สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 786 จับปูใส่กระด้ง
บทที่ 786 จับปูใส่กระด้ง
ดวงไฟส่องไสว ณ ตำหนักกั๋วซือ
พอหันกุ้ยเฟยถูกโค่น จึงไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไส้ศึกคนนั้นไว้อีก กู้เจียวเลยสั่งให้เขา ‘ทำลาย’ ของสิ่งหนึ่ง ก่อนจะให้คนนำตัวเขาส่งกลับวัง
ต่อให้จางเต๋อเฉวียนจะสงสัยหรือไม่ก็ตาม แต่ต่อไปเขาคงไม่คิดจะใช้งานลูกสมุนที่แสนสะเพร่าแบบนี้อีกแน่ๆ
จี้จิ่วอาวุโสกำลังทำความเข้าใจเรื่องสิบตระกูลใหญ่ ขณะที่ไทเฮากอดขวดโหลผลไม้เชื่อมอย่างทะนุถนอมและละเมียดละไมทีละคำ
กู้เจียวลุกขึ้นแล้วเอ่ย “เดี๋ยวข้าไปทำอาหารให้กิน”
แม้ตำหนักกั๋วซือจะมีพ่อครัว แต่กู้เจียวอยากลงครัวทำอาหารที่ทุกคนคุ้นเคยได้ทาน
จวงไทเฮาได้ยินดังนั้นจึงรีบแย้ง “กลับมาก่อน! ใครใช้ให้เจ้าทำอาหารมิทราบ”
ไปเข้าครัวในวันที่อากาศร้อนแบบนี้มีหวังได้โดนย่างสุกแน่!
“ก็ไหนท่าย่าบอกว่าอยากกินอาหารแคว้นเจามิใช่หรือ” กู้เจียวถาม
จวงไทเฮาคิดในใจ… ตอนนั้นข้าก็แค่เอ่ยลอยๆ ขึ้นมาเท่านั้นเอง ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่จี้จิ่ว “เจ้า ไปทำซิ”
ทว่าเขาไม่อยากไป “ที่นี่มีพ่อครัวอยู่แล้วไม่ใช่รึ ไยให้ข้าไป…”
“ข้าไปเอง” จู่ๆ เซียวเหิงก็โพล่งขึ้น
จี้จิ่วได้ยินดังนั้นก็รีบโบกมือปัด “เจ้าห้ามไปเด็ดขาด! เดี๋ยวข้าไปเอง!”
เซียวเหิง “…”
ไม่มีใครอยากกินฝีมืออาหารสุดพิสดารของเซียวเหิง ดังนั้นจี้จิ่วจึงยอมเป็นฝ่ายลงครัวเอง
หลังจากที่องค์หญิงน้อยเดินทางกลับวัง
เสี่ยวจิ้งคงจึงถูกกู้เฉิงเฟิงลากตัวไปตลาดเพื่อซื้อถังหูลู่
ในห้องจึงเหลือเพียงแค่กู้เจียว ไท่เฮา และเซียวเหิง
กู้เจียวร้องอ๋อหนึ่งที ก่อนเอ่ย “ท่านย่า เกิดเรื่องกับตระกูลหันขนาดนี้ ป่านนี้เรื่องที่องค์หญิงสามก่อไว้คงถูกเปิดโปงแล้ว แล้วทีนี้พวกเขาจะทำอย่างไรต่อ”
ในเมื่อตอนนี้มีท่านย่ากับจี้จิ่วอยู่ที่นี่ กู้เจียวกับเซียวเหิงจะได้ไม่ต้องคิดเยอะ
จวงไทเฮาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ก็คงตามมาถึงที่น่ะสิ”
ว่าแล้วก็ตายยากเสียจริง
เพราะตอนนั้นเองที่มีลูกศิษย์ของกั๋วซือเดินเข้ามายังตำหนักฉีหลินพร้อมกับประสานมือคำนับไปที่เซียวเหิง “ทูลพระราชนัดดา มีแขกมาเยือนที่นี่สองคนขอรับ ทั้งยังบอกว่าฝ่าบาทส่งพวกเขามาเยี่ยมองค์หญิงสามขอรับ ”
เซียวเหิงกับกู้เจียวหันมาสบตากัน
จวงไทเฮาพยักหน้าเบาๆ
“ให้พวกเขาเข้ามาได้” เซียวเหิงบอกกับลูกศิษย์
“ขอรับ!”
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ขันที่นายหนึ่งพร้อมกับอีกคนที่แต่งตัวเป็นแม่นมก็เข้ามาที่ตำหนักฉีหลิน
คนที่เป็นแม่นมเอาแต่เดินก้มหน้าและหลบอยู่ด้านหลังขันที
ขันทีมองไปที่สาวใช้ตัวน้อยที่รับหน้าที่เฝ้าประตูให้ซ่างกวานเยี่ยน และเอ่ยอย่างเป็นสุข “พวกเรามาที่นี่เพื่อมอบเสื้อผ้าให้กับองค์หญิงสาม… พระราชนัดดาไม่อยู่ที่นี่หรือ”
สาวใช้ตัวน้อยตอบกลับ “ฝ่าบาทเพิ่งออกไปเข้าห้องน้ำเจ้าค่ะ”
ก็ดี พวกเขาจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างเพื่อให้พระราชนัดดาออกไป
จากนั้นขันทีก็เอ่ยขึ้นต่อ “ไว้เดี๋ยวข้าจะไปถวายบังคมพระราชนัดดาทีหลัง ตอนนี้ข้าขอเข้าเฝ้าองค์หญิงสามก่อนจะได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยเอ่ยตอบพร้อมหลีกทางให้
แล้วพวกเขาก็เดินเข้าไปข้างใน
สักพัก เสียงขันทีก็ดังมาจากห้อง “ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยพอดีตัวเท่าไหร่นัก เจ้าวัดตัวให้องค์หญิงสามที ข้าจะไปสั่งตัดใหม่ เช่นนั้นข้าออกไปรอด้านนอกก่อนนะ”
แล้วขันทีคนนั้นก็เดินออกมาจากห้อง จากนั้นหันมายิ้มให้หวนเอ๋อร์ “ข้ากระหายน้ำ เจ้าไปเอาน้ำมาให้ข้าได้หรือไม่”
“รอสักครู่เจ้าค่ะ”
แล้วหวนเอ๋อร์ก็เดินออกไป
ภายในห้อง คนที่แต่งตัวเป็นแม่นมก็เดินเข้าไปที่ด้านหลังฉากกั้น แล้วหันไปเอ่ยกับม่านด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เลิกเล่นละครได้แล้วองค์หญิงสาม รีบออกมาเสียดีๆ ”
มีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว
และในไม่นานม่านก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของซ่างกวานเยี่ยน “หวังเสียนเฟย ไม่ได้เจอกันตั้งสามวัน สบายดีหรือไม่”
หวังเสียนเฟยแสยะยิ้มกลับ “ไม่เรียกข้าว่าเสียนหมู่เฟยแล้วรึ”
ซ่างกวานเยี่ยนโต้กลับทันควัน “ท่านคู่ควรด้วยหรือ”
อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็แทบจะลมใส่ หลอกใช้เสร็จก็ไม่เห็นหัวกันเลยนะ!
หวังเสียนเฟยเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “ซ่างกวานเยี่ยน อย่าได้ใจเกินไป ข้ารู้วีรกรรมของเจ้าแล้ว คนอื่นๆ ก็เช่นกัน คอยดูนะ เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนจะมาพร้อมกับฝ่าบาทเพื่อตรวจอาการของเจ้า ต่อให้เจ้าเสียใจก็ไม่ทันแล้ว!”
ซ่างกวานเยี่ยนเลิกคิ้วใส่ “อ๋อ อย่างนั้นรึ เช่นนั้นที่หวังเสียนเฟยถ่อมาถึงที่นี่ก็เพื่อมาดูข้าร้องห่มร้องไห้เสียใจสินะ”
แววตาวาวโรจน์ของหวังเสียนเฟยลุกขึ้นทันที “ซ่างกวานเยี่ยน อย่ามัวแต่ทำเป็นปากดีอยู่เลย! ข้ามีหลักฐานอยู่ในมือข้า หากเรื่องแดงขึ้นมา เจ้าจะต้องพบเจอกับจุดจบที่ร้ายแรงกว่าครั้งก่อนอย่างแน่นอน! และข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้!”
“เหตุใดท่านต้องช่วยข้าด้วย” ซ่างกวานเยี่ยนถาม
“เรามาตกลงกัน ขอเพียงเจ้ารักษาสัจจะ ข้าจะหาวิธีช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากภัยที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้!” หวังเสียนเฟยกล่าว
ซ่างกวานเยี่ยนไม่ถามต่อว่าจะใช้วิธีอะไร ได้แต่แค่นเสียงหัวเราะพร้อมกับตอบไป “ข้าเคยหลอกท่านไปหนหนึ่งแล้ว ท่านยังกล้าที่จะมาทำข้อตกลงกับข้าอีกหรือ นี่ท่านคงไม่ได้ตากฝนมากจนน้ำเข้าสมองเยอะเกินใช่ไหม”
ซ่างกวานเยี่ยนเป็นคนที่เอ่ยวาจากวนประสาทคนได้เก่งยิ่งนัก หวังเสียนเฟยได้แต่สูดหายใจเข้าออกเพื่อข่มไม่ให้ตัวเองเผลอหยิบดาบขึ้นมาแทงอีกฝ่าย!
“ที่ข้ากล้ามาที่นี่ในวันนี้ ย่อมแปลว่าข้าไม่กลัวที่จะถูกเจ้าหักหลังอีก! และเจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นด้วย!” หวังเสียนเฟยเอ่ยข่ม
ซ่างกวานเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็หรี่ตาพร้อมกับคิดตาม “ฟังดูก็มีเหตุผล แล้วเสียนเฟยจะให้ข้าทำเช่นไร”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายคล้อยตาม หวังเสียนเฟยจึงทำสีหน้าดีขึ้น “ง่ายมาก เจ้าก็แกล้งทำเป็นไม่สบายช่วงกลางดึก จะอาการอะไรเจ้าก็ไปคิดมาเอง จากนั้นรอให้ข่าวสะพัดไปถึงวัง แล้วข้าจะโน้มน้าวให้ฝ่าบาทมาเยี่ยมเจ้า ถึงตอนนั้นสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือลืมตาเฉยๆ ดึงมือของข้าแล้วเรียกข้าว่าเสด็จแม่เป็นพอ!”
ซ่างกวานเยี่ยนทำหน้าสงสัย “ท่านจะให้ข้าแกล้งบ้ารึ”
หวังเสียนเฟยตอบเสียงแข็ง “ขนาดคนความจำเสื่อมเจ้ายังเคยเล่นมาแล้ว แค่แกล้งบ้าจะไปยากอะไร”
ซ่างกวานเยี่ยนเลิกคิ้ว “แล้วหากฝ่าบาทไม่เชื่อเล่า”
หวังเสียนเฟยดึงหน้าเคร่งขรึม “นั่นมันปัญหาของเจ้า หากเจ้าทำให้ฝ่าบาทเชื่อไม่ได้ ก็นอนรอวันพรุ่งนี้แล้วกัน!”
นางแม่มดนี่คิดจะหลอกให้นางยอมรับว่าตัวเองเป็นแม่ให้ได้ใช่ไหม คิดได้อย่างไร!
ซ่างกวานเยี่ยนสวมรองเท้า ลุกจากเตียง เดินช้าๆ ไปที่หน้าต่าง และมองหวังเสียนเฟยด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก “ข้อเสนอของท่านช่างน่าดึงดูดใจยิ่งนัก ตัวข้าเองก็อยากตอบตกลง เพียงแต่… ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยหรือไหม”
จากนั้นนางก็เปิดบานหน้าต่างออก
และนั่นทำให้หวังเสียนเฟยได้พบกับต่งเฉินเฟย หยางเต๋อเฟย เฉินชูเฟยและเฟิ่งเจาอี๋ที่กำลังหลบอยู่นอกหน้าต่าง!
พวกเขาทั้งสี่ไม่คาดคิดว่าซ่างกวานเยี่ยนจะเปิดหน้าต่างกะทันหันขนาดนี้ จึงไม่ทันระวัง พวกเขาทั้งหมดได้แต่ตกตะลึง!
หวังเสียนเฟยเองก็เช่นกัน
พวกเขามองหน้าสบตากัน
นี่มันน่าขายหน้าสิ้นดี
“พวกเจ้า…มาที่นี่ได้อย่างไร”
หวังเสียนเฟยเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน
ซ่างกวานเยี่ยนได้แต่ยืนกอดอกมองฉากนี้อย่างบันเทิงใจ
ต่งเฉินเฟยกระแอมในลำคอ ก่อนถามกลับ “พวกเราต่างหากที่ต้องถามคำถามนี้! ไหนเจ้าบอกว่าพรุ่งนี้จะไปทูลฝ่าบาทมิใช่รึ ที่แท้ก็แอบมาทำข้อตกลงลับกับคนหน้าด้านแบบนี้เพื่อถ่วงเวลาสินะ!”
ซ่างกวานเยี่ยนส่งสายตาอำมหิตพร้อมเอ็ดอึง “นี่ ระวังคำพูดด้วย”
ใครหน้าด้านกันแน่
ไม่ใช่พวกเจ้ารึที่ทำตัวหน้าด้านกว่า
เป็นเพื่อนกันแท้ๆ แต่กลับหักหลังกันเองเนี่ยนะ ช่างน่าขายหน้าเสียจริง
“พวกเจ้าเองก็เหมือนกันมิใช่รึ” หวังเสียนเฟยโต้กลับ
“พวกเรา…” ใบหน้าของต่งเฉินเฟยเริ่มแดงพล่าน ก่อนจะรีบหันไปทางเฟิ่งเจาอี๋พร้อมเอ่ย “นางมาที่นี่ก่อนใครเพื่อนเลย!”
เฟิ่งเจาอี๋เริ่มตัวสั่น ก่อนจะเถียงกลับ “ข้ามาถึงที่นี่เป็นคนที่สามต่างหาก! ตอนข้ามาที่นี่ก็เห็นท่ายพี่เต๋อเฟยกับท่านพี่ชูเฟยนั่งหลบอยู่นอกหน้าต่างนี้แล้ว!”
“เต๋อเฟยมาถึงที่นี่ก่อนข้า!” เฉินซูเฟยรีบบ่างเบี่ยงไปให้หยางเต๋อเฟย
ขณะที่นางกำลังเจรจาอยู่กับซ่างกวานเยี่ยน พอได้ยินว่ามีคนจากวังมาที่นี่ นางก็รีบกระโดดหลบไปนอกหน้าต่าง แล้วก็เจอกับหยางเต๋อเฟยกำลังนั่งหลบอยู่พอดี
จะให้นางรู้สึกอย่างไร!
สักพักก็ตามมาด้วยเฟิ่งเจาอี๋
เฟิ่งเจาอี๋เองก็ประสบพบเจอกับเหตุการณ์เดียวกัน
แล้วก็ตามมาด้วยต่งเฉินเฟย และหวังเสียนเฟย
หวังเสียนเฟยโกรธจนตาลายไปหมด
ทั้งๆ ที่เป็นแผนของตัวเองแท้ๆ ไฉนตัวเองกลายเป็นคนที่ช้าสุดล่ะ
คนโง่ไม่มีทางอยู่ในวังหลังได้ หรือต่อให้มีก็คงไม่มีทางใช้ชีวิตรอดได้ตลอดฝั่ง
ที่พวกเขาถูกซ่างกวานเยี่ยนหลอก นั่นเพราะพวกเขาไม่คาดคิดว่าซ่างกวานเยี่ยนจะเป็นฝ่ายชนะ
อีกทั้งซ่างกวานเยี่ยนรู้นิสัยของพวกนางเป็นอย่างดี ในขณะที่พวกนางไม่รู้เลยว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา นิสัยของซ่างกวานเยี่ยนเปลี่ยนไปขนาดไหน นางไม่ใช่ไท่หนี่ว์คนเดิมอีกต่อไป
ก็อย่างที่ใครเขาว่าไว้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
“พวกเราไม่ต้องการขัดแย้งกันเอง!” หวังเสียนเฟยพยายามกู้สถานการณ์คืน “ใครๆ ก็อยากเป็นฮองเฮากันทั้งนั้น แต่ดูเหมือนแทบเป็นไปไม่ได้เลย สู้มาคิดหาวิธีล้างแค้นกันดีกว่า! แต่ถ้าพวกเจ้าอยากถูกซ่างกวานเยี่ยนหลอกใช้ต่อ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน!”
ต่งเฉินเฟยเอ่ยประชตขึ้น “ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังคิดหาวิธีกำจัดพวกข้าแล้วตัวเองก็แอบเล่นสกปรกหรอกหรือ”
เอ่ยอย่างกับตัวเองไม่เคยเล่นสกปรก
ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีก
หวังเสียนเฟยพยายามระงับความโกรธ ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับต่งเฉินเฟย ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าว่า พวกเราควรไปที่พระราชวังด้วยกันตอนนี้ แล้วไปเชิญฝ่าบาทมาที่นี่! ห้ามให้ใครรู้ว่าพวกเราเจอนางแล้ว คำให้การของนางเพียงอย่างเดียวคงไม่น่าเชื่อถือ! พวกเราแค่ต้อบงคิดหาทางให้ฝ่าบาทเห็นอาการบาดเจ็บของนางให้ได้ก็เท่านั้น!”
นางสนมอีกสี่คนนิ่งเงียบไป
มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกนางรู้ดีว่าคงใช้วิธีเดิมไม่ได้อีกต่อไป
พวกนางเป็นถึงพระสนมรุ่นใหญ่ ดันถูกคนเด็กกว่าหลอกใช้ ย่อมทำใจรับไว้ไม่ลงอยู่แล้ว
“ได้ ข้าเห็นด้วย!” เฉินชูเฟยเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น
“ข้าก็เห็นด้วย!” ตามมาด้วยเฟิ่งเจาอี๋และหยางเต๋อเฟย
ต่งเฉินเฟยได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “ในเมื่อพวกเจ้าเห็นด้วยแล้วจะให้ข้าทำเช่นไร ก็ได้ เช่นนั้น กลับวังกันเถอะ!”
“พวกท่านแน่ใจแล้วหรือ” ซ่างกวานเยี่ยนถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
หวังเสียนเฟยรีบแย้งขึ้น “ซ่างกวานเยี่ยน อย่าแม้แต่จะคิดว่าเจ้าจะทำอะไรพวกเราได้ พวกข้าไม่ได้กินหญ้านะ! ต่อให้ฝ่าบาทรู้ว่าพวกเรามาที่นี่ อย่างมากก็แค่ทูลพระองค์ไปว่าพวกเราเป็นห่วงเจ้าเลยแอบออกจากวังมาเยี่ยม เจ้าจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้!”
จากนั้น ซ่างกวานเยี่ยนก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ พร้อมเอ่ยขึ้น “แสดงว่าพวกท่านไม่สนใจสิ่งนี้แล้วสินะ”
พอได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงหันไปมองพร้อมกัน
ซ่างกวานเยี่ยนเหยียดแขนออกไปเพราะเกรงว่าพวกเขาจะมองไม่ชัด
ทันใดนั้น ม่านตาของพวกเขาก็หดลงทันที!
“นี่มัน…” น้ำเสียงของต่งเฉินเฟยเต็มไปด้วยความระแวง
“ใช่แล้ว นี่เป็นหนังสือสัญญาที่พวกท่านลงนามไว้ว่าจะช่วยข้าล้มหันกุ้ยเฟย ส่วนข้าจะช่วยให้พวกท่านได้ขึ้นเป็นฮองเฮาอย่างไรเล่า”
เมื่อเห็นดังนั้น เฟิ่งเจาอี๋จึงรีบหยิบเอกสารที่ถือติดตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีประโยชน์หรอก เอกสารที่อยู่ในมือพวกท่านล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้น อันที่อยู่ในมือข้านี่ต่างหากที่เป็นตัวจริง หากไม่เชื่อก็เอาไปเทียบดูได้เลย”
เฟิ่งเจาอี๋มองดูลายนิ้วมือของตัวเอง มีทั้งลายนิ้วโป้งขวาซึ่งรอยถังหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าลายหอยทาก แต่อันที่อยู่บนเอกสารของนางกลับเป็นลายของตะกร้าสานแทน
ต่างกันจริงด้วย
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นแบบนี้
เซียวเหิงแอบหยิบเอกสารที่มีลายมือของนางสนมมาจากห้องสมุดในตำหนักกั๋วซือ และขอให้ซ่างกวานเยี่ยนร่างสัญญาขึ้นมาห้าฉบับ จากนั้นขอให้จี้จิ่วอาวุโสเลียนแบบลายมือของพวกนาง จากนั้นลงนาม และประทับลายนิ้วมือ โดยปกติแล้วไม่มีใครมาใส่ใจนั่งเทียบลายนิ้วมือของคนอื่น
แม้จะเป็นการลงนามประทับลายนิ้วมือกันซึ่งๆ หน้า แต่หารู้ไม่ว่าซ่างกวานเยี่ยนได้เตรียมแผนซ้อนแผนเอาไว้แล้ว
ทั้งๆ ที่จริงเรื่องแค่นี้ให้เสี่ยวจิ่วช่วยจัดการก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ซ่างกวานเยี่ยนออกโรงไปหาพระสนมพวกนั้นด้วยตัวเอง
เป้าหมายหมายของจวงไทเฮาผู้ซึ่งมีประสบการณ์ปกครองหลังม่านย่อมไม่หยุดอยู่แค่คนในวังหลังอย่างแน่นอน!
หันกุ้ยเฟยเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ต้องถูกกำจัดเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงคือเครือข่ายตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหมดต่างหาก!
หวังเสียนเฟยแสยะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ซ่างกวานเยี่ยน ต่อให้เจ้ามีหลักฐานพวกนี้แล้วอย่างไร เจ้าเองก็มีส่วนด้วยเหมือนกันนั่นแหละ”
ซ่างกวานเยี่ยนยิ้มอ่อน “แต่ข้าไม่เหมือนพวกท่านตรงที่ ข้าไม่กลัวความตาย พวกท่านล่ะ กลัวไหม”
ต่งเฉินเฟยบันดาลโทสะ “เจ้า!”
รอยยิ้มของซ่างกวานเยี่ยนจางลง พร้อมดวงตาที่เย็นชามากขึ้น
ก่อนจะค่อยๆ ย่องเดินไปหาพวกเขาทีละก้าวราวกับวิญญาณที่เต็มไปด้วยความพยาบาท
“ตระกูลเซวียนหยวนจากไปแล้ว เสด็จแม่ของข้าก็ตายแล้ว ส่วนลูกชายของข้ากำลังป่วยหนักและจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีกไม่นาน ข้าไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว! พวกท่านไม่เหมือนกับข้า พวกท่านมีตระกูลใหญ่หนุนหลัง มีบุตรที่แข็งแรงและอายุยืน ข้าขอถามคำเดียว พวกท่านยอมตายไปด้วยกันกับข้าหรือไม่! คนที่เดินเท้าเปล่าย่อมไม่กลัวการเสียรองเท้าไป ข้าคือคนที่เดินเท้าเปล่าคนนั้น!”