ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2294 วิกฤต
ตอนที่ 2294 วิกฤต
………………..
สุรเสียงใสกระจ่างที่แฝงแววร้อนใจดึงดูดความสนใจของอวี้เชียนและมู่ตงโหย่วได้ชะงัด
คนทั้งสองพร้อมใจกันหันศีรษะกลับไปมอง ก่อนจะเห็นเงาร่างแน่งน้อยกำลังพุ่งตรงไปยังกลุ่มเพลิงผสานแสง!
“ซั่งกวนเยว่!?”
มู่ตงโหย่วตื่นตกใจยิ่ง
“นางมาที่นี่ได้ยังไง!”
เพราะสูญเสียความสามารถในการควบคุมทัณฑ์สวรรค์ที่นี่ไปมหาศาล กอปรกับเพิ่งถูกอวี้เชียนตำหนิมาเมื่อครู่ สภาพจิตใจของมู่ตงโหย่วจึงตึงเครียดอย่างมาก ชั่วขณะหนึ่งจึงมิทันสังเกตว่าฉู่หลิวเยว่มาถึงที่นี่แล้ว
สระอัสนีบาตในตอนนี้เกิดความแปรปรวนอยู่ตลอด ภยันอันตรายหนักหน่วงยิ่ง นางกลับมาที่นี่แบบนี้ กลัวว่าจะได้มีชีวิตอยู่นานเกินไปหรือไร
แววตาของอวี้เชียนทวีความเย็นเยียบ
“ซื่อบื้อ!”
ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ นางมารอบนี้ก็เพื่อช่วยถวนจื่อไม่ผิดแน่
แต่นางไม่จำเป็นต้องคิดเลยด้วยซ้ำ อาศัยแค่พลังน้อยนิดของนางมาที่นี่ก็เท่ากับส่งตัวเองไปตาย!
มู่ตงโหย่วกำลังจะไปขัดขวางนางเอาไว้
ทว่าฉู่หลิวเยว่ว่องไวมาก พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่หน้ากลุ่มแสงแล้ว!
อุณหภูมิอันร้อนระอุทำให้ช่องว่างในอากาศบิดเบี้ยวผิดรูป
ฉู่หลิวเยว่อัญเชิญร่างศักดิ์สิทธิ์ออกมาโดยไม่ลังเล!
เกราะอ่อนบางเบาอันงดงามครอบคลุมร่างกายนาง ช่วยสกัดกั้นอุณหภูมิสูงไว้ด้านนอกในพริบตา
นางสามารถเมินเฉยต่อความรู้สึกร้อนผ่าวอันน่ากลัวนั้นได้ หากแต่มู่ตงโหย่วไม่ใช่
ในไม่ช้า เขาก็ต้องหยุดลงอย่างเสียมิได้
อวี้เชียนมิได้หยุดการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ยังคงไล่กักเก็บทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่รอบๆ เหมือนเก่า
ฉู่หลิวเยว่อยากมาช่วยถวนจื่อย่อมเป็นเรื่องปกติ
อีกอย่าง ร่างศักดิ์สิทธิ์ของนางเองก็ทรงพลังมากจริงๆ
เพียงแต่ว่า…
นางก็เข้าไปข้างในนั้นไม่ได้อยู่ดี
ทัณฑ์สวรรค์สีทองถักทอร้อยเรียงเป็นตาข่าย มีแรงกดดันตัดขาดจากโลกที่มหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เปลวเพลิงสีทองที่กำลังลุกโชนอยู่ด้านในทวีความน่าหวาดหวั่นขึ้นไปอีก
ฉู่หลิวเยว่มีแต่จะเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์อยู่ด้านนอกเพียงเท่านั้น
เมื่อเห็นสีหน้าของอวี้เชียน มู่ตงโหย่วก็เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่ออย่างรวดเร็ว หากลองใคร่ครวญดูดีๆ นับว่ามีเหตุผลอยู่หลายส่วนจริงๆ
ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ อย่าว่าแต่นางเลย กระทั่งอวี้เชียนยังไม่เลือกรับความเสี่ยงด้วยซ้ำ
ฉู่หลิวเยว่เพียงผู้เดียวจะไปทำอันใดได้
…
เมื่อไม่มีผู้อื่นมาขวางกั้น ในไม่ช้าฉู่หลิวเยว่ก็มาถึงหน้ากลุ่มแสงได้อย่างราบรื่น
ต่อให้อัญเชิญร่างศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่แรงกดดันอันหนักหน่วงที่พวยพุ่งออกมาจากด้านในก็ทำให้นางหายใจติดขัดอยู่ดี กระทั่งความเร็วในการหลั่งไหลของพลังปราณดั้งเดิมรอบกายก็ช้าลงมาก
นางสะกดกลั้นลมหายใจ จากนั้นก็จ้องเขม็งไปยังด้านหน้า
บนทัณฑ์สวรรค์สีทองที่เคลื่อนไหวและเกี่ยวพันไปมารอบสี่ทิศล้วนถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีทองชั้นหนึ่งที่กำลังแผดเผาลุกโชน
จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าตอนนี้จะมีภาพฉากน่ากลัวแบบใดอยู่ด้านในนั้น
เมื่อรับรู้ถึงการมาของนาง ทัณฑ์สวรรค์จำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ พลันพุ่งมาหานางอย่างเริงร่า
หนังตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกยิบ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำออกไปว่า
“กลับไปให้หมด!”
ฉู่หลิวเยว่พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด
ค่อยดีหน่อยที่เจ้าพวกนี้ฟังรู้ความกัน
นี่ทำให้สะดวกขึ้นเยอะเลยทีเดียว
คิดมาถึงตรงนี้ พลังปราณดั้งเดิมก็พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของนาง
แสงสีเงินทอประกายเย็นวาบ กระบี่ยาวเล่มหนึ่งพลันปรากฏมาอยู่ในมือนาง!
กระบี่เล่มนี้มีรูปร่างประหลาดตายิ่ง ฟากหนึ่งสว่างจ้า อีกฟากหนึ่งกลับดำทะมึน
สีสันที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกลับเข้ากันลงตัวได้อย่างสมบูรณ์
มันคือกระบี่ที่ก่อนหน้านี้นางหลอมขึ้นมาเองกับมือนั่นเอง!
หึ่ง!
ไวเท่าความคิด เสียงกระบี่กู่ร้องพลันดังขึ้น!
จากนั้นนางก็ใช้สองมือจับลงบนด้ามกระบี่ ก่อนจะเงื้อขึ้นสูงโดยไร้ซึ่งความลังเล… แล้วตวัดฟันลงมาจนเกิดเสียงกึกก้อง!
ฉึบ!
พริบตาที่กระบี่ฟาดฟันลงมา ช่องว่างพลันถูกแหวกออกอย่างรวดเร็ว!
จากนั้น ปราณกระบี่อันคมปลาบก็โจมตีไปด้านหน้า ปะทะเข้ากับทัณฑ์สวรรค์สีทองที่ก่อร่างกลายเป็นตาข่ายขนาดมหึมา
ตูม…
พลังทั้งสองสายปะทะเข้าหากันอย่างรุนแรง ก่อเกิดเป็นเสียงกึกก้อง!
กระแสพลังระเบิดปะทุกระจายไปยังบริเวณโดยรอบ
มู่ตงโหย่วได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนี้ก็หันมองไปทางนั้นโดยไม่รู้ตัว
ครั้นตวัดสายตามองไป มันกลับทำให้ใจของเขาเต้นสั่นระรัวทันที
ทันทีที่กระบี่ของฉู่หลิวเยว่ตวัดฟันกระบี่ออกไป มันก็ก่อตัวขึ้นเป็นเกลียวพลังอันน่าหวาดกลัว จากนั้นก็ยกค่ายกลที่ก่อตัวมาจากทัณฑ์สวรรค์สีทองขึ้นมาทั้งอย่างนั้น!
ต้องเข้าใจก่อนว่านี่คือแกนกลางของสระอัสนีบาตทั้งหมด
เมื่อได้เกิดความโกลาหลแล้ว มันย่อมแผ่กระจายออกไปไกล!
และเป็นตามที่คาดไว้ ผ่านไปไม่นาน ทัณฑ์สวรรค์สีเงินโดยรอบที่เดิมมุ่งหน้าไปหาอวี้เชียนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน พวกมันทยอยวกเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะพุ่งหากลุ่มแสงที่อยู่ตรงกลางอีกครา
กระทั่งทัณฑ์สวรรค์ส่วนที่ถูกเขายับยั้งไว้แล้วก็เริ่มเคลื่อนไหววุ่นวายขึ้นมาอีกรอบ
ใจของอวี้เชียนดิ่งวูบ รีบหันศีรษะกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเพิ่งตระหนักได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้น
ฉู่หลิวเยว่เป็นแค่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แล้วเหตุใดถึงได้ทำให้ทัณฑ์สวรรค์สีทองมันสั่นไหวได้เล่า
ความคิดนี้เคลื่อนผ่านสมองของอวี้เชียนอย่างรวดเร็ว ทว่ามันก็หายวับไปในพริบตา
ตอนนี้ใช่เวลามาสนเรื่องนี้ที่ไหน!
“ตงโหย่ว! ขวางนางเอาไว้!”
มาถึงขั้นนี้แล้ว ในที่สุดอวี้เชียนก็รู้ตัวว่าตัวเองประเมินฉู่หลิวเยว่ต่ำไปโดยสิ้นเชิง
ทว่ามาออกคำสั่งเอาตอนนี้ก็สายไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด
ในตอนที่มู่ตงโหย่วคิดจะเข้าไปใกล้ ก็ถูกคลื่นพลังอันโกลาหลกวาดออกมา
ทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้สูญเสียการควบคุมไปเรียบร้อยแล้ว ในที่แห่งนี้เขาไม่มีอำนาจเลยแม้แต่ครึ่ง ทั้งยังทำอันใดไม่ได้เลยสักนิดเดียว
เมื่อเห็นฉากนี้ ในที่สุดอวี้เชียนก็รู้สึกแล้วว่าเรื่องนี้มันย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้มาก
เขาวางมือลงบนระหว่างริมฝีปาก
เสียงผิวปากดังก้องกังวานปนหวีดหวิวดังแว่วออกมาจากก้นบึ้งของสระอัสนีบาตในชั่วพริบตา!
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ใจของฉู่หลิวเยว่พลันสั่นไหว
ดูเหมือนว่าอวี้เชียนกำลังจะเอาจริงแล้ว ต้องรีบจัดการให้เสร็จโดยไว!
นางกำกระบี่ในมือไว้แน่นด้วยสีหน้าร้อนใจและวิตกกังวล
”ไม่ต้องกลัวนะถวนจื่อ ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”
ทัณฑ์สวรรค์สีทองเร่ร่อนไปคนละทิศละทางเร็วขึ้นกว่าเดิม
เกลียวคลื่นพลังดึงดูดทัณฑ์สวรรค์มากขึ้น สุดท้ายแล้วทัณฑ์สวรรค์ทั้งหมดก็ซึมซาบลงไปในเปลวเพลิงสีทองที่กำลังแผดเผาอย่างบ้าคลั่ง
…
เพราะว่ารับพลังมามากเกินไป ร่างกายของอี้กงในตอนนี้จึงมาถึงขีดจำกัด
บนร่างของเขามีบาดแผลปริฉีกขาดออกมานับไม่ถ้วน เลือดสดหลั่งริน ดูแล้วน่าสยดสยองยิ่ง
แต่ในขณะเดียวกัน ลมปราณบนร่างของเขากลับยังคงพุ่งสูงขึ้น
ถวนจื่อถือขนนกทองคำบรรพบุรุษไว้ มือป้อมสั่นระริกเป็นที่เรียบร้อย ทว่าการเคลื่อนไหวกลับไม่หยุดชะงัก
นางจะต้องเปิดเส้นชีพจรนี้ให้ได้!
“ผู้อาวุโสใหญ่ อาเยว่ช่วยท่านไว้มากขนาดนี้ ท่านก็ควรจะซาบซึ้งสิ!”
มุมปากของนางคลี่ยิ้มหยอกเย้า สุ้มเสียงอ่อนโยนยิ่ง
สตินึกคิดของอี้กงจมสู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นเรียบร้อยแล้ว แม้เขาจะได้ยินในสิ่งที่นางพูด แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบกลับ
ถวนจื่อเองก็ไม่สนใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสลักจุดสุดท้ายอย่างตั้งใจ
จนในที่สุด ลวดลายเส้นที่เจ็ดก็ปรากฏกลางหว่างคิ้วของอี้กงโดยสมบูรณ์!
หึ่ง!
ลมปราณอันไร้ขีดจำกัดพวยพุ่งออกมาจากร่างของอี้กง จากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มดูดกลืนพลังที่อยู่โดยรอบด้วยตัวเองเพื่อดำเนินการฟื้นฟูร่างกาย
นี่ทำให้อี้กงได้สติขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
เขาปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ขอแค่ ขอแค่เขาสามารถอดทนผ่านรอบนี้ไปได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจพอมีหวังที่จะหนี…
ทันใดนั้นเอง สายตาของเขาพลันนิ่งค้าง แววตาปรากฏร่องรอยของความหวาดผวา
หลังจากถวนจื่อบังคับให้เขาเปิดเส้นชีพจรแล้วก็ไม่ได้หยุดมือแต่อย่างใด กลับกันนางโบกมือคราหนึ่ง เรียกเปลวเพลิงที่อยู่โดยรอบมาล้อมรอบตัวเขาไว้!
………………..