ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2004 แปลกประหลาด
ตอนที่ 2004 แปลกประหลาด
………………..
หงอันเฝ้าระวังในทันทีพลางเอ่ยขึ้น
“เอ่อ? เจ้าเคยเห็น?”
ฉู่หลิวเยว่พูดด้วยรอยยิ้มขึ้นว่า
“ในตอนแรกข้าบังเอิญเห็นป้ายไม้ที่คล้ายๆ กันบนร้านแผงแผงลอยเล็กๆ มองเพียงแวบเดียวก็คล้ายกันมาจริงๆ แต่ป้ายไม้นั่นยังห่างไกลจากความประณีตงดงามของท่านนัก หากมองให้ละเอียดลักษณะก็แตกต่างกันพอสมควร”
หัวใจที่สั่นไหวของหงอันก็วางลงได้อย่างโล่งใจ
ที่แท้เป็นเช่นนี้…
บนแผงลอยเล็กๆ จะมีของดีเช่นนั้นได้อย่างไร มีเพียงแปดส่วนที่ป้ายไม้บังเอิญมีลักษณนะคล้ายกันอยู่เล็กน้อยก็เท่านั้น
สุดท้ายแล้วป้ายไม้ลักษณะเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วความแตกต่างจะไม่มากนัก
“สถานะของท่านสูงส่ง ของที่ติดตัวก็ย่อมไม่ปกติธรรมดา จะเทียบกับสิ่งของที่หยาบๆ เหล่านั้นได้อย่างใด”
คำพูดที่สงบเรียบเย็นของฉู่หลิวเยว่ ช่วยลบล้างความสงสัยของหงอันเป็นอย่างดี
เขาหัวเราะลั่น
“เอาล่ะ ล้วนเป็นสิ่งเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ ไม่มีสิ่งใดต้องใส่ใจ พวกเจ้ารีบเข้าไปเร็วๆ อย่างถ่วงเวลาเลย”
ฉู่หลิวเยว่คล้อยตามความเห็นของเขาไป
หรงซิวก้าวไปข้างหน้าก่อน เมื่อข้ามผ่านค่ายกลนั่น ดวงตาของเขาหุบลงเมื่อมีแสงจ้าวาบเข้ามาในตาของเขา
“เยว่เออร์”
เขาหันกลับมาและตะโกนขึ้น
ฉู่หลิวเยว่จับมือเขาและเดินตามเขาเข้าไป
คลื่นบางๆ กระเพื่อมอยู่บริเวณรอบๆ
หรงซิวยกมือขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาเพียงชั่วครู่ สายตาของหงอันกำลังมองไปที่อื่นอีกครั้ง และแม้แต่เพียงครึ่งก็มิอาจสัมผัสมถึงมันได้
ร่างทั้งสองหายไปอย่างรวดเร็วภายในค่ายกล
เฮ่อจื่อจี้พี่น้องสองคน ก็รีบตามเข้าไป
…
เมื่อผ่านค่ายกลมาแล้ว ฉู่หลิวเยว่ยืนนิ่งและมองไปทางข้างหน้า
ภูเขาทับซ้อนอย่างต่อเนื่อง ต้นไม้เขียวชอุ่ม
ด้านล่างเป็นหุบเขาแห่งหนึ่งที่มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน
เต็มไปด้วยพลังแห่งสวรรค์และโลก เมื่อเทียบกับพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็ไม่ดูด้วยกว่าเลย!
แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจมากนัก
ดวงตาของนางแข็งค้างพลางจ้องมองไปยังทิวทัศน์ขอบฟ้าในระยะไกล
ท้องฟ้าสีคราม ไร้ซึ่งเมฆหมอก
ม่านแสงที่ตกลงมาจากท้องฟ้า!
จริงๆ แล้วมันคือ…ประตูแดนสวรรค์!
เมื่อทุกคนทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่ทยอยกันมาถึงอย่างต่อเรื่องได้เห็นภาพนี้ ต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า เมื่อเห็นพลังม่านแสงประตูแดนสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ หัวใจและดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ประตูแดนสวรรค์! นั่นก็คือประตูแดนสวรรค์จริงหรือ”
“สิ่งที่ใต้เท้าหงอันพูดไว้เป็นเรื่องจริง! ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังงานของสวรรค์และโลกที่สูงกว่าด้านนอกมากหลายเท่านัก!”
“ขอเพียงผ่านประตูแดนสวรรค์นั่น ก็สามารถไปถึงอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้ใช่หรือไม่ ที่แห่งนี้เหมือนการมีอยู่ของแดนสวรรค์ ไม่รู้จริงๆ ว่าภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่นั้นจะเป็นอย่างใดกัน”
…
เสียงพูดคุยต่างๆ นาๆ ดังขึ้น ส่วนใหญ่ถอนหายใจและมีความปรารถนา
“ที่แท้ด้านในนี้ ก็เป็นเช่นนี้…”
หลังจากตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เขย่าแขนของเฮ่อจื่อจี้ด้วยความตื่นเต้น
“พี่ใหญ่! โชคดีที่พวกเราไม่ไปไม่เช่นนั้นคงได้สูญเสียครั้งใหญ่จริงๆ การทดสอบนี้…สมคำร่ำลือจริงๆ!”
ใบหน้าของเฮ่อจื่อจี้ ก็มิอาจปิดบังความตื่นเต้นเอาไว้ได้
“ไม่เช่นนั้นจะมีผู้ฝึกตนมากมายเข้ามาที่นี่อยู่เรื่อยๆ ได้อย่างนั้นหรือ ดินแดนอันล้ำค่าสำหรับการฝึกฝนนั้นหาได้ยากยิ่งนัก!”
ใช่นะสิ
นอกอาณาจักรเสิ่นซวี่จะปรากฏดินแดนฝึกฝนอันดับหนึ่งของตระกูลขุนนางชั้นสูงที่เทียบกับอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้อย่างไร
ฉู่หลิวเยว่คุมสีหน้าเอาไว้และความคิดนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นมาในใจ
สาเหตุที่ผู้ฝึกตนมากมายนับไม่ถ้วนหลงไหลในอาณาจักรเสินซวี่ เพราะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งสวรรค์และโลก เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย จึงมีผู้แข็งแกร่งเกิดขึ้นมากมายอย่างรวดเร็ว
นอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ หากต้องการทะลวงขั้นระดับเทพขั้นสูงแทบเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
แต่ถ้าหากมีสภาพแวดล้อมในการฝึกฝนเช่นนี้และอยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ จะมีอะไรแตกต่างได้อีก
ประตูแดนสวรรค์นั่น ถือได้ว่าเป็นของตกแต่งที่ไร้ประโยชน์ด้วยซ้ำ
การปรากฏตัวของสถานที่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ปกติ
หรงซิวบีบมือของนาง
“ระวังตัวด้วย ที่นี่มีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์”
เสียงนั้นดังเข้ามาในหูและกระแทกเข้าที่หัวใจของนาง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทันทีที่เธอเข้ามาที่นี่ นางก็สัมผัสได้ถึงลมปราณที่แข็งแกร่งแต่คลุมเครืออยู่รอบๆ ตัว
เพียงแต่เป็นเพราะร่างของนางยังไม่ทะลวงขั้นถึงระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่กล้าแน่ใจมากนัก
แต่ขณะหรงซิวยังพูดเช่นนี้…
แต่ค่ายกลที่อยู่ด้านหลังกลับไม่หายไป
เพราะเดิมทียังมีสิ่งนั้นอยู่ ป้ายไม้ก่อนหน้าเพิ่งเรียกออกมา
ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาจากบนยอดเขาในระยะไกล
คนผู้นั้นรวดเร็วมาก เพียงชั่วอึดใจ เขาก็มาอยู่ต่อหน้าทุกคนแล้ว!
นี่คือชายที่ดูเหมือนอายุประมาณสามสิบปี สวมชุดคลุมสีดำและร่างสูงใหญ่
บนหน้าของเขามีรอยบาก
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นี่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงคนหนึ่ง
“หงอัน เหตุใดเจ้าถึงปล่อยคนเข้าไปเร็วเช่นนี้”
คนหน้าบากย่นคิ้วขึ้น เดิมที่เขามีใบหน้าที่เคร่งขรึมเย็นชาอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความดุร้ายอีกหลายส่วน
เดิมที่ทุกคนยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อได้ยินคำพูดนี้เสียงจึงเงีบบลง และมองหน้ากันไปมา
ผู้นี้เป็นใครกัน
เหตุใดดูเหมือนไม่ต้อนรับพวกเขา
หงอันขึ้นไปด้านหน้าพลางเอ่ยขึ้น
“ทางด้านเขาไท่อินมีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย ข้าจึงพาพวกเขามาล่วงหน้า ไม่อย่างใดสุดท้ายก็ต้องมา หากมาก่อนก็ไม่น่าจะเป็นอันใดนัก”
ขณะที่พูดเขาก็เพ่งสายตาไปทางคนหน้าบากผู้นั้น
อย่างไรก็ตามคนหน้าบากกลับไม่ยอมรับการกระทำเช่นนี้
เขาขมวดคิ้วแน่นขึ้น
“เขาไท่อินเกิดปัญหาอันใดขึ้น หากว่ามี…เจ้าก็ควรส่งข่าวกลับมาก่อน เหตุใดถึงรีบพาพวกเขากลับโดยไม่ไตร่ตรองเช่นนี้”
เมื่อถูกต่อว่าเช่นนี้ต่อหน้าทุกคน บนใบหน้าของหงอันก็ดูเสียหน้าอยู่บ้างทีเดียว
เมื่อกล่าวถึง ‘นายท่าน’ ชายหน้าบากคนนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวมากอย่างเห็นได้ชัด
เขามองดูทุกคนอีกครั้งและพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้บางส่วนว่า
“เจ้าเป็นคนพามา เจ้าต้องรับผิดชอบเอง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังและเดินไป
หงอันกัดฟันกรอกๆ และคิดอยากจะด่าสาดเสียเทเสีย แต่สุดท้ายเขาก็อดกลั้นเอาไว้
ในเวลาเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมาเสียอารมณ์เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
แต่คำพูดระหว่างสองคน กลับทำให้คนไม่น้อยเกิดความสงสัยขึ้น
“นายท่าน?”
เฮ่อจื่อหลานถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“พี่ใหญ่ เมื่อพวกเรามาถึงที่แห่งนี้ต้องอยู่ที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ด้วยหรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงมีใครนั่นปรากฏตัวออกมา”
เมื่อได้ฟังความหมายนั้นของหงอัน…
หรือว่าพวกเขาจะไปพบนายท่านอันใดนั่นหรือ
เมื่อก่อนก็ไม่เคยพูดนี่!
เฮ่อจื่อจี้ส่ายหัวและส่งสัญญาณให้นางหยุดพูดลง
ที่จริงแล้วในเวลานี้เขาเกิดความไม่สบายใจขึ้น
หลังจากที่ชายหน้าบากเดินไป ภาพเหตุการณ์ในตอนนี้ก็เข้าสู่ความเงียบอันน่าสะพรึงกลัว
หงอันหันกลับมา ดูเหมือนเขาไม่ได้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดนี้ และพูดว่า
“ทุกท่านตามข้ามา”