ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 336-2 ศัตรูไม่อาจหนีหน้ากันพ้น (2)
ตอนที่ 336 ศัตรูไม่อาจหนีหน้ากันพ้น (2)
พิธีเปิดนั้นเรียบง่าย จับฉลากเสร็จ คนของกระทรวงการศึกษายังยุ่งกับการกล่าวปิดท้าย พวกฟางผิงกลับไม่มีอะไรแล้ว
ทุกคนทยอยลงจากเวที เข้าไปด้านหลัง
ฟางผิงไม่ได้พูดกับมหาวิทยาลัยซีซานอีก แต่มองไปทางเฉินเฮ่าหรานจากจิงหนาน “พวกเราไม่ได้เจอกันถือว่าโชคดี หวังว่าครั้งหน้าก็อย่าเจอกัน”
เฉินเฮ่าหรานงุนงงอยู่บ้าง จิงหนานของพวกเราแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือไง?
กระทั่งเซี่ยงไฮ้ยังกลัวที่จะเจอ?
ฉินเฟิ่งชิงเผยสีหน้าราวกับยกภูเขาออกจากอกเช่นกัน กลัวจะได้เจอกับจิงหนาน ไม่งั้นคงยุ่งแล้ว
ชายชราจากจิงหนานคนนั้นเหมือนจะเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่น้อย เขาแค่พูดเชือดเฉือนไม่กี่ประโยคเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเมื่อวานจะเข้ามาด้วยตัวเอง แทบจะทำให้เขาตกใจตาย
นี่หากได้แข่งกับจิงหนาน ไม่รู้ว่าชายชราจะมาล้างแค้นเขาหรือเปล่า?
—
พวกฟางผิงไม่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดต่อ
ทุกคนออกประตูข้างของสนามกีฬาไป
ฟางผิงไม่ได้ร่วมกิจกรรมกับทีม หาร้านเครื่องดื่มแห่งหนึ่งในมหาวิทยาลัยปักกิ่งแล้วก็นั่งลง
ผ่านสักพักก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
อู๋จื้อหาวมองเห็นฟางผิง เอ่ยแฝงทั้งสุขและทุกข์ผสมปนเปกัน “ตอนนี้ฉันอยากรวมตัวกับนายก็กลัวเกินไป นี่นายกะจะไม่เหลือหนทางรอดให้พวกเราเลยสักนิดสินะ!”
หยางเจี้ยนที่ร่างกายสูงใหญ่ เวลานี้ดูกำยำขึ้นไปอีก ฟังจบก็ยิ้มว่า “ฉันเหมือนกัน โชคดีที่นายไม่เจอกับมหาวิทยาลัยของพวกเรา ไม่งั้นฉันคงไม่รู้ต้องทำยังไงดี”
หลิวรั่วฉีเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “เจอก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราอยู่ดี พวกเราเพิ่งจะทะลวงขั้นหนึ่งไม่นาน ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”
คนพวกนี้ปัจจุบันกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว
อีกอย่างไม่นับว่าเพิ่งทะลวง ทั้งสามคนเข้าสู่ขั้นหนึ่งตอนกลางแล้ว
ในความเป็นจริงยังถือว่าใช้ได้ อาจจะทะลวงขั้นสองในปีสาม ก่อนเรียนจบอาจมีโอกาสทะลวงขั้นสามได้อีก
แน่นอนว่าแค่มีโอกาสเท่านั้น
ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามถือเป็นบุคคลแนวหน้าแล้ว
จบการศึกษาด้วยขั้นสองไม่นับว่าล้าหลังเช่นกัน
แต่เทียบกันแล้วช่างน่าโมโหจริงๆ
ตอนแรกเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ตอนนี้ฟางผิงอยู่ขั้นสี่สูงสุด พวกเขากลับเพิ่งเข้าสู่ขั้นหนึ่งได้ไม่นาน ในใจไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกยังไง
ฟางผิงได้ฟังก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยอดเยี่ยมใช่หรือเปล่า มีเพื่อนแบบฉัน ออกไปคุยโวได้อย่างสบายใจเฉิบด้วยซ้ำ มีอะไรให้หงุดหงิดกัน หากเป็นฉัน คงใช้โอกาสนี้เป็นเศรษฐีแล้ว ไปเดินเตร็ดเตร่ในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของพวกนาย บอกว่าฉันเป็นเพื่อนของฟางผิง เอายาบำรุงให้ฉันหน่อย ไม่งั้นจะให้ฟางผิงมาบั่นคอนาย นายว่าจะหลอกเอายาบำรุงมาได้สักหน่อยหรือเปล่าล่ะ?”
อู๋จื้อหาวยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “ฉันกลัวว่าไม่ทันได้ยาบำรุงก็ถูกคนตีตายก่อนน่ะสิ”
หยางเจี้ยนหัวเราะว่า “จื้อหาวไม่กล้าอยู่แล้ว อย่าลืมว่าพี่หวังเป็นประธาน นายยังคิดจะไปบั่นคอเขาหรือไง?”
“นั่นก็ไม่แน่”
ฟางผิงเรียกให้ทุกคนนั่งลง เอ่ยด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า “ครั้งนี้ดูเถอะ เซี่ยงไฮ้ต้องเข้ารอบชิงชนะเลิศแน่ หากเจอกันจริงๆ งั้นก็แลกเปลี่ยนความรู้กับพี่หวังสักหน่อย”
ระหว่างที่พวกเขาคุยกันก็สั่งเครื่องดื่มมา
ฟางผิงไม่เอ่ยเรื่องการแข่งขันอีก มองไปทางอู๋จื้อหาวแทน “บริษัทสาขาย่อยนั่นของฉัน ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เลวเลย รายละเอียดหลักๆ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่ชื่อเสียงของนาย ทางหนานเจียงไว้หน้าอยู่เหมือนกัน หลายวันก่อนฉันกลับรุ่ยหยาง เห็นพนักงานส่งอาหารของหยวนฟางด้วย”
“งั้นถือว่าไม่เลว”
ฟางผิงไม่ได้ถามเรื่องบริษัทมาพักหนึ่งแล้ว ยกแก้มดื่มน้ำก่อนจะมองไปยังทั้งสามคน “หนานเจียงและเทียนหนาน ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีทั้งนั้น ไม่รู้ว่าพวกนายสัมผัสได้หรือเปล่า?”
ถ้ำใต้ดินหนานเจียงกำลังจะอุบัติ ถ้ำใต้ดินเทียนหนานถูกผนึกมาปีกว่าแล้ว ใกล้จะเปิดออกเช่นกัน
หากเปิดออกอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว
รวมทั้งครั้งก่อนรองอธิการเทียนหนานคนเก่ายังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์นอกรีต มหาวิทยาลัยเทียนหนานมีปัญหาอยู่บ้าง ตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
พูดถึงเรื่องนี้อู๋จื้อหาวก็ขมวดคิ้วว่า “สัมผัสได้ ช่วงนี้พี่หวังเหมือนจะร้อนใจเช่นกัน สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ปฏิรูปครั้งแล้วครั้งเล่า เพิ่มแรงกดดันให้พวกเรา ก่อนหน้านี้จัดประชุมผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองขึ้นไป ผลปรากฏว่ากลับมาต่างทำหน้ากลัดกลุ้มกัน บ้าคลั่งฝึกวิชาขึ้นเรื่อยๆ พวกอาจารย์วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกทั้งวัน ตอนนี้ได้รับผลกระทบกับการเรียนการสอนเหมือนกัน”
หยางเจี้ยนรับบทสนทนา “เทียนหนานก็เหมือนกัน หลายวันก่อนหรือก็คือกลางเดือนตุลาคม จู่ๆ มหาวิทยาลัยก็ปิดการเข้าออก อธิการออกหน้าด้วยตัวเอง ได้ยินว่าสังหารคนร้ายที่บุกเข้ามาในมหาวิทยาลัยไปหลายคน…”
“บรรยากาศตึงเครียดก่อนสงครามจะปะทุขึ้น”
ฟางผิงถอนหายใจ เงียบไปพักหนึ่ง “ช่วงนี้พวกนายระวังตัวด้วยแล้วกัน โดยเฉพาะจื้อหาว ช่วงนี้หนานเจียงมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง ตอนนี้ยังไม่เกี่ยวกับพวกนาย แต่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วนี้แหละ เมื่อก่อนหากฝึกวิชาไม่ถึงขั้นสาม ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้ยิ่งฝีมือแข็งแกร่งเท่าไหร่ยิ่งมีหลักประกันความปลอดภัยมากเท่านั้น ขั้นสองก็จะเข้าสู่แวดวงพวกนี้ได้แล้ว พวกนายคงอีกไม่นานนี้ การแข่งขันแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทำไมถึงจัดขึ้นติดต่อกัน? แต่ละมหาวิทยาลัยต่างพยายามช่วงชิงอันดับสูงๆ อันที่จริงเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้เช่นกัน…”
อู๋จื้อหาวเอ่ยเสียงเบา “ฟางผิง ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฟางผิงส่ายหัว “รู้มากไปใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี แน่นอนว่าในเมื่อเข้าสู่แวดวงผู้ฝึกยุทธ์ อันที่จริงรู้ไว้หน่อยก็ไม่แย่อะไร สรุปแล้วพวกเรากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่แข็งแกร่ง แข็งแกร่งเอามากๆ หนานเจียงก็คือเป้าหมายหลักในการจู่โจมครั้งต่อไปของพวกเขา ช่วงนี้ นายเองระวังตัวหน่อย อย่าวิ่งวุ่นไปทั่ว อยู่ในมหาวิทยาลัยปลอดภัยที่สุด เจียงเฉิงเป็นเมืองเอกของมณฑล ยอดฝีมือมีมากมาย อีกอย่างถ้าขาดแคลนทรัพยากรฝึกวิชา ฉันช่วยเหลือได้ ให้พวกนายยืมได้บางส่วนอยู่แล้ว ยาบำรุงและอาวุธ มายืมกับฉันได้ ตอนนี้ฉันทะลวงขั้นสี่สูงสุด ไม่ได้ขาดแคลนของพวกนี้ ไว้ค่อยคืนวันหลัง…”
อู๋จื้อหาวหัวเราะว่า “ตอนนี้นายรวยเละแล้วสินะ เงินสี่ห้าล้านคงไม่อยู่ในสายตาแล้ว…”
ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “นั่นก็จริง แม้ฉันจะไม่ได้รวยมาก แต่ดาบที่ใช้อยู่ก็มูลค่าหลายร้อยล้านแล้ว ทั้งยังมีดาบมูลค่าห้าหกสิบล้านวางประดับไว้ในห้องทำงาน…”
ทั้งสามคนเงียบไปทันที
เป็นเพื่อนเก่ากันทั้งนั้น ต้องพูดแทงใจดำขนาดนี้หรือไง?
เรื่องให้ยืมที่ฟางผิงพูดถึง อันที่จริงพวกขาไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง ไม่ใช่ว่าฟางผิงไม่ให้ยืม แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขาดแคลนเงินทั้งนั้น ทุกคนต้องการทรัพยากรเพื่อฝึกวิชา
ฟางผิงอยู่ขั้นสี่สูงสุดต้องสิ้นเปลืองมากกว่าอยู่แล้ว
แต่นึกไม่ถึงว่า…ฟางผิงเจ้าหมอนี่จะรวยง่ายดายขนาดนั้นจริงๆ หมอนี่ปล้นเซี่ยงไฮ้มาหรือไง?
เขาเป็นประธานผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ตกลงยักยอกไปเท่าไหร่กัน?
“พูดแบบนี้ ในมือนายมีเงินเหลือไม่น้อยสินะ?”
“นับว่าพอใช้ได้ หลายร้อยล้านยังมีอยู่”
“…”
อู๋จื้อหาวเหนื่อยใจอยู่บ้าง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “ฟางผิง พวกเราเป็นเพื่อนเก่ากันทั้งนั้น คำพูดพวกนี้ ครั้งหน้าอย่าพูดกับพวกเราเถอะ พวกเราเพิ่งจะขั้นหนึ่ง รับไม่ไหวหรอก เปลี่ยนคน…”
ฟางผิงถอนหายใจ “อะไรที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว นี่แค่กลัวว่าพวกนายจะไม่รู้?”
พวกเขาหัวเราะแห้งๆ ฟางผิงก็หัวเราะเช่นกัน “ไม่พูดถึงยืมยาบำรุงแล้ว ไม่งั้นคงพูดที่ไปที่มากับพวกนายได้ไม่ชัดเจนอีก ฉันจะให้พวกนายยืมคนละสิบล้าน ไม่เก็บดอกเบี้ยเยอะ หนึ่งปีคิดแค่สิบเปอร์เซ็นต์ วางใจเถอะ พอถึงขั้นสามขั้นสี่แล้ว พวกนายจะหากลับมาได้ง่ายๆ น่าเสียดายที่มหาวิทยาลัยพวกนายไม่ยอมร่วมมือกับเซี่ยงไฮ้ ไม่งั้นสามมหาวิทยาลัยเชื่อมต่อกัน พวกนายจะพบว่าหาเงินได้ง่ายกว่านี้ แต่นี่ก็เป็นทิศทางที่ฉันพยายามสร้างขึ้นมา ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จะยกเซี่ยงไฮ้เป็นตัวอย่างในการดำเนินเปลี่ยนแปลง”
“…”
ฟางผิงอยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนพวกเขาอยู่พักใหญ่ ทางเซี่ยงไฮ้ยังต้องเตรียมการณ์เช่นกัน ไม่สะดวกรั้งอยู่นาน ฟางผิงขอบัญชีธนาคารจากพวกเขาแล้วก็ลุกจากไป
เขาไปแล้ว อู๋จื้อหาวก็ถอนหายใจ ส่ายหัวว่า “เจ้าหมอนี้…ช่างเถอะ ตั้งใจฝึกวิชาดีกว่า เหนือชั้นจนพวกเราพูดเรื่องพื้นฐานด้วยไม่ได้แล้ว”
หลิวรั่วฉีที่เงียบมาโดยตลอด เวลานี้เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ใช่แค่เขา ฟางหยวนน้องสาวเขาก็เหมือนกัน หลายวันก่อนหลอมกระดูกครั้งที่หนึ่งแล้ว”
เคล็ดวิชาหลอมกระดูก เธอเป็นคนสอนให้ฟางหยวนเช่นกัน ฟางหยวนและหลิวรั่วซีติดต่อกันอยู่
ฟางหยวนหลุดพูดเรื่องหลอมกระดูกกับเธอเพราะดีใจจนแทบจะกระทบกระเทือนใจหลิวรั่วฉี
อู๋จื้อหาวและหยางเจี้ยนเงียบลงในชั่วพริบตา
หากไม่ก้าวหน้าอีก คงถูกฟางหยวนไล่ทัน พวกเขาคงไม่มีหน้าตาหลงเหลืออีกแล้ว
ส่วนที่ฟางผิงให้พวกเขายืมเงินคนละสิบล้าน บอกว่าเก็บดอกเบี้ย ทุกคนทราบถึงความคิดของฟางผิงเช่นกัน
เงินสิบล้านสำหรับพวกเขาเป็นจำนวนมหาศาล
แต่ต่อให้หน้าหนายังไง กระดากอายยังไง เวลานี้พวกเขาก็ไม่ปฏิเสธ
เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ไม่อาจขาดแคลนโอกาสและโชคได้ ตอนนี้ฟางผิงมอบโอกาสให้พวกเขา จะให้ทิ้งไปเพราะพะวงหน้าตา งั้นการช่วงชิงของผู้ฝึกยุทธ์คงกลายเป็นเรื่องตลกแล้ว