ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 93 ถอดรหัส
บทที่ 93 ถอดรหัส
ที่ราบเส้นทางวงแหวน
ซูเฉินยังคงทำการวิจัยสิ่งมีชีวิตเงากะพริบอยู่เป็นระยะ ๆ อย่างขยันขันแข็ง
ตัวทดลองการวิจัยนี้หาจับยากทีเดียว เพราะมันคือการรวมกันของเผ่าวิญญาณที่ต่างกันกว่าหกเผ่า มันจึงไม่อาจคาดเดาได้แม้แต่น้อย อย่างไรแล้ว กระทั่งเผ่าวิญญาณเองก็จะทำความสำเร็จนี้ซ้ำได้อย่างยากลำบากเช่นกัน
นอกจากการเปิดเผยความลับของมันเพื่อใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเพิ่มพูนการประสานของหยินและหยางสำหรับวิชาบ่มเพาะด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแล้ว ซูเฉินยังหวังว่าจะใช้มันเพื่อค้นหาความลับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า หากเป็นไปได้
วันนี้ ซูเฉินกำลังวิจัยอยู่เช่นเดิมเมื่อจูเซียนเหยาเข้ามาจากข้างนอก
หลังจากที่ซูเฉินช่วยเหลือจูเซียนเหยามาจากเขตแดนของเผ่าปักษาได้แล้ว นางก็อยู่เคียงข้างซูเฉินมาโดยตลอด นางช่วยกู่ชิงลั่วจัดการธุรการต่าง ๆ ของนิกายไร้ขอบเขตและได้รับตำแหน่งของ ‘ภรรยาเจ้านิกาย’
แต่จูเซียนเหยาไม่ได้สนใจในการจัดการธุรการของนิกาย นางสนใจในงานวิจัยของซูเฉินมากกว่า นางจึงแวะมาเยี่ยมเยียนเขาอยู่เสมอ ๆ ส่วนกู่ชิงลั่วนั้นเหมาะสมกับตำแหน่งของนางเป็นอย่างมาก นางปฏิบัติหน้าที่ของนางได้สมบูรณ์อย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้น ซูเฉินจึงไม่ได้ประหลาดใจที่จะเห็นจูเซียนเหยาเดินเข้ามาอย่างไม่บอกไม่กล่าว อันที่จริง เขากระทั่งบอกว่า “นี่ ใช้เข็มกะเทาะวิญญาณของเจ้าจิ้มเขาสักหน่อยสิ”
ซูเฉินมอบหน้าที่ให้แก่จูเซียนเหยาทันทีที่นางปรากฏตัวขึ้น
เข็มกะเทาะวิญาณคือหนึ่งในวิชาลับของตระกูลจู มันถูกเก็บไว้เป็นความลับและสามารถเรียนรู้ได้ยากยิ่งนัก จูเซียนเหยาได้ปลีกวิเวกไปเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อจดจ่ออยู่กับการศึกษาและเรียนรู้มันขณะที่นางอยู่ในเขตแดนเผ่าปักษา
แต่ก่อนที่นางจะได้ใช้มันสักครั้งในสนามรบ มันกลับถูกดัดแปลงเพื่อใช้เครื่องมือวิจัยของซูเฉิน
จูเซียนเหยาเดินเข้ามาพร้อมหัวเราะคิกคัก แสงจุดหนึ่งรวมตัวขึ้นรอบนิ้วมือของนาง แล้วจึงลอยต่ำลงสู่ตำแหน่งที่ซูเฉินกำลังชี้นิ้ว เงานั้นตอบสนองด้วยระเบิดแสงอันทรงพลังในทันที
ซูเฉินใช้ดวงตาวิเคราะห์และจำแนกปฏิกิริยาของเงามืดทันที โดยจดบันทึกทุกสิ่งที่เขาเห็นไว้ในผลึกจิตวิญญาณของตัวเอง
จูเซียนเหยารู้จักนิสัยของชายหนุ่มดีและไม่ได้เข้าไปรบกวน
หลังจากผ่านไปสักพัก แสงสว่างในดวงตาของซูเฉินก็เริ่มจางหายไป จูเซียนเหยากล่าวอย่างอ่อนโยน “ถ้าเจ้าไม่บอกข้าให้หยุดเร็ว ๆ นี้ ข้าจะเป็นลมแล้วนะ”
ซูเฉินยิ้ม “เจ้าหยุดได้แล้วล่ะ”
จูเซียนเหยาดึงมือของตนกลับมาพลางถอนหายใจ ขณะที่นางร่วงลงสู่อ้อมแขนของชายหนุ่ม “ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”
ซูเฉินโอบเอวของจูเซียนเหยาไว้ “นี่ กังเหยียนอยู่นั่นน่ะ”
กังเหยียนยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ ทำเป็นไม่รู้เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
จูเซียนเหยานั้นหน้าหนายิ่งกว่าเขาเสียอีก นางไม่ได้ใส่ใจว่ากังเหยียนจะสามารถมองเห็นพวกตนหรือไม่แม้แต่น้อย หญิงสาวโอบแขนเข้ากับลำคอของซูเฉินและจูบอีกฝ่ายอย่างดูดดื่ม “ข้าไม่สน”
หน้าหนา กล้าหาญ และบ้าบิ่น ในยุคสมัยนี้ บางคนกระทั่งมองว่าการกระทำของนางนั้นนับน่าตกใจทีเดียว
แต่ซูเฉินไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเอนกายเข้าไปและมอบจูบอันเร่าร้อนให้แก่นางเช่นกัน
กังเหยียนไม่อาจรักษาท่าทีสำรวมไว้ได้อีกต่อไป เขาถอนหายใจและกลับหลังหันเพื่อเดินจากไป
แต่เขาก็ไม่ทันได้ออกจากประตูเสียด้วยซ้ำเมื่อซูเฉินเรียกเขากลับเข้าไป “เจ้าจะไปไหน ? การทดลองยังไม่จบเสียหน่อย”
กังเหยียนกล่าวหยอกล้อ “นายท่าน ท่านยังอยากทำการทดลองต่ออีกหรือ ?”
“แน่นอน” ซูเฉินวางร่างของจูเซียนเหยาลง ทิ้งให้จูเซียนเหยาทำหน้าบูดบึ้งและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
ซูเฉินตีบั้นทายของนางอย่างเย้าแหย่ “อย่าพึ่งอารมณ์เสียเร็วนักเลย ข้ามีข่าวดีมาบอกเจ้า”
“ข้าไม่สนใจข่าวดีใด ๆ ทั้งนั้น” มือของจูเซียนเหยากำแน่นและทุบเข้าที่หน้าอกของซูเฉินอย่างแผ่วเบาราวกับว่านางกำลังจะฟาดเขาจนตาย
ซูเฉินตอบ “แม้ว่าข่าวนั้นจะเป็นเรื่องที่ข้าพบวิธีการที่จะพัฒนาคุณสมบัติพราวเสน่ห์จากสายเลือดของเจ้าน่ะหรือ ?”
จูเซียนเหยาชะงักไปทันที “เจ้าหมายถึง…”
ซูเฉินพยักหน้า “ข้าค้นพบบางสิ่งที่มอบข้อมูลเชิงลึกในทักษะทาสจิตใจของเผ่าวิญญาณให้แก่ข้า”
วิชาบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณคือหนึ่งในทักษะที่ทรงพลังที่สุดในคลังแสงของพวกมัน
แต่ความเชี่ยวชาญในทักษะนี้ก็เกี่ยวข้องกับร่างกายไร้ตัวตนของพวกมันเป็นอย่างมาก แม้ว่าใครสักคนจะเชี่ยวชาญในหลักการเบื้องหลัง พวกเขาก็อาจไม่สามารถใช้มันได้
แต่หากซูเฉินคือผู้ที่พบข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ มันจะไม่ใช่เพียงแค่ระดับของ ‘ผู้สังเกตการณ์’ อย่างแน่นอน ชายหนุ่มจะต้องพบบางสิ่งที่เขาสามารถศึกษาหรือกระทั่งใช้ได้ในอนาคตเป็นแน่
และตระกูลจูก็เชี่ยวชาญในวิชาพราวเสน่ห์ที่คล้ายคลึงกับวิชาบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณไม่น้อย ดังนั้นแล้ว จูเซียนเหยาจึงมีความสุขทีเดียวเมื่อได้ยินว่าซูเฉินค้นพบวิธีในการพัฒนาวิชาพราวเสน่ห์ของตระกูลตน
ที่จริงแล้ว วิชาพราวเสน่ห์ของตระกูลจูเคยถูกยกระดับโดยซูเฉินมาแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าการยกระดับครั้งที่สองนี้คงจะน่าประทับใจยิ่งกว่าครั้งก่อนเสียอีก
แน่นอนว่าซูเฉินยังพูดต่อไปอีก “วิชาควบคุมของเผ่าวิญญาณนั้นต่างไปจากของตระกูลจู ตระกูลจูพึ่งพาการโปรยเสน่ห์ใส่ศัตรูเป็นหลัก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทักษะนี้จะดีที่สุดเมื่อถูกใช้โดยผู้หญิง แต่วิชาบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณนั้นได้ผลไม่แตกต่างกันในทุกเพศ และผลของมันจะคงอยู่ไปตลอดกาล นี่เป็นเพราะวิธีการควบคุมของพวกเขาส่งผลกระทบโดยตรงต่อทะเลความรู้ของศัตรูโดยการใช้กำลังสร้างแดนฝันที่เขียนทับความทรงจำของพวกเขาและเปลี่ยนแปลงความจงรักภักดีของพวกเขาไป”
นี่คือครั้งแรกที่จูเซียนเหยาได้ยินผู้ใดพูดเกี่ยวกับวิธีการที่เผ่าวิญญาณควบคุมศัตรูของพวกเขา นางยังคงอยู่ในอ้อมกอดของซูเฉินในตอนนี้ หญิงสาวมองขึ้นไปยังใบหน้าของเขาด้วยดวงตากลมโตขณะที่ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ใช้กำลังเขียนทับงั้นหรือ ? แต่ทาสของเผ่าวิญญาณไม่ได้สูญเสียความทรงจำของตัวเองนี่”
ซูเฉินตอบ “แน่นอนว่าไม่ เพราะหากจะพูดให้ถูกคือ สิ่งที่พวกมันเขียนทับนั้นไม่ใช่ความทรงจำ หากแต่เป็นคุณค่า ศีลธรรม และปรัชญาของพวกมันต่างหาก พวกมันล้างสมองเป้าหมายให้เชื่อว่าเผ่าวิญญาณคือสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่า และส่งเสริมวาทกรรมนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมอบอำนาจควบคุมเหนือเป้าหมายต่อเจ้าพวกนั้นโดยสมบูรณ์ ดังนั้นแล้ว แม้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะรู้ว่าตนกำลังถูกใช้เป็นทาส มันก็ยิ่งกว่ายินดีที่จะได้รับใช้เจ้านายใหม่ของพวกมันไปโดยปริยาย เหมือนกับเด็กน้อยที่ถูกสั่งสอนให้เคารพเชื่อฟังอาจารย์และนิกายเต๋าแต่กำเนิด หรือผู้รับใช้ที่ถูกสั่งสอนว่าตนจะต้องสละชีพเพื่อราชา มันก็คือการปลูกฝังนั่นเอง”
จูเซียนเหยาชี้ทันที “แต่การสอนก็สามารถล้มเหลวได้ ในขณะที่วิชาสู่ทาสนั้นไม่”
ซูเฉินพยักหน้า “ใช่ มันเป็นไปได้ที่การสอนจะล้มเหลว แต่ทาสจิตใจจะไม่มีวันล้มเหลว นั่นเป็นเพราะสุดท้ายแล้วการสั่งสอนก็เป็นเพียงแค่ระดับพื้นผิวและแคบยิ่งนัก มันพึ่งพาคำพูดในการชี้นำและตีกรอบความคิดของบุคคล เมื่อจิตใจของเป้าหมายแข็งแกร่งเกินไป การสอนมากเท่าไรก็ไม่อาจชี้นำความคิดของคนคนนั้นได้ ในทางกลับกัน ทาสจิตใจจะถูกปลูกฝังความเชื่อเหล่านี้ลงในหัวใจของบุคคลโดยตรงเพื่อให้ผลของการทำให้เป็นทาสสำเร็จ ที่จริง เผ่าวิญญาณมีฝีมือทีเดียวที่สามารถทำอะไรเช่นนั้นได้สำเร็จ พวกเขาได้ปลูกฝังเมล็ดจิตไว้ในทะเลความรู้ของเป้าหมายไว้จริง ๆ”
“เมล็ดจิตหรือ ?” จูเซียนเหยาตื่นอกตื่นใจ
สิ่งที่ซูเฉินพึ่งจะพูดออกมานั้นไม่ได้เป็นความลับเสียทีเดียว อย่างไรแล้ว เผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณต่างก็คุ้นเคยซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี จูเซียนเหยารู้สิ่งที่ซูเฉินอธิบายไปอยู่แล้วบางส่วน แต่อาจไม่ลึกซึ้งเท่ากับเขาเท่านั้นเอง
แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่จูเซียนเหยาได้ยินเกี่ยวกับเมล็ดจิต
“ใช่ เมล็ดจิต !” ซูเฉินป่าวประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจ “เมล็ดจิตของพวกเขานั้นถูกปกปิดเป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะการผสมผสานของเผ่าวิญญาณ ข้าก็คงไม่ได้ค้นพบความลับนี้”
เผ่าวิญญาณผสานนี้ประกอบขึ้นจากเผ่าวิญญาณที่แตกต่างกันหกเผ่า แม้ว่าองค์ประกอบจะได้หลอมรวมกันแล้ว พวกมันก็ไม่ใช่ตัวตนเดียวจริง ๆ นี่หมายความว่ามีช่องโหว่อยู่ในองค์ประกอบของพวกมันที่ซูเฉินสามารถใช้ประโยชน์ได้
การรวมร่างเข้าด้วยกันได้ทำให้เผ่าวิญญาณผสานนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้นไปอีก แต่มันก็มาพร้อมกับจุดบกพร่องด้วยเช่นกัน เมื่อจูเซียนเหยาใช้เข็มกะเทาะวิญญาณของนางจู่โจมเข้าที่มันอย่างหนักหน่วง จุดบกพร่องเหล่านี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาสู่ระดับที่สามารถมองเห็นได้ ทำให้ซูเฉินสามารถมองเห็นภาพของความลับเบื้องหลังวิชาบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมล็ดจิตนี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงจิตใจของเด็กน้อย
เมื่อเผ่าวิญญาณใช้วิชาบงการจิตทาสกับเป้าหมาย พวกมันจะแยกชิ้นส่วนจิตใจของเหยื่อออกมา ฝังจิตวิญญาณของเด็กลงไปในทะเลความรู้ของตัวเอง แล้วจึงใช้มันเพื่อควบคุมจิตใจของเป้าหมาย เพราะกระบวนการนี้มีการตัดแบ่งจิตใจของพวกมันออกเป็นส่วนของผู้ปกครองและเด็ก และเพราะเผ่าวิญญาณเป็นตัวตนทางจิตวิญญาณ ทุก ๆ การใช้วิชาบงการจิตทาสจึงจะลดความแข็งแกร่งของพวกมันลงถาวรไปจนถึงขอบเขตหนึ่ง
วิธีการนี้ทำให้เผ่าวิญญาณสามารถบรรจุจิตใจของตนลงไปในสิ่งมีชีวิตอื่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่วิชานี้ถูกใช้งานสำเร็จเป็นต้นไป เส้นใยจิตใจของเผ่าวิญญาณก็จะผันเปลี่ยนกระบวนการคิดของเป้าหมายไปอย่างต่อเนื่อง ผลที่เกิดขึ้นคือ เป้าหมายที่กลายเป็นทาสคนใดก็ตามจะรับใช้เผ่าวิญญาณด้วยความเต็มใจไม่ว่าความทรงจำของพวกเขาจะไร้รอยขีดข่วนหรือไม่ก็ตาม อย่างไรแล้ว จิตใจของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นของตัวเองอีกต่อไป
เผ่าวิญญาณได้ปกปิดเมล็ดจิตเหล่านี้ไว้ดีทีเดียว พวกมันถูกตามหาได้ยากยิ่งนักและกระทั่งมีความสามารถในการทำลายตัวเอง หากใครบางคนกระตุ้นผู้ที่กลายเป็นทาส เมล็ดจิตก็จะทำลายตัวเองโดยธรรมชาติ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครสามารถตรวจสอบและค้นพบความลับของเผ่าวิญญาณได้
เผ่าวิญญาณได้ควบคุมเป้าหมายมาแล้วนับไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ เพียงเมล็ดจิตที่สามารถทำลายตนเองได้ ก็ทำให้ไม่มีใครที่ไหนค้นพบความลับเบื้องหลังการเป็นทาสจิตใจนี้มาเป็นเวลาเนิ่นนาน
จนกระทั่งเผ่าวิญญาณผสานนี้ปรากฏกายขึ้น
สิ่งผสมประหลาดนี้ถูกประกอบสร้างขึ้นโดยเป็นผลพลอยได้จากปฏิกิริยาและเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น มีความโกลาหลและความไม่แน่นอนที่ปรากฏประปรายขึ้นระหว่างกระบวนการรวมตัว
ซูเฉินขอให้จูเซียนเหยาใช้เข็มกะเทาะวิญญาณของนางกับมันเพราะนี่จะกระตุ้นการป้องกันของเงานั้นและทำให้มันใช้วิชาบงการจิตทาสเพื่อตอบโต้ตามธรรมชาติ
แต่ซูเฉินนั้นครอบครองวิชากำแพงใจ แทนที่จะตอบโต้ เขากลับฉวยโอกาสนี้ในการสังเกตดูสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตัวเอง นอกจากการเตรียมการที่เพียบพร้อมของชายหนุ่มแล้ว เข็มกะเทาะวิญญาณยังได้ทำให้เงาทะมึนเป็นอัมพาตและเฉื่อยชาการโจมตีของมันลงมหาศาล เช่นเดียวกับความคิดแสนวุ่นวายของจิตใจทั้งหกและการโจมตีที่เชื่องช้าของมันด้วยความเจ็บปวดจากเข็มกะเทาะวิญญาณ หมายความว่าเผ่าวิญญาณผสานนี้ถูกบังคับให้เผยไพ่ในมือออกมา นี่คือวิธีการที่ซูเฉินใช้ในการค้นพบเมล็ดจิต
“ช่างเป็นกระบวนการคิดที่น่าอัศจรรย์และทักษะที่งามหยดย้อยอะไรเยี่ยงนี้” เมื่อนึกขึ้นได้ถึงเค้าโครงทางทฤษฎีของวิชาบงการจิตทาสแล้ว ซูเฉินก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความชื่นชมอย่างช่วยไม่ได้ “แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น มันไม่ได้แตกต่างอย่างที่พวกเราคิดไว้”
ดวงตาของจูเซียนเหยาเบิกโพลง “เจ้าหมายถึง…”
“มนุษย์ก็สามารถเรียนรู้มันได้เช่นกัน !” ซูเฉินตอบอย่างมั่นใจ
การค้นพบเพียงหนึ่งเดียวนี้ได้พังทลายภาพติดตาของเผ่าวิญญาณที่มีตัวตนอยู่มาหลายหมื่นปี
ใช่แล้ว มนุษย์ก็สามารถเรียนรู้วิชานี้ได้เช่นกัน !!
แม้ว่าวิชานี้จะซับซ้อน มันก็ยังสามารถเรียนรู้ได้ แต่ข้อกำหนดเบื้องต้นที่จะทำเช่นนั้นก็สูงทีเดียว และผลของมันก็จะไม่ได้มีศักยภาพมากนัก ถึงอย่างนั้น มันก็ยังสามารถเรียนรู้ได้
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุด
อันที่จริง ซูเฉินไม่ได้ต้องการที่จะทำให้ความลับเบื้องหลังวิชาบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณถูกเผยแพร่ออกไป เผ่าวิญญาณนั้นโดนดูถูกเหยียดหยามเป็นที่แพร่หลายอยู่แล้ว ส่วนการสอนมนุษย์ถึงวิธีการควบคุมผู้อื่นก็คงจะไม่ส่งผลดีใด ๆ ตามมา
แต่ตอนนี้เมื่อเขารู้ความลับของเมล็ดจิตแล้ว เขาก็สามารถพัฒนายาที่สามารถช่วยให้ศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตสามารถต้านทานวิชานี้ได้ดียิ่งขึ้น
ช่องโหว่ที่ทำให้เกิดเหตุวิกฤติในปัจจุบันสามารถถูกกำจัดไปได้แล้วในที่สุด
จูเซียนเหยาเองก็ปลาบปลื้มเมื่อได้นึกสิ่งนี้ขึ้นได้เช่นกัน นางคว้าคอเสื้อของซูเฉินด้วยความตื่นเต้นและตะโกนลั่น “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะว่าอย่างไร เจ้าต้องสอนวิธีใช้เมล็ดจิตให้ข้า !”
ซูเฉินหัวเราะขณะที่เขาตอบ “ข้าสอนเจ้าได้ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าก่อนว่าเข้าจะไม่เผยแพร่วิชานี้ ไม่อย่างนั้น… ทั้งทวีปจะตกสู่ความโกลาหล”
“เข้าใจแล้ว !” จูเซียนเหยาหยักหน้าอย่างขะมักเขม้น “ข้าจะเรียนรู้มัน แล้วข้าก็จะทำให้กลุ่มของเผ่าวิญญาณกลายเป็นทาสเพื่อให้พวกมันทำสิ่งต่าง ๆ แก่พวกเรา ด้วยวิธีนั้น พี่สาวชิงลั่วก็จะไม่ต้องรับหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายนัก”
‘นางเองก็มีความทะเยอทะยานที่จะไม่ปล่อยให้กู่ชิงลั่วแย่งความสนใจทั้งหมดไปอยู่บ้างสินะ’ ซูเฉินคิดกับตัวเอง
แต่นี่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน
กู่ชิงลั่วครอบครองสายเลือดมังกรสุริยะ ซึ่งทำให้ศัตรูแทบทุกคนที่เผชิญหน้ากับนางต้องสะพรึงกลัว จูเซียนเหยาก็จำเป็นต้องมีความพิเศษในตัวเองเช่นกัน ด้วยพลังในสายเลือดและวิชาบงการจิตทาสของนางรวมกันแล้ว มันก็เป็นไปได้ที่นางจะกลายเป็นนางจิ้งจอกพราวเสน่ห์ผู้ยิ่งใหญ่
หากเป็นเช่นนั้น… หึหึ ทั้งฝูงเผ่าวิญญาณจะรับฟังคำสั่งของข้า
ความคิดนั้นฟังดูดีมากขึ้นและมากขึ้น