ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2195 ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 2196 น่าเสียดาย
ตอนที่ 2195 ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 2196 น่าเสียดาย
………………..
ตอนที่ 2195 ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยและไม่แยแส แสดงถึงความภาคภูมิใจที่สลักในกระดูก
ทุกคนเงียบไปชั่วครู่
ถึงแม้คำพูดนี้จะทำให้คนฟังรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก แต่ต้องยอมรับว่า…ไม่มีปัญหาอะไรในคำพูดนี้
หากสามารถรวมค่ายกลด้วยจำนวนที่น่าตกใจเช่นนี้และกลายเป็นสะพานหรือถนนได้ จะสามารถอธิบายปัญหาที่มากเกินไปได้แล้ว
ภายในของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าจะไม่เกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้จริงๆ
น้องแปดเม้มริมฝีปากแดงจนแทบจะกลอกตา
แต่เมื่อพิจารณาว่าตอนนี้อยู่ในอาณาเขตของคนอื่น นางจึงอดกลั้นเอาไว้อย่างที่สุด
กลุ่มคนที่ยังเสียงดังอยู่บ้างก่อนหน้า จากนั้นกลับเงียบสงบลง
ในที่สุดเมื่อถึงเวลานี้พวกเขาถึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าตนเองมาถึงสถานที่แบบใด
ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ พวกเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
สถานะเป็นที่เคารพนับถือ และเป็นที่ชื่นชม
ส่งผลให้หลังจากที่มาถึงที่นี่ พวกเขากลับกลายเป็นการมีอยู่ที่ตกต่ำที่สุดในที่แห่งนี้
สถานะเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน และหลายคนยังยอมรับได้ยากอยู่บ้างในช่วงเวลานี้
แม้ก่อนจะมาพวกเขาได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ ใครจะยอมรับด้วยรอยยิ้มว่าตนเองอ่อนแอเกินไป
จิ้นอวิ๋นไหลเหมือนรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ มุมปากยกขึ้นแต่ในสายตากลับไม่มีรอยยิ้ม
“เดิมที่เสินสื่อรู้ว่าพวกเจ้าไม่ยอมรับ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปพวกเจ้าก็จะเข้าใจทั้งหมดอย่างแน่นอน”
ขณะที่พูดเขายกมือขึ้นและชี้ไปทางซ้าย
ในสถานที่ไกลออกไปคือเทือกเขาที่ทอดยาวสลับซับซ้อน
ลายมือนี้…ช่างใหญ่จริงๆ!
จิ้นอวิ๋นไหลชี้ไปทางด้านขวาหน้าอีกครั้ง และมองเห็นคลื่นแสงที่พลุ่งพล่านราวกับทะเลสาบ
“ยังมีทางด้านนั้นคือ สระอัสนีที่เชี่ยวชาญในการหลอมอาวุธ ทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่ด้านใน ยังไม่มีวันหมดสิ้น หากพวกเจ้ามีความสามารถก็ไปลองพลังของสระอัสนีนั่นดูได้”
ตอนนี้ทุกคนต่างเงียบสงบลง
จัดการอย่างใจกว้าง เชื่อมั่นด้วยความมั่นใจเช่นนี้ ทำให้ผู้คนไม่อาจยอมรับได้จริงๆ
“สำหรับการฝึกฝนพลังปราณเดิม…เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด พวกเจ้าก็เห็นแล้วตรงทั้งสองด้านของถนนแห่งดวงดาวนี้มีลานมากมายนับไม่ถ้วน จัดเรียงกันเป็นแถวๆ พวกเจ้าจะเลือกสักที่หนึ่ง เป็นที่พักหรือฝึกฝนในภายหลังเป็นต้น และสามารถดำเนินการข้างในโดยตรงก็ย่อมได้”
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางทั้งสองด้าน มีจวนหลายหลังตั้งอยู่อย่างกระจัดกระจายจริงๆ
“ในวันปกติพวกเจ้าอยู่ที่นี่และไปมาได้ตามต้องการ แต่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์มีสองที่ที่พวกเจ้าจะไปไม่ได้”
ขณะที่จิ้นอวิ๋นไหลพูดพลางมองไปข้างหน้า
“ที่แรกด้านหน้าตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ และอีกที่คือพื้นที่ต้องห้ามที่อยู่ด้านหลังตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ สองที่นี้ห้ามเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ผลที่ตามมาพวกเจ้าไม่สามารถทนรับได้อย่างแน่นอน เข้าใจหรือไม่”
เมื่อพูดถึงช่วงท้านน้ำเสียงของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนต่างตื่นตกใจ
“ขอรับ ขอบคุณเสินสื่อสำดับที่เจ็ดที่ชี้แนะ”
ฉู่หลิวเยว่มองตามสายตาของเขาไปทางด้านหน้า แต่กลับตกตะลึงกับภาพตรงนั้นในทันที
ทางแห่งดวงดาวสิ้นสุด ตำหนักอันงดงาม ตั้งตระหง่าอย่างเงียบสงัด!
แต่ตำหนักนี้…นางเคยพบเห็นมาก่อน!
นี่คือหอกลางอากาศนั่นเคยปรากาฏขึ้นในทะเลทรายจันทราสีชาด
เพียงแต่ในเวลานี้หากไม่ถูกปกคลุมด้วยหมอกขาวนั่น ก็สามารถมองเห็นทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
เหนือตำหนักมีแผ่นป้ายตัวอักษรสีทองแขวนอยู่ ลายมือด้านบนนั้นแข็งแกร่งและทรงพลัง สง่างามราวกับหงส์ที่น่าตกใจ และทรงพลังราวกับมังกรว่ายน้ำ
ตอนที่ 2196 น่าเสียดาย
ฉากเลือนลางนั้นไม่เหมือนทั้งหมดที่เคยเห็นมาก่อน
ตำหนักที่เห็นตรงหน้า เต็มไปด้วยบรรยากาศอันกว้างใหญ่ เรียบง่ายและผ่านกาลเวลามายาวนาน ยังเผยให้เห็นความหมายอันศักดิ์สิทธิ์ จนแทบไม่กล้ามองมันตรงๆ
ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภาพนอกจะดูเหมือนกันทุกประการ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกอธิบายไม่ได้ว่าตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ที่เห็นทั้งสองครั้งนี้ พลังปราณแทบไม่เหมือนกันอยู่เล็กน้อย
แต่ส่วนไหนที่ต่างกัน นางกลับยากที่จะอธิบายออกมาได้
“นั่นคึอ…”
มีบางคนในกลุ่มที่ละเมิดกฎระเบียบที่จะเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ พลางยกนิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
“นั่นไม่ใช่เมื่อก่อน…นะ!”
ยังไม่ทันพูดจบ คนผู้นั้นก็สัมผัสได้ถึงความกดดันที่ทรงพลังยากจะเทียบได้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน!
เขาไม่ได้เตรียมพร้อมใด ๆ รู้สึกเพียงไหล่ของเขาหนักอึ้งและขาทั้งสองของเขาก็คุกเข่าลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ!
ตุ๊บ!
ขาของเขากระแทกลงบนถนนหยกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังขึ้น
คนผู้นั้นสูดลมหายใจเย็นๆ ด้วยความเจ็บปวด
จิ้นอวิ๋นไหลเดินเข้ามาที่ด้านหน้าของเขาและก้มลงมองดูเขาพลางตำหนิด้วยเสียงเรียบเย็น
“ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์เป็นการมีอยู่ที่มีอำนาจสูงสุด ข้าจะยอมให้เจ้าชี้นิ้วและกำเริบเสิบสานหรือ!”
คนผู้นั้นสีหน้าขาวซีดและเพิ่งรู้ว่าตนเองได้ทำผิดครั้งใหญ่เสียแล้ว
“ข้า ข้ารู้ผิดแล้ว! เสินสื่อโปรดอภัย!”
“ไม่มีครั้งต่อไป!”
“ขอรับ! ขอรับ! ขอบคุณเสินสื่อ!”
เมื่อคนผู้นั้นได้รับการอภัยโทษ จึงรีบขอบคุณในทันที
จิ้นอวิ๋นไหลมองไปรอบหนึ่ง
“จำไว้ ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ต้องระมัดระวังคําพูดและการกระทำ ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ พวกเจ้าดูแลตัวเองก็พอ”
ทุกคนค่อยๆ พยักหน้าเป็นการตอบรับ
จากนั้นจิ้นอวิ๋นไหลจึงหันหลังและจากไป เขามุ่งหน้าไปทางตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ต่อไป
จนกระทั่งร่างของเขาค่อยๆ ห่างไกลจนหายลับไป ชายที่คุกเข่าอยู่นั้นได้พ่นลมหายใจยาวออกมาและลุกขึ้นยืนด้วยร่างที่อ่อนแรง
ขณะนี้สีหน้าชองเขาขาวซีด หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเล็กๆ ที่ผุดออกมา
และเห็นได้ว่าเมื่อครู่เขาหวาดกลัวถึงเพียงใด
แต่ทุกคนที่อยู่ด้านข้างกลับไม่มีใครที่แสดงอาการเย้ยหยันออกมา กลับมีสีหน้าที่สับสน
ทว่าพียงแค่ยกมือขึ้นชี้ไปที่สิ่งที่เรียกว่าตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นั่น จึงทำให้เกือบถึงแก่ชีวิต
กฎของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นี้เข้มงวดมากจริงๆ!
พลังของพวกเขาไม่แตกต่างกันมาก หากกลับกันเป็นพวกเขา เกรงว่าคงไม่ดีไปกว่าสถานการณ์ของคนผู้นั้นมากนัก
จากความรู้สึกเดียวกัน อารมณ์ของพวกเขาย่อมไม่อาจผ่อยคลายลงได้
“ดูแล้วตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นี้ ล้วนต้องระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำจริง!”
ซ่งชิงลูบเคราพลางพูดขึ้นอย่างทอดถอนหายใจ
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นจนแข็งค้าง
จู่ๆ เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“ตอนนี้รู้เหตุผลนี้แล้ว ก็นับว่ายังไม่สาย!”
เมื่อทุกคนในยินเสียงจึงค่อยๆ หันหน้าไปมอง
มีไม้จิ้มฟันอยู่ในปากของเขา เขาดูเป็นคนที่เอ้อระเหยลอยชายอยู่หลายส่วน
ทว่าลมปราณบนตัวเขา กลับแข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ที่นี่ไม่น้อย
“เอ๊ะ? ยังมีคนที่ผูกถวนซิ่นจื่อด้วยหรือ”
เมื่อสายตาของชายผู้นั้นกวามองฉู่หลิวเยว่จึงเห็นถวนซิ่นจื่อที่ผูกไว้ที่เอวของนาง เขาจึงมองหน้านางอีกครั้งและแสดงความประหลาดใจขึ้นในทันที
“เทพศักดิ์สิทธิ์ที่อายุน้อยเช่นนี้? เป็นไปไม่ได้หรอก?”
ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ เพื่อทะลวงเทพศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ตามหลักแล้วอย่างไรก็ต้องอายุหลายสิบปีไปแล้ว หรือแม้กระทั่งมีอายุร้อยกว่าปีก็เป็นไปได้
“นางหนู เจ้าอายุเท่าใด”
เขาถามขึ้นอย่างสงสัย
“ดูแล้ว…น่าจะไม่ถึงหนึ่งร้อยปีกระมัง?”
“…ข้าน้อยอายุสิบแปด”
“น้องแปด! โกหกหรือ?”
ชายผู้นั้นพูดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ข้าจะบอกนางหนูว่า จริงๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกข้าล้วนมีชีวิตอยู่มานานนับพันนับหมื่นปีแล้ว แม้ว่าเจ้าจะอายุมากกว่าร้อยปีหรือมากกว่านั้นจริงๆ ในบรรดาพวกข้าก็นับว่ายังอายุน้อยยิ่งนัก”
“ทุกคำที่ข้าน้อยพูด ล้วนเป็นความจริง”
เมื่อเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งและแววตาที่จริงใจของนาง ชายผู้นั้นก็รับรู้ได้ว่านางไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เขาพ่นไม้จิ้มฟันออกมาทันทีและยืนตัวตรงมองนางอย่างละเอียด แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเห็นคนข้าง ๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมาโดยตลอด เขาจึงตบต้นขาอย่างรุนแรง
“เป็นจริงอย่างนั้นหรือ!”
ฉู่หลิวเยว่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เล็กน้อย
ชายผู้นั้นพยักหน้าเห็นด้วยและเอนตัวพิงขอบประตูอย่างเกียจคร้าน มองดูนางด้วยที่น่าเสียดายอยู่หลายส่วนครู่หนึ่ง
“ความสามารถที่ดีเช่นนี้ ช่างสูญเปล่าเสียจริง”
ในใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหว
นางเข้าใจความหมายของประโยคนี้
“ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยพบเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีมาก่อน เจ้าเป็นคนแรก น่าเสียดาย ที่เจ้ากลับไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์”
เขาส่ายหน้าด้วยแววตาเสียใจ
ฉู่หลิวเยว่เคยได้ยินเรื่องนี้จากจิ้นอวิ๋นไหลมาแล้ว ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด
“เฮ้ ที่แท้ผู้ที่ผูกถวนซิ่นจื่อ ไม่ได้มีแค่คนเดียว”
ชายผู้นั้นหันสายตาไปมอง จากนั้นจึงเห็นบนตัวเฉินอีและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างๆ ล้วนมีถวนซิ่นจื่อผูกอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
นับแล้วมีทั้งหมดหกคน สิ่งสำคัญที่สุดคือจริงๆ แล้วด้านในยังมีเทพขั้นสูงอีกสามคน!
“…พวกเจ้าทุกคนเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร บัดนี้ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์เข้ามาได้ง่ายเช่นนี้แล้วหรือ”
เดิมทีอารมณ์ของน้องแปดก็ไม่พอใจอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้าสุดท้ายจึงมิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้า…”
ฉู่หลิวเยว่กดมือของนางเอาไว้ และยิ้มน้อยๆ ให้ชายผู้นั้นพลางพูดว่า
“พวกข้าผ่านการตรวจสอบเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แม้ว่าเสินสื่อสำดับที่เจ็ดจะยอมปล่อยให้พวกข้าเข้ามาได้ ก็พิสูจน์ทุกอย่างได้แล้วไม่ใช่หรือ”
เมื่อผ่านจิ้นอวิ๋นไหลมาแล้ว ชายผู้นั้นจึงยอมรับได้มากขึ้นในที่สุด
“เฮอะ”
เสียงออกมาพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ที่พูดมาก็นับว่าถูก บรรดาเสินสื่อยุติธรรมมาโดยตลอด พวกเจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มีความหมายอื่นใด ก็แค่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สุดท้ายแล้วเมื่อก่อนตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยปล่อยคนเข้ามาถึงหกคนในครั้งเดียวโดยไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์”
แม้กระทั่งในนั้นยังรวมเทพขั้นสูงไว้ด้วย
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าแสดงออกอย่างไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
จากท่าทางของจิ้นอวิ๋นไหลก็สามารถมองเห็นบางอย่างได้ และคาดเดาได้ว่าช่วงเวลาต่อจากนี้พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างไรในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
นางเตรียมตัวมานาน และไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจล่วงเกิน
ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แสดงสีหน้าดูถูก และยังออกมาอธิบายจึงนับว่าดีไม่น้อย
ฉู่หลิวเยว่ประสานมือพลางเอ่ยถามขึ้น
“ผู้น้อยซั่งกวนเยว่ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีนามว่า?”
ชายผู้นั้นยิ้มพลางส่ายหน้า
“ไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสหรอก ข้าก็เป็นเพียงผู้แพ้ที่ไม่เคยขึ้นสวรรค์ทะลวงเทพศักดิ์สิทธิ์มาหมื่นปีแล้ว พวกเจ้าเรียกข้าเซียวหรานตรงๆ ก็พอ อยู่ที่นี่ไม่มีแบ่งแยกระหว่างคนก่อนหรือหลัง ขอเพียงเจ้าแข็งแกร่งพอ จะได้รับความเคารพและความชื่นชมจากทุกคน”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างชัดแจ้ง
นางจ้องมองตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แวบหนึ่ง จากนั้นจึงถอนสายตาและหันหลังกลับมุ่งหน้าไปยังลานที่อยู่ข้างๆ
“พวกเราไปกันเถอะ”
ในเมื่อมาแล้วก็สุขให้เต็มที่ หาสถานที่ที่เหมาะสมก่อนต่อไปค่อยว่ากัน
ซั่งกวนจิ้งและทุกคนจึงตามไปอย่างรวดเร็ว
………………..