สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 938 ความโกรธของซิ่นหยาง
บทที่ 938 ความโกรธของซิ่นหยาง
……….
องค์หญิงซิ่นหยางหน้าดำคร่ำเครียดเอ่ย “เหตุใดถึงมาที่นี่”
อวี้จิ่นแววตาสั่นระริก พลางยิ้มตอบด้วยความเขินอาย “รถ… รถม้าเสียน่ะเพคะ”
คนขับรถตอบไปตามสถานการณ์ “ไอ้หยา ล้อหลวม! ข้าต้องซ่อมก่อน!”
เสี่ยวอีอีซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของมารดา “ว้าว!”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
นางเชิดคางขึ้นราวกับนกยูงที่หยิ่งผยอง “อย่าทำอะไรไร้สาระแบบนี้ ข้าไม่เข้าไปจับชู้หรอกนะ”
นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้น จะยอมลดศักดิ์ศรีลงมาเหยียบย่ำหอนางโลมได้อย่างไร!
ยิ่งไปกว่านั้น นางกับเซียวจี่มิใช่สามีภรรยาที่แท้จริง และตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะไปร่อนเร่หาความสำราญอย่างไรก็ได้ นางจะไม่เข้าไปขัดขวาง!
นางเปิดม่านเอ่ยกับคนขับรถ “ซ่อมเสร็จแล้วหรือไม่ หากยังซ่อมไม่เสร็จ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาประจำการที่จวนองค์หญิงแล้ว!”
คนขับตกใจจนตัวสั่น และเหลือบมองอวี้จิ่นด้วยความลำบากใจ
ข้าช่วยได้แค่นี้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อาชีพของเขาคงพังพินาศเป็นแน่
เสี่ยวอีอีเบ้ริมฝีปากน้อยๆ ของนาง
องค์หญิงซิ่นหยางมองนางด้วยแววตาแสนดุดัน “เจ้าด้วย! ห้ามร้องไห้!”
ท่านแม่ผู้ยิ่งใหญ่สายตาพิฆาตอย่างรุนแรง
เสี่ยวอีอีปิดปากด้วยความน้อยใจ
เมื่อองค์หญิงซิ่นหยางปิดม่านลงและกำลังจะจากไป หางตาเหลือบเห็นร่างคนที่ลับๆ ล่อๆ
นางเห็นแล้วจึงปิดม่านลง
เพียงแต่คนตอบสนองได้ไม่เร็วนัก
เมื่อนางเปิดม่านอีกหน ร่างนั้นก็หายไปแล้ว
นางรู้สึกแปลกใจ รู้สึกว่าเรื่องราวไม่ง่ายอย่างที่คาดคิด
“อุ้มอีอีไว้ให้ดี รอข้าอยู่บนรถม้า” นางยื่นเสี่ยวอีอีให้กับอวี้จิ่น
อวี้จิ่นไม่ทราบว่านางเห็นสถานการณ์ที่แท้จริงไม่ คิดว่านางเห็นท่านโหว และอยากไปจับชู้ “องค์หญิง วางใจได้ ข้าไม่รบกวนท่านแน่นอน!”
องค์หญิงซิ่นหยางมิได้อธิบายให้นางฟัง แต่ค้อมตัวลงจากรถม้า
ชายผู้นั้นเดินเข้าไปในตรอกก่อนแล้ว ใช้มีดยาวเปิดรถม้าของแม่ทัพเฉียน ด้านในรถม้าไม่มีคน เขาจึงหันหลังเดินเข้าหอหร่วนเซียงผ่านประตูหลัง
ถึงตรงนี้ องค์หญิงซิ่นหยางมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่เซียวจี่หรือแม่ทัพเฉียน และน่าจะเป็นเซียวจี่มากกว่า เพราะชายผู้นี้มักสร้างความเกลียดชังให้กับผู้อื่น เปรียบเสมือนว่าภายในสิบก้าวต้องมีศัตรู
นางไล่ตามไป
หอหร่วนเซียงดูจากภายในมีขนาดไม่ใหญ่ แต่แท้จริงแล้ว มีสวนดอกขนาดย่อมในสวนหลังบ้านหลายแห่ง
เมื่อนางอ้อมวนระเบียงทางเดินมาถึงสวนขนาดย่อมแห่งที่สอง นางก็มองเงาตรงภูเขาหินจำลอง
นางจำได้ว่านั่นคือเซียวจี่
“มีคนต้องการฆ่า…”
ก่อนเอ่ยจบ เซียวจี่ยกมีดขึ้น แล้วแทงเข้าไปในหัวใจของนักฆ่า
นักฆ่าไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องครวญคราง ก็ล้มลงไปในกองเลือดตายตาไม่หลับ
องค์หญิงซิ่นหยางตกตะลึงอยู่กับที่
ขณะที่เซียวจี่แทงคนตรงหน้าแล้ว นางถึงเอ่ยปาก จะห้ามเขาแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เดิมทีไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดต่อหน้านางขนาดนี้
เขาเตะศพของนักฆ่าเข้าไปในซอกภูเขาจำลองพร้อมกับอาวุธ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือจนสะอาด ถึงหันไปมององค์หญิงซิ่นหยาง และเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ฉินเฟิงหวั่น ตามข้ามาตลอดทาง เพื่อเอ่ยคำพูดนี้เนี่ยนะ…”
ติดตามข้าตลอดทาง…ไอ้หมอนี้รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางสะกดรอยตามเขาอย่างนั้นหรือ
องค์หญิงซิ่นหยางตกตะลึง แต่ก็มิได้แสดงออกบนใบหน้า เอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้าไม่ได้ตามเจ้า แค่ผ่านมาน่ะ! หากรู้ว่าอีอีมาหาเจ้า ยังจะขึ้นรถม้าของคนอื่นอีก!”
เซียวจี่เอียงศีรษะมองนาง และมุมริมฝีปากที่สวยงามก็ยกขึ้นเล็กน้อย “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าหึงข้ารึ”
องค์หญิงซิ่นหยางจ้องเขาตาเขม็ง ขี้เกียจเกินกว่าอธิบายเหตุผลกับเขา
นางหันหลังและเดินจากไปทันที
และในขณะนี้เอง แม่ทัพเฉียนก็เดินมาจากสวนเล็กขนาดย่อมอีกแห่งและเดินตรงมาทิศทางนี้
นางไม่อาจให้ผู้ใดเห็นนางปรากฏตัวที่นี่ เสียเกียรติไม่พอ เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวลือว่านางไปจับชู้กับเสียวจี่ถึงที่หอนางโลมกลางดึก คงแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง!
นางฉินเฟิงหวั่น ทนเสียเกียรติเช่นนี้มิได้!
นางกัดฟัน เดินไปยังภูเขาจำลองอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะหลบซ่อนตัวหลังภูเขาจำลอง แต่เมื่อไปถึงก็เห็นรอยเลือดบนพื้นอันน่าสยดสยอง
เท้าของนางก้าวข้ามไปไม่ได้…
“ท่านโหว!”
แม่ทัพเฉียนยิ้มและทักทายเซียวจี่
ฉินเฟิงหวั่นสั่นระริกไปทั้งตัว
เซียวจี่เหลือบมองนาง ดึงนางเข้าหาตน และขยับไปด้านข้างสองก้าว แล้วประคองนางไว้ที่ภูเขาจำลองอีกฝั่งที่ไม่เปื้อนเลือด และเท้าของนางก็ยืนอยู่บนพื้นหญ้าที่สะอาด
เขาใช้ร่างใหญ่กำยำบังนางไว้ และแขนทั้งสองค้ำยันอยู่ข้างกายนาง
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนแทบแนบหน้ากัน
ลมหายใจประสานกัน องค์หญิงซิ่นหยางไม่คุ้นชินกับการสัมผัสแนบชิดกับชายหนุ่ม หัวใจจึงเต้นรัว หายใจลำบาก ร่างกายเริ่มสั่นเทา
เซียวจี่รับรู้ถึงอาการทั้งหมดของนาง คิ้วขมวด ถอยหลังเล็กน้อย เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขา
“เอ๊ะ ท่านโหว ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” แม่ทัพเฉียนเอ่ย
“อย่าเข้ามา!” เซียวจี่สั่ง
เขามิได้หันศีรษะ และจ้องฉินเฟิงหวั่นโดยไม่กะพริบตา “ข้ามีเรื่องต้องสะสาง เจ้ากลับห้องข้างก่อน”
แม่ทัพเฉียนหยุดชะงัก เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซวียนถึงมีทีท่าเช่นนี้ จึงชะโงกศีรษะมอง
เซวียนผิงโหวรูปร่างสูงโปร่งกำยำ เขาบังคนจนมิด แต่บังชายกระโปรงขององค์หญิงซินหยางที่ปลิวไสวตามสายลมยามราตรีมิได้
แม่ทัพเฉียนยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเอ่ย “ที่แท้ท่านโหวแอบนัดพบหญิงงามนี่เอง ใช่แม่นางเฉินเซียงหรือไม่ ถึงว่าคืนนี้ท่านโหวตอบตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ คงคิดถึงหญิงงามมากเลยสินะ”
องค์หญิงซิ่นหยางจ้องเซียวจี่อย่างเย็นชา
เซียวจี่ปวดฟันจนแทบอยากหันกลับมาถีบคนแซ่เฉียนเสียประเดี๋ยวนี้
แม่ทัพเฉียนไม่รู้ว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นดาย จึงรนหาที่ตายต่อ “ในเมื่อแม่นางเฉินเซียงอยู่ที่นี่ด้วย เช่นนั้นก็พาขึ้นไปนั่งสักหน่อยดีหรือไม่”
“มิใช่เฉินเซียง!” เซียวจี่กัดฟัน
“ห้ะ แล้วคือใครกัน” แม่ทัพเฉียนแปลกใจ
เซียวจี่มองฉินเฟิงหวั่นด้วยสายตาเย็นชา หรี่ตาลง และจู่ๆ ก็หัวเราะอย่างแหบแห้ง “หญิงงามคนใหม่ ขี้อายยิ่งนัก จึงมิได้ไปพบใต้เท้าทั้งหลาย”
น้ำเสียงเย้าแหย่เช่นนี้ ทำให้ฉินเฟิงหวั่นอยากยกเข่าถีบเขา
ที่แห่งนั่น
เขาจะไม่มีวันกลับไปอีก
แม่ทัพเฉียนหัวเราะเหอะๆ พลางเอ่ย “หอหร่วนเซียงมีสาวขี้อายด้วยรึ ก็เพียงวิธีเย้ายวนผู้ชายก็เท่านั้น ท่านโหวเพิ่งลงมา นางก็จัดฉากให้บังเอิญพบกับท่านโหวหา ข้าว่านี่เป็นวิธีแยบยลนัก”
ดูสิ นี่คือคำพูดของมนุษย์หรือ
ไม่แปลกใจเลยที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง!
องค์หญิงซิ่นหยางอยากประหารแม่ทัพเฉียน
เมื่อเซียวจี่เห็นสีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของนาง ก็อดยกมุมปากขึ้นมิได้ “วิธีแยบยลจริงๆ”
องค์หญิงซิ่นหยางจ้องเซียวจี่ตาเขม็ง
เซียวจี่ยิ้มหว่านเสน่ห์ให้กับนาง แต่คำพูดที่เอ่ยกับแม่ทัพเฉียนกลับไม่นุ่มนวลเอาเสียเลย “ขึ้นไปซะ”
“ท่านโหว…”
“คำสั่งทหาร!”
แม่ทัพเฉียนสีหน้าจริงจัง “ขอรับ!”
หลังจากเขาจากไป เซียวจี่ก็คลายแขนที่สวมกอดนางไว้ในอ้อมอกออก ถอยไปด้านข้างสองก้าว แล้วนางมองด้วยสายตาเฉยชาพลางเอ่ย “วันหลังไม่ต้องมาสถานที่เช่นนี้อีก และอย่าสะกดรอยตามนักฆ่า”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จัดการตัวเองให้ดีก่อนเถอะ!”
เซียวจี่เอ่ยปาก “เมื่อวานข้าถูกสะกดรอยตาม วันนี้ข้าจึงจงใจไปที่ค่ายทหารเพื่อล่อให้ศัตรูลงมือ ศัตรูระวังตัวมาก สะกดทัพไว้ไม่เคลื่อนไหว”
องค์หญิงซิ่นหยางมองเขา “ข้าทำเสียแผนหรือ”
เซียวจี่ถอนใจ “ใช่ เขาพบเจ้าแล้ว หากข้าไม่ฆ่าเขา เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย แต่หากข้าฆ่าเขา จะแหวกหญ้าให้งูตื่น พรรคพวกของเขาก็จะหนีไปหมด”
องค์หญิงซิ่นหยางก้มศีรษะ
เซียวจี่มองไปที่นาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ฉินเฟิงหวั่น จู่ๆ เจ้ามาเป็นห่วงข้าเช่นนี้ หรือว่าเจ้าตกหลุมรักข้าเข้าแล้ว”
ความรู้สึกผิดในใจขององค์หญิงซิ่นหยางมลายสิ้นไปในพริบตา
ราชาแห่งผู้ทำลายบรรยากาศ…เซียวจี่!
องค์หญิงซิ่นหยางกลับขึ้นรถม้า
เสียวจี่ก็เดินตามมาด้วย
องค์หญิงซิ่นหยางห้ามไม่ให้เขาขึ้นรถม้า “เจ้ามาทำไม ไม่เที่ยวหอนางโลมของเจ้าต่อหรือ แม่นางเฉินเซียงของรอเจ้าอยู่!”
ในรถม้า เสี่ยวอีอีร้องไห้เสียงดัง!
ท่านพ่อมาแล้ว! ต้องออดอ้อน!
ออดอ้อนให้หนัก!
เซียวจี่เลิกคิ้วและชี้ไปที่มือของนาง
องค์หญิงซิ่นหยางชักสีหน้าจ้องเด็กน้อยที่ร้องไห้เสียงดังอยู่ในอ้อมแขนของอวี้จิ่น “ช่างเป็นลูกพ่อเสียจริงๆ !”
หลังจากกลับจวน สิ่งแรกที่เสี่ยวอีอีทำคือใช้สายตาหากระดานซักผ้าให้กับพ่อของนาง
เซียวจี่ “…”
…
สามวันต่อมา เซวียนหยวนฉีและเหลี่ยวเฉินออกเดินทางพร้อมกับท่านชายหมิงเย่ว์สองนายบ่าว
พวกเขานำกองกำลังลับไปด้วย และเข้าสู่แคว้นเยี่ยนทางน้ำ จากนั้นมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไปยังทุ่งน้ำแข็ง
ในวันที่สามของเดือนเจ็ด การสอบตำแหน่งรองราชเลขาจัดขึ้นในเมืองหลวงแห่งแคว้นเจา โดยมีคณะเสนาบดีและกรมธรรมการเป็นผู้ดำเนินการ เนื้อหาหลักของการสอบคือเรียงความปากู่และอภิปรายวินิจฉัยหนังสือราชการ
เพื่อเปิดโอกาสให้คนมีความสามารถได้แสดงศักยภาพ ราชเลขาได้ผ่อนปรนเกณฑ์การรับสมัคร เพิ่มโดยขยายอายุเป็นไม่เกินยี่สิบห้าปี จากเดิมที่กำหนดไว้ยี่สิบปี
จิ้นซื่อสองระดับที่มีอายุตรงตามเกณฑ์ มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบครั้งนี้
เฝิงหลินและหลินเฉิงเยี่ยมีอายุตรงตามคุณสมบัติ แต่น่าเสียดายการสอบหน้าพระพักตร์ คนหนึ่งอยู่ที่อันดับหนึ่งร้อยยี่สิบสาม และอีกคนอยู่ที่อันดับเก้าสิบเก้า จึงสอบได้เพียงระดับถงจิ้นซื่อเท่านั้น ต่างจากตู้รั่วหันที่สอบได้อันดับสิบสาม และได้เป็นจิ้นซื่อสองระดับ
อีกหนึ่งวันเขาจะอายุครบยี่สิบห้า
ไทเฮาจวงถือจดหมายอยู่ในมือและถูกส่งไปยังชายแดน
จวงอวี้เหิงคือปั๋งเหยี่ยนของรอบที่แล้ว เขาอายุมากกว่าเซียวเหิงเพียงหนึ่งปี
ทว่าสุดท้ายแล้วจดหมายสอบนี้ก็มิได้ถูกส่งออกไป
“ข้าสอบไม่ชนะอาเหิง ข้าแค่อยากฉวยโอกาสนี้ให้เขากลับเมืองหลวงมาเยี่ยมข้าน่ะ”
“ข้าอายุปูนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกกี่ปี”
“อยากเจอเขาหน่อย”
แต่ไอ้เด็กนั่นอาจมิได้อยากกลับเมืองหลวง
…
การยื่นสอบรองราชเลขาเสร็จสิ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ช่วงปีนี้ เหล่าผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ต่างทุ่มเทอ่านตำราอดหลับอดนอน เตรียมตัวสอบอย่างเต็มที่ แต่เซียวเหิงกลับไปเยือนแคว้นเยี่ยนอันไกลโพ้น โดยไม่รู้เรื่องการสอบนี้เลย
หลังจากกลับมา เขายุ่งอยู่กับงานในกรมยุติธรรมและงานแต่ง จึงแทบไม่มีเวลาเตรียมสอบ แม้แต่องค์หญิงซิ่นหยางก็คิดว่าบุตรชายของนางละเลยการเรียนมานาน โอกาสสอบผ่านมีเพียงน้อยนิด
เมื่อผลลัพธ์ออกมา ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
การสอบทั้งสามรอบ เซียวเหิงได้รับอันดับหนึ่งมาครองได้อย่างลอยลำ
เมื่อเห็นข้อสอบที่กรมธรรมการส่งมา องค์หญิงซิ่นหยางแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง “ตัวติดกับภรรยาของตนทั้งวันทั้งคืนราวกับเด็กที่เริ่มกินเนื้อสัตว์ครั้งแรก ไม่เห็นจะอ่านตำราเลย…”
เสี่ยวจิ้งคงก็วิ่งปรูดมาดูข้อสอบของพี่เขยตัวแสบ
หลังจากอ่านจบ เขาก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม หันหลังไปยังห้องหนังสือของเซียวเหิง
“ได้ยินมาว่าเจ้าจะได้เป็นรองราชเลขาแล้ว” เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “รองราชเลขาเก่งกาจมากเลยหรือ เป็นขุนนางใหญ่ใช่หรือไม่”
เซียวเหิงเอ่ยอย่างโอ้อวด “แน่นอนว่าเก่งกาจสิ ขุนนางขั้นสามชั้นเอก เทียบเท่ากับยศตำแหน่งของท่านปู่”
ในที่สุดก็พ้นจากมุขอันดับสุดท้ายได้แล้วสินะ
เสี่ยวจิ้งคงโบกมือเล็กๆ พลางเอ่ยอย่างจริงจัง “ในเมื่อได้เป็นข้าราชการระดับสูง ก็ควรเพิ่มค่าเช่าใน ตรอกปี้สุ่ยได้แล้ว! ราคาคนกันเอง หนึ่งร้อยตำลึงต่อเดือน! จ่ายรายปี!”
เซียวเหิง “…”
…
วันที่สิบแปด เดือนเจ็ด ครบหนึ่งเดือนหลังจากแต่งงาน ไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเรือนใหม่ ผู้คนจากจวนชางผิงโหวออกเดินทางกลับไปยังที่ดินศักดินา
กู้จิ่นอวี๋มิได้กล่าวคำอำลากับผู้ใดเลย รวมถึงเหล่าฮูหยินกู้ผู้เป็นมาสื่อในกับงานแต่งนี้ด้วย
ขบวนมุ่งหน้าออกประตูตงเฉิงอย่างองอาจ
กู้จิ่นอวี๋และชุนหลิ่วนั่งเงียบๆ อยู่บนรถม้า
ม่านถูกสายลมพัดเปิด แสงสว่างสาดส่องเข้ามา
กู้จิ่นอวี๋สีหน้าเฉยเมย และยังคงสวมผ้าคลุมหน้าแม้จะอยู่ในรถม้า แต่ก็ไม่อาจบดบังรอยช้ำเหนือคิ้วไว้ได้
…
วันรุ่งขึ้นหลังจากกู้จิ่นอวี๋ออกจากเมืองหลวง เซียวเหิงและกู้เจียวหารือถึงที่พักอาศัยต่อจากนี้
จวนองค์หญิงที่กูผัวมอบให้กับกู้เจียวสามารถย้ายเข้ามาได้ตลอดเวลา ทว่าทั้งเหยาซื่อและกูผัวล้วนคุ้นชินกับตรอกปี้สุ่ย พวกเขาจึงตัดสินใจจะอาศัยอยู่ทั้งจวนองค์หญิงและตรอกปี้สุ่ยสลับกันไป
บางครั้งการตัดสินใจเล็กน้อย อาจส่งผลต่อทั้งครอบครัว
เนื่องจากเหล่าเด็กๆ อยู่ที่นี่ องค์หญิงซิ่นหยางก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องการย้ายกลับถนนจูเชวี่ยอีกเลย
ทางฝั่งซ่างกวานชิ่งก็เตรียมจะกล่าวคำอำลา
เขาอาศัยอยู่ในแคว้นเจามานานมากแล้ว ต้องกลับไปอยู่กับซ่างกวานเยี่ยนแล้ว
แต่เนื่องจากปืนไฟสองกระบอกที่เซียวเหิงสัญญาว่าจะมอบให้เขายังไม่ทำไม่เสร็จ เขาจึงต้องรออีกสองสามวัน
ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เสียงฟ้าร้องคำรามดังสนั่นไปทั่วเมืองหลวงราวกับดินปืนหนักสิบตันระเบิด หน้าต่างของจวนองค์หญิงสั่นสะเทือน
เสี่ยวอีอีที่นอนหลับกลางวันถูกเสียงฟ้าร้องปลุกจนตื่น ตกใจมากจนร้องไห้เสียงดัง
อวี้จิ่นและองค์หญิงซิ่นหยางอยู่ในห้องบุปผา ในเรือนมีแม่นมคอยเฝ้าอยู่
แม่นมรีบไปอุ้มคุณหนู
เสี่ยวอีอีขึ้นร้องไห้เสียงดังจนแทบกลบเสียงฟ้าร้องของนาง และเสียงร้องอันดังของนางดูเหมือนจะพยายามเขย่าฟ้าร้อง
แม่นมมีชั่วครู่หนึ่งที่แยกไม่ออกว่าเสียงของนางดังกว่าหรือเสียงฟ้าดังกว่ากัน
ทว่านางร้องไห้อยู่ดีๆ ก็หยุดร้องอย่างกะทันหัน
นางเบิกตากลมโตที่มีน้ำตาคลอเบ้า จ้องมองประตูอย่างไม่ละสายตา และเห็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมดำทั้งรูปงามและเย็นชายืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด
สายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวที่คดเคี้ยวราวกับปีศาจมังกรวนรอบอยู่เหนือศีรษะของเขา แต่ดูเหมือนเขาจะขวางไว้ด้านนอกได้หมด
ใบหน้าน้อยๆ ของเสี่ยวอีอีที่น้ำตาอาบหน้ามองเขาด้วยความงุนงง
เด็กหนุ่มในชุดคลุมดำเดินเข้ามา ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วหยิบถังหูลู่ในมือออกมา ก่อนยื่นให้กับนางพลางเอ่ย “อยากกินหรือไม่”
เสี่ยวอีอี “…”