สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 796 เจียวเจียวกับวิญญาณทมิฬ
บทที่ 796 เจียวเจียวกับวิญญาณทมิฬ
หอสุราของจ้าวเติงเฟิงมีนามว่าหอเทียนเฮ่อ มีชื่อเสียงโด่งดังที่เมืองชิวซานพอดู จึงถามทางได้ง่ายมาก
กู้เจียวสวมเกราะศึก ขี่ราชาม้าเฮยเฟิงองอาจ มาดผู้บัญชาการไร้เทียมทาน เพียงแต่ปานแดงบนแก้มซ้ายค่อนข้างทำเสียอรรถรส
คนงานประจำร้านเห็นลูกค้ามาก็ออกไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “ลูกค้าทั้งสองท่าน เชิญด้านในขอรับ!”
ที่ปรึกษาหูเอ่ยขึ้น “จ้าวเติงเฟิงอยู่หรือไม่ ใต้เท้าของข้าต้องการพบเขา”
ทั้งสองอยู่ในเครื่องแบบราชการ พนักงานร้านไม่กล้าล่วงเกิน จึงยิ้มแหยพลางเอ่ย “เถ้าแก่ของข้า…ยามนี้ไม่สะดวกรับแขก…”
“เถ้าแก่จ้าว… ท่านดื่มกับข้าน้อยอีกสักจอกเป็นไร”
“ห้ามดื่มของนาง จะดื่มก็มาดื่มของข้านี่”
ในห้องปีกข้างห้องหนึ่งบนชั้นสองมีเสียงรบเร้าให้ดื่มของสตรีลอยมาเสียงอ่อนเสียงหวาน ฟังดูแล้วไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว
คนงานร้านยิ้มกระอักกระอ่วน
ที่ปรึกษาหูหน้าแดงเห่อขึ้นมา อับอายกลายเป็นโกรธเอ่ย “กลางวันแสกๆ ตะวันจ้าปานนี้ นึกไม่ถึงว่าจะทำเรื่องบัดสี ช่างเหลวไหลสิ้นดี!”
แควก
หน้าต่างถูกฉีกออก
สาวงามอาภรณ์ไม่หลุดรุ่ยคนหนึ่งชะโงกตัวออกมาจากด้านในอย่างเมามาย นางชนแรงมากเกินไป พานนึกว่านางจะร่วงลงมา
ไหล่บางของนางเผยออกมาครึ่งหนึ่ง ข้างแก้มแดงเห่อ แววตาฉ่ำเยิ้ม “ไอ้บุรุษหน้าเหม็นคนไหนมันเป็นคนพูด…หืม เป็นเจ้า…หรือว่า…”
มือขาวราวกับต้นหอมของนางชี้จากที่ปรึกษาหูไปยังกู้เจียว ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างเมามาย “โอ๊ะ เป็นแม่ทัพน้อยสุดหล่อนี่เอง ท่านแม่ทัพมาสิ บ่าวจะดื่มกับท่านสักจอก”
ที่ปรึกษาหูทนมองไม่ได้แล้ว
หากอยู่คนเดียวก็กล้าจะมองอยู่หรอก แต่มาด้วยกันกับเจ้านายจึงกระอักกระอ่วนมาก
เขารีบปิดตาหันหน้าหนี
กู้เจียวเหลือบตาขึ้นมองไปยังชั้นสองนิ่งๆ แต่ไม่ได้มองสตรีนางนั้น
สตรีแค่นเสียงกระเง้ากระงอด “บ่าวไม่งามรึ ท่านมองใครน่ะ”
“ใครบอกว่าซานเหนียงของพวกเราไม่งามกัน”
พร้อมกับน้ำเสียงเมามายแกมหยอกล้อนี้ บุรุษร่างกำยำท่าทางเมามายไม่ค่อยมีสติมาหยุดอยู่ด้านหลังสาวงาม แขนข้างหนึ่งเท้าหน้าต่างไว้ มืออีกข้างโอบเอวบางอ่อนนุ่มของสาวงาม
แววตาเขาเหม่อลอยมองไปยังเด็กหนุ่มชั้นล่าง
แน่นอนว่าก็เห็นราชาเฮยเฟิงเบื้องล่างเด็กหนุ่มด้วย
เขาหรี่ตาลง ยิ้มจางพลางเอ่ย “โอ๊ะ นี่มันนายน้อยคนใดของตระกูลหันกันนี่ ไม่เคยพบหน้ามาก่อนเลย”
ที่ปรึกษาหูเหลือบตาขึ้นตวาด “บังอาจ! นี่เป็นผู้บัญชาการเซียวเข้ารับตำแหน่งใหม่ที่ค่ายเฮยเฟิง! บุตรบุญธรรมของอันกั๋วกง!”
“อ้อ” เขาคล้ายตกใจเล็กน้อย “ทหารม้าเฮยเฟิงถูกเปลี่ยนมืออีกแล้ว ตระกูลหันไร้สามารถจริงๆ ด้วย”
“จ้าวเติงเฟิง” กู้เจียวมองเขาอย่างเย็นชาพลางเอ่ย “เจ้ายินดีจะกลับไปที่ค่ายเฮยเฟิงหรือไม่”
จ้าวเติงเฟิงแค่นเสียงเอ่ย “ข้าอยู่ที่นี่กินดื่มอิ่มหนำสำราญ อิสระเสรีมีความสุข จะกลับค่ายเฮยเฟิงไปเพื่อการใด ทั้งลำบากทั้งเหน็ดเหนื่อย ซ้ำยังอาจต้องออกรบทุกเมื่อด้วย เอาชีวิตไปเสี่ยงรึ”
กู้เจียวไม่ได้โกรธ และไม่ได้ผิดหวัง เอาแต่จ้องเขาไม่วางตาอย่างนั้น
แววตานางทั้งสะอาดทั้งบริสุทธิ์ ซ้ำยังเต็มไปด้วยความแน่วแน่ไม่ย่อท้อ
จ้าวเติงเฟิงบาดตานัก เขาหุบยิ้มลงพลางเอ่ยเสียงเย็น “หากพวกเจ้ามาเพื่อกินข้าว มื้อนี้ข้าจะเลี้ยงเอง! หากมาด้วยจุดประสงค์อื่น ข้าว่าพวกเจ้ากลับไปเสียดีกว่า! ข้าจ้าวเติงเฟิงชั่วชีวิตนี้ไม่คิดจะเกี่ยวข้องกับค่ายเฮยเฟิงอีก!”
เอ่ยจบเขาก็ปิดหน้าต่างดังปั้ง!
“ไอ้หยา ท่านเกือบหนีบมือข้าแล้ว!”
เสียงบ่นของสาวงามลอยมาจาชั้นสอง
ชาวบ้านที่มามุงดูมีไม่น้อย แม้แต่ลูกค้าทั้งชั้นบนชั้นล่างก็ยังพากันส่งสายตาแปลกๆ ไปยังกู้เจียว
ที่ปรึกษาหูกระแอมเบาๆ พลางเอ่ย “ใต้เท้า พวกเรากลับไปกันก่อนดีกว่า”
ราชาม้าเฮยเฟิงหันหัวเปลี่ยนทิศ วิ่งควบไปยังประตูเมืองฝั่งเหนือ
ที่ปรึกษาหูควบม้าตามมา “ใต้เท้า วันนี้ท่านเริ่มต้นไม่ดีเลย”
ภายในหนึ่งวันถูกปฏิเสธถึงสามครา ช่างอนาถเกินไปแล้ว
“ไม่เป็นไร” กู้เจียวเอ่ย
ที่ปรึกษาหูชะงัก
สีหน้าเด็กหนุ่มสงบนิ่งมาก ไร้ซึ่งความพ่ายแพ้ ไร้ซึ่งความผิดหวัง และไร้ซึ่งการเสแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง
จู่ๆ ที่ปรึกษาหูก็ตระหนักได้ว่า หัวใจของเด็กหนุ่มข้างกายคนนี้สงบนิ่งดุจผืนน้ำจริงๆ
อายุยังไม่มาก แต่จิตใจกลับหนักแน่นเพียงนี้
ที่ปรึกษาหูถามตัวเองว่าเคยอ่านคนมานับไม่ถ้วน คนที่มีสภาพจิตใจเท่าเด็กหนุ่มคนนี้มีอยู่ไม่มากจริงๆ อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มยังอายุน้อยเพียงนี้เลย
ที่ปรึกษาหูถาม “ใต้เท้า ท่านคิดไว้แล้วใช่หรือไม่ว่าพวกเขาจะปฏิเสธ”
“ไม่ได้คิด” กู้เจียวเอ่ย
เช่นนั้นนิสัยนี้ของท่านมันไม่ใช่ความอดทนธรรมดาๆ เลยนะ
ที่ปรึกษาหูยังอยากพูดบางอย่างต่อ จู่ๆ กู้เจียวก็ดึงบังเหียนแน่น หยุดม้าลง
ที่ปรึกษาหูก็จำต้องหยุดตาม เขาถามอย่างไม่เข้าใจ “ใต้เท้า เกิดอะไรขึ้นหรือ”
กู้เจียวหันหน้าไปมองเงาร่างทมิฬในเพิงร้านน้ำชาด้านหลัง ก่อนเอ่ยกับที่ปรึกษาหู “เจ้ากลับไปก่อน วันนี้ข้าไม่กลับค่ายแล้ว”
“…ขอรับ” แม้ที่ปรึกษาหูจะสงสัย แต่เพิ่งจะวันแรกที่ได้สัมผัสผู้บัญชาการคนใหม่ ต้องการมิตรภาพแต่ไม่ได้มิตรภาพตอบ เขาไม่กล้าขัดคำสั่งของอีกฝ่าย
ที่ปรึกษาหูควบม้ากลับไปเมืองชั้นใน
กู้เจียวขี่ราชาเฮยเฟิงไปยังเพิงน้ำชา
นางให้ราชาเฮยเฟิงอยู่นอกเพิงน้ำชา ตัวเองหาโต๊ะนั่ง ก่อนเอ่ยกับเถ้าแก่ “เอาชาสมุนไพรมาสักถ้วย ซาลาเปาสองลูก”
“ขอรับ ลูกค้า!” เถ้าแก่ร้านใช้ชามใหญ่ใส่ซาลาเปาร้อนๆ สองลูก ก่อนยกมาให้กู้เจียวพร้อมกับชาสมุนไพร
ที่นี่อยู่ใกล้กับศาลาพักม้าและศาลาว่าการ มักจะมีขุนนางเข้าออกบ่อยๆ เถ้าแก่ร้านไม่เคยเจอโลกที่เมืองชั้นใน ไม่รู้จักทหารม้าเฮยเฟิง คิดว่ากู้เจียวเป็นขุนนางที่ศาลาว่าการ
กู้เจียวยกถ้วยชาขึ้นดื่มเงียบๆ
นางทำเหมือนกำลังดื่มชาอยู่ แต่ความจริงแล้วกำลังสังเกตบุรุษสวมชุดคลุมกันลมที่เย็บติดกับหมวกซึ่งอยู่ตรงกันข้ามต่างหาก
จากมุมมองของนางเห็นเพียงแค่ด้านข้างของบุรุษ
แต่ตอนที่นางเข้ามาในร้านได้เห็นใบหน้าภายใต้หมวกคลุมของบุรุษคนนี้แล้ว เขาสวมหน้ากากสีทองครึ่งหน้า เผยคางมนไร้หนวดเครา
บนร่างบุรุษมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา กู้เจียวแทบจะตัดสินได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นหน่วยกล้าตาย
กู้เจียวยังสังเกตเห็นอีกว่า นิ้วข้างซ้ายของอีกฝ่ายสวมแหวนหยกดำเอาไว้
อีกฝ่ายดื่มน้ำชาถ้วยหนึ่ง ทิ้งเงินไว้ห้าเตาปี้ ก่อนจะคว้าดาบยาวบนโต๊ะออกจากเพิงน้ำชาไป
เขาจากไปได้ไม่นาน กู้เจียวก็จ่ายเงินค่าน้ำชากับซาลาเปา ขี่ราชาม้าเฮยเฟิงจากไป
ราชาม้าเฮยเฟิงมีประสาทรับกลิ่นเฉียบคม ซ้ำยังได้รับการฝึกมาโดยเฉพาะ จึงสะกดรอยตามคนจากกลิ่นได้ไม่ด้อยไปกว่าราชาม้าเลย
เพียงแต่ว่า อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ กู้เจียวจึงไม่ได้ตามไปติดๆ จะได้ไม่โดนอีกฝ่ายจับได้เสียก่อน
แต่หลังจากเข้าประตูเมืองชั้นในฝั่งเหนือไปได้ไม่นาน จู่ๆ กลิ่นอายของอีกฝ่ายก็หายไป
ราชาม้าเฮยเฟิงพยายามดมดู ก็หาไม่เจอว่าอีกฝ่ายเดินไปยังถนนเส้นใด
“เกิดอะไรขึ้น หายไปกลางอากาศเลยหรือ หรือว่า…”
กู้เจียวพึมพำพลางฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงชักทวนพู่แดงออกมาจากด้านหลัง
เงาร่างสูงใหญ่ทะยานลงมาจากฟ้า เตะทวนพู่แดงของนางไปทีหนึ่ง
นางกลิ้งลงจากหลังม้าพร้อมทั้งทวน หัวทวนแตะพื้นอย่างรวดเร็ว ยืมแรงพลิกตัวยืนให้มั่นคง จึงไม่ถึงกับล้มกระแทกพื้นอย่างอนาถ
มือนางถือทวนพู่แดง ทอดมองบุรุษชุดคลุมสีดำที่โปรยตัวลงบนถนนฝั่งตรงข้าม
สี่แยกนี้ค่อนข้างห่างไกลผู้คน นอกจากสองคนหนึ่งม้าแล้ว ก็ไม่พบเงาร่างใดอีก
เสื้อผ้าอีกฝ่ายปลิวไสว จู่ๆ ลมร้อนแห่งคิมหันตฤดูก็ให้ความรู้สึกหนาวเหน็บขนลุกขนพองขึ้นมา
“ราชาเฮยเฟิงรึ” บุรุษชุดคลุมดำมองม้าที่อยู่ข้างกายกู้เจียว กลีบปากบางใต้หน้ากากขยับนิดๆ “เจ้าคือเซียวลิ่วหลัง”
“ข้าเอง” กู้เจียวมองเขาโดยไร้ความหวาดกลัว “หากรู้แต่แรกว่าเจ้าจำได้ ข้าควรจะทักทายเจ้าตั้งแต่ที่ร้านน้ำชาแล้ว ท่านวิญญาณทมิฬ”
ถูกต้อง คนผู้นี้คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งใต้บัญชาของหันกุ้ยเฟย วิญญาณทมิฬ
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักข้า ดูท่าคนผู้นั้นในตำหนักกั๋วซือจะบอกข้อมูลของข้าให้เจ้าฟังไม่น้อย” บุรุษชุดคลุมดำค่อยๆ เดินไปหากู้เจียว ฝีเท้าเขาเชื่องช้า ทว่าแต่ละฝีก้าวล้วนแฝงไอสังหารอันน่าหวาดกลัวเอาไว้ “วันนี้ที่ข้าออกจากเมืองไม่ใช่เพราะเจ้า แต่ในเมื่อเจ้ามาหาถึงที่ ข้าก็จำต้องเอาชีวิตเจ้าเสียแล้ว”
กู้เจียวเอ่ย “นี่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า”
บุรุษชุดคลุมดำยิ้มบาง “อายุไม่มาก ฝีปากไม่เบา”
กู้เจียวเอ่ยเสียง “เจ้าก็หน้าตาอัปลักษณ์พอดู แต่ช่างคิดฝันเสียสวยงาม”
“ปากคอเราะร้าย” บุรุษชุดคลุมดำหัวเราะ ก่อนออกกระบวนท่าใส่กู้เจียวอย่างแรง
กู้เจียวรู้สึกถึงกำลังภายในอันแข็งแกร่งพุ่งกดทับร่างกายตัวเอง ไม่รอให้นางหนีพ้น ร่างอีกฝ่ายก็เร้นมาหยุดตรงหน้านางในชั่วพริบตา ก่อนจะซัดฝ่ามือใส่หน้าอกนาง!
กู้เจียวใช้ทวนพู่แดงต้านไว้ ทว่าก็ยังถูกอีกฝ่ายซัดกระเด็นลิ่วอยู่ดี
ราชาเฮยเฟิงวิ่งไปรับตัวนางไว้ แต่ไหนเลยจะรู้ว่าบุรุษชุดคลุมดำไม่ได้ให้โอกาสกู้เจียวได้ถึงพื้นรอดปลอดภัย
เขาทะยานเข้าไป ซัดกู้เจียวกระเด็นขึ้นฟ้า แล้วทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ ถีบหน้าท้องกู้เจียวอย่างแรง!
หากลูกนี้กระทืบเข้าเต็มๆ อวัยวะภายในของกู้เจียวคงเละเทะ และตายได้ในทันที!
ในช่วงเวลาคับขันนี้ เงาร่างขาวแกมเทาก็ทะยานมาจากฟากฟ้า เร้นกายจากใต้ฝ่าเท้าเขาไปอุ้มกู้เจียว ก่อนคุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้น
เขาไม่ได้สู้รบติดพัน อุ้มกู้เจียวเดินไปขึ้นหลังราชาม้าเฮยเฟิง ก่อนจะขี่มันผ่านตรอกไปทางที่มีคนพลุกพล่านทันที
กู้เจียวกระอักเลือดออกมา กระเด็นเปรอะแขนเสื้อเหลี่ยวเฉิน
เหลี่ยวเฉินมือหนึ่งโอบนางไว้ อีกมือกุมบังเหียน วิ่งฝ่าถนนสามสายก่อนจะสั่งให้ราชาม้าเฮยเฟิงหยุดลง