novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 xoslotz ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 73 พลังบุกทะลวง

  1. Home
  2. ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)
  3. บทที่ 73 พลังบุกทะลวง
Prev
Next

บทที่ 73 พลังบุกทะลวง

หมอกหนาบดบังสายตาและการได้ยิน

ยามเมื่อมีหมอกหนาเช่นนี้ทำให้ความสามารถในการได้ยินเสียงลดลงต่ำมาก ซูเฉินที่ปกติพึ่งประสาทสัมผัสในการได้ยินเสียงจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่

หรืออีกฝ่ายอาจจงใจให้เป็นเช่นนี้?

ทำให้คนตาบอดคนหนึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจได้ยินเสียงเพื่อสร้างแรงกดดันไม่มีที่สิ้นสุดในใจคน

เป็นการชดใช้หนี้? เป็นคำเตือน? เป็นคำขู่? หรืออาจจะมีความหมายอื่นแฝงอยู่กัน?

ซูเฉินไม่อาจรู้ได้

และไม่ใส่ใจ

ถึงการมองเห็นและการได้ยินจะได้รับผลกระทบจากหมอกหนา ซูเฉินก็ยังสัมผัสได้ว่าไม่ไกลจากตนมีการต่อสู้อันดุเดือดกำลังดำเนินอยู่ ปาหลงและลี่หมิงถังนั้นราวกับแสงอาทิตย์สว่างโชติช่วงท่ามกลางพยับหมอก ถึงร่างของคนทั้งคู่จะถูกหมอกหนาปกคลุมไว้แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังต้นกำเนิดที่คอยผลักดันหมอกหนาให้ออกไปให้พ้นทาง

การปะทะกันระหว่างผู้มีขั้นพลังด่านทะลวงลมปราณนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก แรงซัดพลังระหว่างการต่อสู้สามารถขจัดหมอกหนาออกไปได้ ดังนั้นจึงสามารถเห็นและได้ยินอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน กำแพงอิฐนั้นดูราวกับเป็นกำแพงดินเหนียวไปเลยเมื่อถูกพลังซัดจากการต่อสู้ปะทะ กระทั่งตัวสิงห์หินหน้าประตูร้านยังถูกทำลายแตกเป็นเสี่ยง ๆ การต่อสู้นั้นดุเดือดมากจนกระทั่งหมอกหนายังไม่อาจลดความรุนแรงของการต่อสู้ลงได้

ในด้านของพละกำลัง ปาหลงได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด

รูปแบบการต่อสู้ของเขานั้นทั้งอิสระ มีพลัง และแข็งแกร่ง ดาบใหญ่ที่ซัดลงไปแต่ละครั้งเต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาล ถึงจะไม่รวดเร็วทว่าเป็นการโจมตีที่มีกำลังซัดมาก เทียบกันแล้วลี่หมิงถังนั้นคล่องแคล่วกว่า พยายามทิ้งระยะห่างออกจากคู่ต่อสู้แล้วใช้ห่วงเหล็กบินในการโจมตี ห่วงเหล็กนี้เป็นเครื่องมือต้นกำเนิดชนิดหนึ่งที่จะกลับมาหาเจ้าตัวเมื่อโจมตีเสร็จ ยังสามารถใช้เป็นเกราะแขนยามต่อสู้ระยะประชิดได้อีกด้วย

ทว่าเจ้าห่วงเหล็กนี่ดูท่าจะไร้ผลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปาหลง ดาบใหญ่ของปาหลงสับเข้าที่แขนของลี่หมิงถัง ก่อเกิดประกายไฟลั่นขึ้นฟ้าราวกับช่างตีเหล็กกำลังตีเหล็ก ใบหน้าของลี่หมิงถังซีดลง พยายามลดแรงสะเทือนของการโจมตีเมื่อครู่

ทั้งสองฝ่ายเคยประมือกันมาก่อน ลี่หมิงถังพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ก่อนจะถูกบีบให้ต้องหลบหนีไป ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการต่อสู้หรือพื้นฐานพลัง ลี่หมิงถังก็ด้อยกว่าปาหลง ดังนั้นอารามนิรันดร์จึงส่งปาหลงมาในการต่อสู้ครั้งนี้

สถานการณ์อีกด้านนั้นยิ่งได้เปรียบกว่ามาก

ตรงนั้นมีเพียงผู้มีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตสองคน และด่านก่อเกิดลมปราณสามคน แถมเหล่าคนชุดดำยังมีระดับพลังสูงกว่าคู่ต่อสู้ ดังนั้นจึงได้เปรียบกว่ามาก ทว่าคนชุดดำด่านกลั่นโลหิตคนหนึ่งดูท่าจะมีทักษะการต่อสู้อ่อนด้อยกว่าอีกสองคนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเจอกับการโจมตีอันดุเดือดจากพวกโจรก็ทำได้เพียงรั้งไว้เท่านั้น และดูแล้วท่าจะต้านทานได้อีกไม่นาน

เมื่อเห็นดังนั้น ซูเฉินจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “กังเหยียน ทำลายกำแพงตรงด้านนั้นเสีย จากนั้นรีบวิ่งกลับมาหาข้า”

กังเหยียนก้มหัวรับคำสั่ง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่กำแพงที่ซูเฉินชี้

กำแพงนี้เป็นกำแพงระหว่างร้านนามทองคำกับร้านอื่น ๆ ข้างเคียง เบื้องหลังกำแพงนั้นมีกองโจรซุ่มอยู่มากมาย หากแต่เพราะหมอกหนาพวกมันจึงไม่รู้ว่าเกิดการปะทะกันอยู่ ทว่าหากกำแพงถูกทลายลง ถึงจะตาบอดแต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น บวกกับร่างใหญ่กำยำของกังเหยียนแล้ว พวกมันจะรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและพุ่งเข้ามาตะโกนเสียงดังทันที

กังเหยียนหมุนตัวแล้วออกวิ่งทันทีโดยมีคนกลุ่มใหญ่วิ่งไล่หลังมา ทว่าไม่นานพวกมันก็พบว่าหัวหน้ากำลังแย่ ดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วย พวกที่หัวไวหน่อยก็คว้านกหวีดออกมาเป่าเรียกกำลังเสริม เสียงของนกหวีดสามารถตัดผ่านหมอกได้ ทำให้กองโจรที่ซุ่มอยู่แถวถนนรู้ตัวและเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วย

เห็นดังนั้น เยี่ยเม่ยก็ตะโกนขึ้น “ซูเฉิน ทำอะไรของเจ้า?”

แผนการฆ่าล้างที่สมบูรณ์ถึงเพียงนี้กลับถูกซูเฉินพังในพริบตา

ซูเฉินกลับเอ่ยตอบน้ำเสียงสบาย “ก็แค่ผู้ฝึกตนด่านก่อเกิดลมปราณเพิ่มมาอีกสองคนแล้วก็ผู้ฝึกยุทธ์อีกราวสิบคนเองมิใช่หรือ? อย่างมากก็ต้องใช้แรงจัดการอีกสักหน่อย เหตุใดต้องใส่ใจด้วย? อีกอย่างหากข้าไม่ล่อพวกมันออกมา ข้าจะเข้าไปค้นสมบัติภายในได้อย่างไร?”

พูดจบก็พากังเหยียนเดินเข้าไปในร้านนามทองคำ

“ระยำเอ๊ย ไอ้หนุ่มเหลี่ยมจัดคนนี้” ทุกคนต่างก็สบถออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น

ถึงทุกคนจะตัดสินกันแล้วว่าให้แบ่งส่วนแบ่งกันทว่าในความเป็นจริงกลับไม่มีใครเชื่อใจใคร

ไม่ว่าใครก็อยากเป็นคนแรกที่ได้สัมผัสสมบัติก่อน

สำหรับปาหลงและคนอื่น ๆ พวกเขามีกำลังคนมากจึงได้เปรียบ

ทว่าพวกเขาไม่คิดว่าซูเฉินจะชั่วร้ายเช่นนี้ จงใจล่อกองโจรที่ดักซุ่มออกมาเพิ่ม ทำให้การต่อสู้ยาวนานยิ่งขึ้น ดังนั้น ซูเฉินและกังเหยียนจึงเป็นสองคนแรกที่เดินเข้าไปในร้าน

ในขณะที่ทุกคนต่างก็ก่นด่าซูเฉินกับแผนการชั่วร้ายอยู่ หากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นเพราะกองโจรนั้นดุร้ายยิ่งนัก แต่ละคนต่อสู้เต็มกำลัง ดังนั้นจึงไม่อาจเอาชนะได้ในเวลาอันสั้น

ในตอนนั้น ซูเฉินก็เดินเข้าร้านนามทองคำไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่ต้องตรวจค้นอันใดให้มากความ ซูเฉินตะโกนสั่งกังเหยียนในทันที “กังเหยียน!”

“รับทราบ!” กังเหยียนวางหีบเหล็กลงบนพื้น เมื่อเปิดหีบออกด้านในคือเกราะทองคำ ยามเมื่อหีบเหล็กถูกเปิดออกตัวชุดเกราะก็ลุกขึ้นยืนราวกับคนผู้หนึ่ง กางแขนขาออกก่อนจะพุ่งเข้าใส่ร่างของกังเหยียน สวมเกราะให้กังเหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า กระทั่งตาทั้งสองข้างยังมีเกราะผลึกน้ำปกป้องอยู่

“ฮ่าห์!” กังเหยียนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับพลังเต็มเปี่ยม ผืนดินใต้เท้าถึงกับเกิดรอยแยก

จังหวะนั้นเอง กังเหยียนก็ก้มหัวลง ก่อนจะพุ่งชนกำแพงตรงหน้า เขาสับฝีเท้าวิ่งด้วยความรวดเร็วก่อนจะเริ่มทำลายตึกทั้งหลัง

ถูกต้อง

คือพลังบุกทะลวง!

นี่คือกลยุทธ์ที่ซูเฉินเลือกมาเพื่อใช้ค้นหาสมบัติโดยเฉพาะ เป็นวิธีที่เรียบง่ายและรุนแรง แต่ก็ได้ผลมากที่สุดเช่นกัน

เด็กหนุ่มไม่สนของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในร้าน ที่สนคือคลังสมบัติที่ซ่อนอยู่หรือหีบสมบัติและสิ่งล้ำค่าอื่น ๆ

ต้องรีบค้นหาคลังสมบัติก่อนที่การต่อสู้จะสิ้นสุดลง!

ปึง!

พวกเขาพังห้องเข้าไปห้องหนึ่ง

ไม่มีสิ่งใด

ทั้งสองจึงพังเข้าไปในห้องอีกห้อง ยังคงไม่มีสิ่งใด

กังเหยียนยังคงตั้งท่าพุ่งทำลายข้าวของต่อไป เท้าทั้งสองกระทืบลงพื้นก่อนที่จะใช้หัวจะทลายกำแพง พวกเขาใช้วิธีป่าเถื่อนและง่ายดายที่สุดในการบุกค้นพื้นที่เพื่อหาว่ามีสมบัติใดถูกซ่อนไว้หรือไม่

ทันใดนั้นเอง ก็มีแรงสะเทือนหนึ่งดังขึ้น

กังเหยียนหยุดการเคลื่อนไหวในทันทีก่อนจะทำการแยกส่วนเตียงที่อยู่ตรงหน้า ทว่าเท้าที่ก้าวเข้าไปกลับเหยียบถูกบางอย่างที่ทำให้ไม่อาจก้าวต่อไปได้

กังเหยียนจึงเอื้อมมือดึงหีบเหล็กหีบใหญ่ออกมาจากใต้เตียง

“นายท่าน เป็นสิ่งนี้!” กังเหยียนพูดเสียงอู้อี้

“เปิดมันเสีย”

กังเหยียนทำลายล็อกที่ตัวหีบและเปิดหีบเหล็กออก

ตูม!

ลมหอบใหญ่พัดออกมาจากในหีบ เข็มนับไม่ถ้วนถูกซัดเข้าใส่เกราะบนร่างกังเหยียนราวกับเสียงพายุฝนห่าใหญ่ตกกระทบพื้น

ร่างของกังเหยียนเซไปเล็กน้อย ก่อนที่จะทำการเปิดหีบสมบัติต่ออย่างใจเย็น

กลไกในหีบสามารถทำงานได้เพียงหนึ่งครั้ง ดังนั้นเมื่อเด็กหนุ่มเปิดหีบต่อไปจึงไม่มีกลไกใดทำงานอีก

ซูเฉินมองดูในหีบสมบัติ ด้านในมีสมบัติไม่น่าสนใจอยู่ไม่กี่ชิ้น มีคัมภีร์สองสามม้วน ขวดยาเล็ก ๆ สองสามขวด และมีหยกอีกหนึ่งชิ้น ไม่มีแม้กระทั่งหินพลังต้นกำเนิด

ทว่าเมื่อเห็นของเหล่านี้ ใบหน้าซูเฉินกลับปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ

หลังจากร่ำเรียนกับถังเจิ้นมาเป็นเวลานาน ซูเฉินก็หยิบของขึ้นมาสองสามชิ้นด้วยรู้ดีว่าของเหล่านี้คือสมบัติที่มีมูลค่าอย่างแท้จริง แต่ละชิ้นสามารถนำไปแลกหินพลังต้นกำเนิด ได้เป็นร้อยหรืออาจถึงหลายพันก้อน

เขาหยิบของในหีบนั่นมาจนหมดจากนั้นเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เราได้ส่วนที่ขาดทุนไปกลับคืนมาแล้วหนึ่งส่วนจากสามส่วน”

“เพียงหนึ่งในสามส่วนเองหรือ?” กังเหยียนผิดหวังยิ่งนัก

ซูเฉินตอบ “นับเป็นจำนวนที่ไม่เลวแล้ว ที่นี่ยังไม่ใช่คลังสมบัติของกองกำลังหุบเขาเงา เป็นเพียงคลังสมบัติของร้านนามทองคำเท่านั้น”

“นายท่านรู้ได้อย่างไร?” กังเหยียนไม่เข้าใจ

ซูเฉินตอบ “เป็นเพราะพวกโจรไม่ได้เห็นของโบราณเป็นสมบัติล้ำค่า พวกมันชอบทองคำ เงิน และหินมีค่าต่าง ๆ มากกว่า”

เขามองไปรอบ ๆ ห้อง “คนเจ้าเล่ห์ย่อมตระเตรียมแผนสำรองไว้หลากหลาย หากลี่หมิงถังไม่ใช่คนโง่ มันไม่มีทางเก็บของล้ำค่าไว้ในสถานที่เดียวแน่ ที่นี่น่าจะพอมีสมบัติที่มักซุกซ่อนเอาไว้บ้าง ทว่าอยู่ตรงไหนกัน?”

ซูเฉินครุ่นคิด

จากนั้นจึงหันไปมองอีกด้านหนึ่ง

ห้อง ๆ หนึ่งตั้งเหนือกำแพงที่ถูกทลายไปแล้ว เป็นกำแพงที่ซูเฉินปล่อยพวกโจรออกไปสู้กับคนชุดดำเมื่อครู่

ในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ห้องห้องนั้น นัยน์ตาซูเฉินก็เป็นประกายขึ้น “กังเหยียน พังห้องนั้นเสีย”

————————————————

“อ๊าก!” ลี่หมิงถังกระเด็นตัวลอยพร้อมกับส่งน้ำเสียงเจ็บปวดออกมา เนื้อส่วนหน้าอกยุบลงเป็นหลุมก่อนที่เจ้าตัวจะกระอักเลือดคำใหญ่ออกมา

“บอกมาว่าคลังสมบัติของกองกำลังหุบเขาเงาอยู่ที่ไหน?” ปาหลงก้าวเท้ายาวเข้ามา ในตอนนี้บนร่างเขามีเกราะที่เหมือนกับเกราะบนร่างของกังเหยียนไม่มีผิดสวมอยู่ มองดูแล้วราวกับเป็นมนุษย์ทองคำยักษ์ ถึงท่วงท่าจะดูน่าเกรงขาม ทว่าแต่ละย่างก้าวของเขานั้นไม่ส่งเสียงดังมากเท่ากังเหยียน ไม่ใช่เพราะเขามีพละกำลังน้อยกว่า หากแต่ความสามารถในการควบคุมพลังของเขามีมากกว่ากังเหยียนนั่นเอง

ลี่หมิงถังมองปาหลง อ้าปากอยากจะพูดบางอย่างออกมา ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ สุดท้ายคอก็เอียงลงไปข้างหนึ่งก่อนจะสิ้นใจ

“เวรเอ๊ย!” ปาหลงโยนร่างลี่หมิงถังลงพื้นด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาอยากจัดการอีกฝ่ายโดยเร็วจึงใส่แรงมากเกินไป

อีกด้านหนึ่ง เยี่ยเม่ยกับคนชุดดำคนอื่น ๆ ก็ได้ฆ่าเหล่ากองโจรจนสิ้นไม่มีผู้ใดรอดชีวิต

ทั้งหมดมองหน้ากัน ก่อนจะพุ่งตัวไปยังทางเข้าร้านนามทองคำ ทว่าพุ่งไปยังไม่ถึงทางเข้าก็มีคนผู้หนึ่งเดินฝ่าหมอกออกมาเสียก่อน

คนผู้นั้นคือซูเฉิน ด้านหลังคือกังเหยียนที่อยู่ในชุดเกาะทองคำกำลังแบกหีบยักษ์อยู่

“ไม่จำเป็นต้องค้นที่นี่แล้ว” เขาพูดขึ้น “ข้าค้นที่ร้านนี่แล้ว ไม่มีสมบัติใดซ่อนอยู่”

คนชุดดำผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นน้ำเสียงไม่พอใจ “หากเจ้าว่าไม่มีก็คือไม่มีหรือ? พวกข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้ซุกซ่อนสมบัติไว้?”

ซูเฉินเอียงคอ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร?”

“ส่งแหวนกักเก็บของเจ้ามาให้พวกข้าตรวจสอบเสีย”

ซูเฉินคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนตอบ “ตกลง ทว่าข้าขอเตือนพวกเจ้าว่านี่ถือเป็นว่าทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเรา วันนี้เจ้าสงสัยข้าได้ วันหน้าข้าก็สงสัยพวกเจ้าได้เช่นกัน”

พูดจบก็โยนแหวนกักเก็บให้ปาหลง ไม่ให้เวลาอีกฝ่ายคิดตรึกตรองแม้แต่น้อย

เมื่อแหวนถูกโยนมาอยู่ในมือแล้ว ปาหลงก็ทำได้แต่เปิดดูเท่านั้นเพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกมองว่าเป็นคนลังเล

แน่นอนว่าไม่เจอสมบัติใด

ซูเฉินหัวเราะ “ต้องการค้นตัวข้าด้วยหรือไม่?”

ปาหลงพูดเสียงต่ำ “ไม่จำเป็น อาหลุนขอโทษคุณชายซูเสีย”

คนชุดดำนามอาหลุนทำได้เพียงเอ่ยขอโทษออกมาอย่างลังเลเท่านั้น “ขออภัยด้วยคุณชายซู”

“ไม่เป็นไร” ซูเฉินตอบ “ในเมื่อเราไม่เจอสมบัติที่นี่ คงได้แต่เดินทางไปยังหุบเขาเงา แน่นอนว่าหากยังมีผู้ใดไม่เชื่อคำข้าสามารถเข้าไปดูได้ ทว่าคงต้องเร่งมือหน่อย การเดินทางไปหุบเขาเงาใช้เวลานาน หากเรื่องนี้ต้องลากยาวไปถึงวันพรุ่ง…… ข้าจำต้องจ่ายค่าจ้างคนเพิ่มอีกหนึ่งวัน”