิดปกติอย่างอธิบายไม่ได้ แต่รายละเอียดก็มิอาจบอกได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงไพเราะก้องกังวาลดังขึ้นจนรบกวนความคิดของเขา
“ใต้เท้าหงอันใจดียิ่งนักที่ช่วยกางค่ายกลไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อทุกคน”
บนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ราวกับนางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะขอบคุณท่านอย่างไร”
เมื่อเห็นเป็นนาง สีหน้าของหงอันก็ดูดีขึ้นเล็กน้อยและยิ้มอย่างเก้อเขิน
“ที่นี่มีอะไร ล้วนเป็นสิ่งสมควร! ท้ายที่สุดแล้วคนที่มารวมตัวกันที่นี่ล้วนเป็นผู้ฝึกที่มีความสามารถยอดเยี่ยม!”
เขายกคางขึ้น
“พวกเจ้าก็รีบเขาไปเถอะ!”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับและกำลังจะยกเท้าขึ้น จู่ๆ นางหยุดการเคลื่อนไหวอีกครั้ง
นางเงยหน้าขึ้นมองไปทางศูนย์กลางของค่ายกล
ที่นั่นมีป้ายไม้อันหนึ่งลอยตัวอยู่เงียบๆ
นี่คือสิ่งที่หงอันขว้างออกไปเมื่อครู่นี้ ค่ายกลขนาดใหญ่นี้ก็ถูกเรียกออกมา
หงอันมองตามสายตาของนางและขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“มีอันใดหรือ”
ป้ายไม้นี้มีอะไรน่าสนใจกันนะ
มุมปากของฉู่หลิวเยว่โค้งงอขึ้นราวกับแสร้งยิ้มพลางพูดขึ้นว่า
“ไม่มีอันใด ข้าแค่คิดว่าใต้เท้าหงอัน ป้ายไม้ของท่าน ดูแล้ว…ค่อนข้างคุ้นตาเล็กน้อย”