ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 199 แย่ง!!!
ณ อาณาเขตหลิงอู่ เจียงหลีและคุนอู๋แยกกับมู่เหยี่ยนฉือ
เพราะเขาต้องการประสานกับแรด และเมื่อทำสำเร็จ ก็จะออกจากอาณาเขตหลิงอู่ ฉะนั้น พวกเขาทั้งสามจึงไม่สามารถร่วมทางกันได้
“ศิษย์พี่สาม…” เจียงหลีเอ่ยระหว่างทาง
แต่กลับถูกคุนอู๋ขัดจังหวะก่อนที่นางจะพูดจบ “เจ้าอยากพูดเรื่องของจยาเซียนใช่หรือไม่ ครั้นเจ้าเข้ามาฮวงเสินไม่นาน พวกเราก็ทราบเรื่องกันหมดแล้ว เรื่องแค่นี้เอง เจ้าอย่าได้กด ดดันตัวเอง ส่วนมู่เหยี่ยนฉือนั้น เขามีความสามารถดี ตอนนี้เจ้าต้องการคน ในเมื่อเจ้าเต็มใจช่วยเขา หมายความว่าความทรงจำที่เจ้ามีต่อเขาถือว่าไม่แย่ ดังนั้น จงใช้โอกาสนี้รวบรวมอำนาจ จเถิด”
เจียงหลียักคิ้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ
คุนอู๋มองเห็นทุกอย่างชัดเจนมากและพูดกับนางอย่างชัดเจนเช่นกัน
“ศิษย์พี่สามกำลังมองหาวิญญาณยุทธ์ประเภทใดหรือ” เจียงหลีถามคุนอู๋อย่างประหลาดใจ เพราะรู้ว่าคุนอู๋ก็ฝึกฝนเนี่ยนซือและหลิงซือควบคู่กัน
“ข้าไม่รีบ ครั้งนี้ว่าจะหาประเภทช่วยเหลือ แต่ข้าจะช่วยเจ้าหาเทียนหยาให้ได้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน” คุนอู๋ยิ้มตอบ
“ขอบคุณศิษย์พี่สามมาก” เจียงหลียิ้มอย่างสดใส
คุนอู๋กลับกลอกตาใส่นาง “อย่ามา เจ้าเกรงใจข้า ไม่ใช่เรื่องดีเลย”
เจียงหลีผงะ เงยหน้าหัวเราะ “ฮ่าๆๆ…”
…
ณ ตำหนักเย่า ส่วนลึกในตำหนักของเสิ่นฉง มีกลิ่นหอมของสุราลอยมาเป็นระยะๆ
หากตามกลิ่นหอมนั้นไป จะแอบเห็นสถานที่หมักและกลั่นสุราของเขา โดยที่นี่มีอุปกรณ์การกลั่นสุราครบครัน และมีธัญพืชอาหารแห้ง ผลไม้สด ดอกไม้นานาชนิดที่เขาคัดสรรมาอย่างดีจากราช ชสำนัก
เว่ยจี๋นอนอยู่บนโต๊ะในห้องกลั่นสุรา โดยใช้มือหนุนศีรษะ ใบหน้าขาวผ่องและงดงาม ทำให้ผู้คนหลงใหลและเพ้อฝัน รวมถึงท่าทางที่เกียจคร้านนั้น ยั่วยวนไม่น้อย
น่าเสียดายที่ไม่มีใครมองเห็น
เสิ่นฉงยังคงแต่งกายด้วยชุดขาว ยืนอยู่ที่ถังกรองสุรา โดยใช้ช้อนตักขึ้นมาและวางไปที่ปลายจมูกแล้วสูดดมเบาๆ แต่เขากลับขมวดคิ้วและส่ายศีรษะอย่างไม่พอใจ เทสุราช้อนนั้นลงกับ บพื้น “ยังขาดอะไรบางอย่างอีกเล็กน้อย”
เว่ยจี๋ยืดตัว สูดหายใจเข้าลึกๆ
เสิ่นฉงกลับไม่พอใจกับสุราที่มีกลิ่นหอมมากเช่นนี้ เขามองไปที่เสิ่นฉงและพูดติดตลกว่า “คนที่กินดีอยู่ดีไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่อดอยากหรอก! หากข้ากลั่นสุราได้ยอดเยี่ยมเช่ นนี้ ถึงจะเป็นเพียงความฝันก็จะดีใจหัวเราะลั่นจนตื่น แต่เขากลับไม่พอใจและทำสีหน้ารังเกียจ”
แน่นอนเสิ่นฉงไม่ได้ยินสิ่งที่เขาเย้าแหย่
เสิ่นฉงเดินไปยังสถานที่เก็บธัญพืช และมองดูธัญพืชอย่างละเอียด “ดูเหมือนวัตถุดิบของสุรากลั่นเหล่านี้จะค่อนข้างเก่าไปบ้าง ต้องไปเอามาใหม่แล้ว”
ฮะ!
เว่ยจี๋ได้ยินเพียงเท่านี้ ก็กระโดดลงจากโต๊ะทันที แล้วเขยิบเข้าใกล้เสิ่นฉง พร้อมกลับชี้มาที่ตัวเอง “พาข้าไปด้วย พาข้าไปด้วย! ”
หากให้เจียงหลีเห็นพฤติกรรมปัญญาอ่อนของเขาเช่นนี้ คงจะพร่ำบ่นเขาอย่างหนักแน่นอน
เสิ่นฉงไม่ได้ตอบสนองเขาและเดินตรงออกไปข้างนอก
สิ่งนี้ทำให้เว่ยจี๋ตกใจจนกระโดดขึ้น มองไปยังไหสุราที่เขาทำขึ้นด้วยหน้าตาบูดบึ้ง
ทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เว่ยจี๋เงยหน้าขึ้น มองเห็นเสิ่นฉงกำลังรีบเดินกลับมาและเดินผ่านเขาไป แล้วหยุดอยู่หน้าชั้นวาง พร้อมกับยื่นมือออกไปหยิบไหสุราของเขา
การกระทำนี้ทำให้เว่ยจี๋ยิ้มอย่างพอใจ
แต่กลับได้ยินเสิ่นฉงพูดว่า “อันนี้เป็นของศิษย์น้องเล็ก หากข้าเอาไปด้วยแล้วเกิดอะไรผิดพลาดระหว่างทาง ถึงตอนนั้น ศิษย์น้องเล็กกลับมา คงจะอธิบายไม่ได้แน่”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลังเลอีกครั้งและวางไหสุรากลับที่เดิม
“ไม่ต้องอธิบายอะไรกับนางทั้งนั้น! นางไม่ใช่เจ้าของข้า!” เว่ยจี๋ตะโกนด้วยความร้อนรน
เสิ่นฉงหันหลังเดินจากไป แต่ก็หันศีรษะกลับมาอย่างเสียดายและมองไปที่ไหสุราบนชั้นวาง เขามีความเคยชินอย่างหนึ่ง เมื่อต้องลงเขาออกเดินทาง มักนำสุราที่กลั่นเองติดตัวไปด้วย
“เอาไปด้วยเถิด! ชอบก็เอาไปด้วยเลย! เป็นบุรุษแท้ๆ ยังจะมาลีลาทำไม ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเป็นถึงหลิงหวง ไม่มีทางที่จะรักษาไหสุราสักใบไม่ได้หรอกนะ!” เว่ยจี๋ยังคงโน้มน้าวต่อไป
แม้เขาจะรู้ว่าการโน้มน้าวครั้งนี้ เสิ่นฉงจะไม่ได้ยินก็ตาม
เสิ่นฉงดูเหมือนจะลังเลชั่วครู่ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพกไหสุราที่ใส่เว่ยจี๋ไว้ไปด้วย
ณ เวลานี้ เว่ยจี๋พอใจนัก เดินวางมาดออกจากฮวงเสินพร้อมกับเสิ่นฉง
…
วัตถุดิบของสุรากลั่นที่เสิ่นฉงตามหาอยู่นั้น ล้วนหาได้จากอาณาจักรบางแห่งภายใต้การปกครองของฮวงเสิน เขามุ่งตรงไปยังทุ่งนาชนบทเพื่อเก็บรวบรวมส่วนผสมเหล่านั้น
ด้วยระดับการฝึกฝนและความเชี่ยวชาญในศาสตร์ลับของเสิ่นฉง ในชั่วพริบตา เขาก็ปรากฏตัวบนคันนาในทันที
ทุ่งนาโดยรอบ รวงข้าวสาลีสีทองแกว่งไกวตามแรงลม วิวทิวทัศน์สุดแสนจะงดงาม
เขาผูกไหสุราของเว่ยจี๋ไว้ที่เอว ขณะวิญญาณร้ายบางตัวกำลังเดินวางมาดตามเขาไป มองเห็นแผ่นหลังที่ล่องลอยไปอย่างอิสระ จึงหรี่ตายิ้มจนดวงตาดังหงส์กลายเป็นเส้นตรง
เสิ่นฉงหยุดเดินและก้มตัวตรวจดูรวงข้าวสาลีในทุ่งนาเป็นระยะๆ แล้วค่อยก้าวเดินต่อ
อย่างไรก็ตาม เขาทำให้รู้สึกเหมือนวิมานบนดิน รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ
“ช่างอิสระดั่งเซียนเสียจริงเชียว!” เว่ยจี๋ถอนหายใจเอ่ย
เขาชื่มชมอารมณ์ความรู้สึกของเสิ่นฉงเช่นนี้นัก ซึ่งแตกต่างจากเขา เมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์ เขาได้ลิ้มรสทั้งของความทุกข์ทรมานและความขมขื่น ทั้งจากความอบอุ่นและความเย็นชาของมนุษ ษย์
เว่ยจี๋หุบยิ้มเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าฉากสุขสบายตรงหน้า จะกระตุ้นความทรงจำในอดีตของเขาบางส่วน
“เพราะหัวใจของข้าขมขื่น ฉะนั้น สุราที่กลั่นออกมาจึงมีรสขมอย่างนั้นหรือ” เว่ยจี๋พูดกับตัวเอง มองไปยังไหสุราคาดเอวของเสิ่นฉง
สุราที่ใส่ไว้ข้างใน เขาสามารถลิ้มรสนั้นได้
เว่ยจี๋อ้าปากเล็กน้อย สุราในขวดนั้น ได้เทเข้าปากของเขา
หลังจากกลืนแล้ว เว่ยจี๋ยิ้มอย่างพึงพอใจ สุราชั้นดี! ช่างเป็นสุราชั้นดีจริงๆ!
เสิ่นฉงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น และยังคงมุ่งมั่นเลือกสรรวัตถุดิบที่เหมาะสมสำหรับกลั่นสุรา
…
เดินๆ หยุดๆ จนถึงยามค่ำคืน และในระหว่างที่ยอดไม้อยู่บนพระจันทร์ หมู่ดาวกระจายเต็มท้องฟ้า เสิ่นฉงก็พบกับสถานที่กลางแจ้งที่มีทิวทัศน์สวยงามโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วนั่งลงกับพื้น และพิงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเขาโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน
“ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ จะขาดสุราไปได้อย่างไร” เสิ่นฉงแหงนมองดาวบนท้องฟ้า หยิบไหสุราจากเอว และเมื่อกำลังจะจิบ กลับพบว่ามีเหลือสุราอยู่ไม่มาก
“เอ้ะ” เสิ่นฉงขมวดคิ้ว
เขามั่นใจว่าตอนออกเดินทาง สุรายังเต็มขวดอยู่เลย
หลังจากเขย่าขวดดูแล้ว ขณะนี้เหลือสุราเพียงครึ่งเดียว “เหตุใดถึงแปลกเช่นนี้” เสิ่นฉงยกริมฝีปากยิ้ม ดูเหมือนเขาจะไม่ต้องการค้นหาคำตอบ แต่กลับพูดอย่างเปิดเผยว่า “น่าจะเป็นภูตผี แห่งขุนเขาถูกดึงดูดด้วยสุราของเสิ่นฉง จึงแอบดื่มไปครึ่งไหล่ะสิ”
เอิ้กกก!
กิ่งไม้หนาที่อยู่หนือศีรษะของเสิ่นฉง ‘ภูตผีแห่งขุนเขา’ ที่มีผิวสวยขาวผ่องกำลังนอนราบอยู่และเรอขึ้น หลังจากได้ยินคำพูดของเสิ่นฉง เขายิ้มอย่างมีความสุขและพึมพำ “ถูกต้อง ใค ครให้เจ้าทำสุรายอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาเล่า”
…
ณ อาณาเขตหลิงอู่ เจียงหลีและคุนอู๋กำลังซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด เฝ้ามองกลุ่มคนที่ซุ่มซ่อนอยู่
“ศิษย์น้องเล็ก โชคจะหล่นทับอะไรเจ้าเช่นนี้! พวกเราเข้ามาได้ไม่นาน ก็ได้พบกับเทียนหยา! ตระกูลเจ้าเป็นคนเปิดอาณาเขตหลิงอู่นี้จริงๆ ด้วย!” คุนอู๋กระซิบ
เจียงหลีขี้เกียจเล่นแง่กับเขา จึงเอ่ยแค่ว่า “เสียดายที่เรามาช้าไป”
คุนอู๋กลับเอ่ยว่า “กลัวอะไรเล่า! แย่งมาสิ!”