สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 410 เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์
ตอนที่ 410 เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์
……….
อำเภอเวินมิใช่สถานที่รุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ ไม่มีพระราชวังสำหรับแปรพระราชฐานและสร้างชั่วคราวไม่ทัน ที่ประทับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็คือจวนคหบดีในพื้นที่ผู้หนึ่ง
จวนแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอำเภอ มีพื้นที่บริเวณกว้าง ใกล้สายน้ำติดภูเขา แม้ไม่งามประณีตเหมือนอุทยานหลวง แต่ก็ให้กลิ่นอายงดงามพิเศษ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้สูดอากาศที่อบอวลไปด้วยหมู่มวลผกาแล้วก็ถอนพระปัสสาสะ “แม้อำเภอเวินนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงอันใด แต่ก็เป็นสถานที่ที่ดี”
จากนั้นงานเลี้ยงพระกระยาหารก็มิต้องเอ่ยละเอียดอีก หลังเสวยเสร็จ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ถามมหาขันทีซุนเหยียนที่กลับมารับใช้ข้างพระวรกายแล้วว่า “ระยะนี้ อาโย่วกับฉางเล่อโหวเป็นอย่างไรบ้าง”
ในห้วงความคิดของซุนเหยียนพลันปรากฏภาพทั้งสองแอบจูงมือกันเงียบๆ ทูลด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทูลฝ่าบาท สองสามเดือนมานี้ องค์หญิงอาโย่วกับฉางเล่อโหวผูกพันหนุ่มสาว แต่อยู่ในกรอบประเพณี ไม่เคยมีการกระทำที่เกินเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ชื่นชมอย่างมาก ความไม่พอพระทัยที่เฮ่อชิงเซียวหลอกลวงเบื้องสูงก็จางลงไปไม่น้อย “นับว่าเขารู้ธรรมเนียม” จากนั้นก็เริ่มระแวง ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ได้อยู่ร่วมกับหญิงในดวงใจทุกวันคืน ถึงกับยังรักษาธรรมเนียมจารีตไว้ได้ หรือว่าเจ้าหมอนี่คือหลิ่วเซี่ยฮุ่ย[1]?
หรือว่า…เขามีปัญหา?
คิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้แล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็รู้สึกสับสนในพระทัย
“ฝ่าบาทบรรทมเร็วสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ทรงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย พักผ่อนพระวรกายให้ดีสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” ซุนเหยียนเอ่ยเตือน
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับบรรทมไม่หลับ “แปลงปลูกมันหวานอยู่ที่ใด เก็บเกี่ยวได้แล้วหรือยัง ปลูกได้ทั้งหมดเท่าไร…”
ซุนเหยียนตอบกลับทีละข้อ มีทั้งที่รู้และไม่รู้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จึงได้ยอมไปสรงน้ำและเปลี่ยนฉลองพระองค์พักผ่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็นำบรรดาขุนนางไปยังแปลงปลูกมันหวานด้วยพระองค์เอง
ภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือเถาสีเขียวทั่วพื้นที่ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เผยสีพระพักตร์ตกพระทัย “ปลูกมากมายเพียงนี้?”
ต่างจากที่ซุนเหยียนกราบทูล
ซินโย่วอธิบาย “พื้นที่ห้าหมู่นี่ มีเพียงหนึ่งหมู่ที่ปลูกมันหวาน ที่เหลือปลูกพืชเถาที่คล้ายกับมันหวาน อีกสองแปลงก็เป็นเช่นนี้เพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงตกตะลึงแต่สักพักก็เข้าพระทัย
เพื่อป้องกันคนมาทำลาย ปลูกพืชเถาที่ภายนอกคล้ายกับมันหวานเพื่อหลอกตา
“ดูแล้วเติบโตได้ดีมาก นี่คือที่นาชั้นล่าง?”
ได้รับคำตอบยืนยันแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เสด็จไปยังที่นาชั้นรองและที่นาชั้นดีต่อ
ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ประสบการณ์ออกรบหลายปีไม่ได้เสียเปล่า เสด็จไปกลับหลายรอบก็ยังคงมีพละกำลังสมบูรณ์เพียงพอ แต่พวกขุนนางใหญ่กลับเริ่มเดินไม่ไหว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประทับลงในห้องโถงที่จัดไว้เป็นที่ปรึกษาหารือ มุมพระโอษฐ์แย้มสรวล
แม้ยังไม่รู้ผลผลิตมันหวาน แต่ที่ตาเห็นก็เป็นผืนนาเขียวขจี คิดถึงรสชาติอร่อยของมันหวาน อารมณ์จะไม่ดีได้อย่างไร
“ขุนนางทุกท่านได้เห็นกันแล้วกระมัง ที่นาแปลงนั้นปลูกมันหวาน”
พระสุรเสียงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตื่นเต้นเล็กน้อย แต่บรรดาขุนนางกลับอารมณ์แตกต่าง งุนงง สงสัย จนใจ…สรุปเดินทางรอนแรมมากไกลก็มาดูของล้ำค่า กลับรู้สึกเหมือนโดนหลอก
เสนาบดีกรมคลังทูลถาม “ฝ่าบาท มันหวานนี่แท้จริงคืออันใด มีประโยชน์อันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
กินได้หรือว่าหีบน้ำมันได้ หรือว่าเป็นยา?
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรซินโย่วทีหนึ่งก็แย้มสรวลตรัสว่า “มันหวานเป็นอาหารหลักได้”
อาหารหลัก?
บรรดาขุนนางสบตากันไปมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
ทนลำบากมากมายเพียงนี้ก็เพื่ออาหารหลักที่เหมือนข้าวเจ้ากับข้าวสาลี?
ยามนี้มีคนเริ่มผิดหวัง มีคนเริ่มลอบยินดี
ของที่ซินโย่วแอบปลูกขึ้นมาไร้ราคา ย่อมไม่มีภัยคุกคามต่อพวกเขา
“อาโย่ว” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงพยักพระพักตร์ให้ซินโย่ว
ซินโย่วหันหลังออกไป ไม่นานก็ยกถาดกลับมา
ทุกคนต่างอดชะโงกมองไม่ได้ เห็นเพียงในถาดมีถ้วยตะไลกระเบื้องสีขาวอยู่สองใบ แต่ละใบมีผลที่รูปร่างเหมือนกระสวยสองผล
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยื่นพระหัตถ์ชี้ไป “นี่ก็คือมันหวาน พืชเถาชนิดหนึ่ง ตอนราชทูตออกทะเลปีที่แล้ว อาโย่วตั้งใจให้คนนำกลับมาจากดินแดนโพ้นทะเล ตอนนี้ในที่สุดก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว ขุนนางทุกท่านชิมดูหน่อย”
ซินโย่วรับมีดเล็กจากซุนเหยียนมาแบ่งมันหวานทั้งสี่ออกเป็นชิ้นเล็กๆ
เดิมไม่ต้องให้นางทำด้วยตนเอง แต่ทว่ามันหวานนี้สำเร็จลงได้ด้วยมือของนาง ย่อมมีความหมายไม่ธรรมดา ยามนี้ซินโย่วแบ่งมันหวานด้วยตนเองย่อมเหมาะสมที่สุด
มองจากบางมุม นี่ก็คือเกียรติยศ
บรรดาขุนนางจ้องมองไม่วางตา มันหวานสีม่วงแดงถูกหั่นแบ่งเผยสีเหลืองทองด้านใน
ดูแล้ว ก็กินไม่ยาก
ซุนเหยียนยกมันหวานที่หั่นเสร็จมายังตรงหน้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กับซิ่วอ๋อง ก่อนจะแบ่งให้ทุกคน
“ชิมดูกัน”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับสั่ง ทุกคนต่างส่งมันหวานเข้าปากละเลียดเคี้ยวด้วยท่าทีระมัดระวัง จากนั้นก็พบความหวานนุ่มของมันหวาน ไม่จำเป็นต้องเคี้ยวให้ละเอียดก็กลืนลงท้องไปแล้ว
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สังเกตปฏิกิริยาของทุกคน
“มันหวานรสชาติหวานละมุน เรียกได้ว่ารสเลิศพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม อร่อย เหมาะกับคนแก่และเด็กน้อย”
“อาหารหลักมีรสชาติเช่นนี้ได้ หาได้ยากจริง”
…
ได้ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาขุนนางแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงเผยรอยแย้มสรวล “รสชาติมันหวานอร่อยและอิ่มท้อง พื้นที่หนาวเย็น ฤดูใบไม้ผลิปลูก ฤดูใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยว พื้นที่อบอุ่น ปลูกได้ปีละสองรอบ ถึงกับอาจปลูกได้สี่ฤดู ที่สำคัญที่สุดก็คือ…”
บรรดาขุนนางตั้งใจฟัง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสทีละคำ “ไม่เลือกสภาพที่นา แม้เป็นที่นาชั้นล่างก็เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ได้”
พอตรัสออกไปเช่นนี้ ก็ราวกับอสุนีบาตฟาดใส่จนทุกคนต่างตกตะลึง
ไม่เลือกสภาพที่นา หากอากาศเหมาะสม สี่ฤดูก็ปลูกได้ นี่มัน นี่มันมิใช่แก้ไขปัญหาปากท้องของราษฎรได้แล้วหรือ!
เสนาบดีกรมคลังก้าวออกมาทันที ทูลถามอย่างตื่นเต้น “ฝ่าบาท มันหวานนี้ให้ผลผลิตต่อหมู่เท่าไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ผลผลิตมันหวาน…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ชะงัก จำได้ว่าซินโย่วเคยเอ่ยถึงผลผลิตสูงสุดของมันหวาน ก็ตรัสด้วยสีหน้ายากคาดเดาว่า “นี่ก็คือจุดประสงค์ที่เราพาขุนนางทุกท่านลงใต้มา มันหวานอย่างไรก็เป็นพืชต่างแดน ผลผลิตต่อหมู่พูดด้วยวาจาไร้หลักฐาน มาเห็นด้วยตาให้รู้เอง”
ความอยากรู้ของทุกคนถูกกระตุ้นให้ขึ้นสู่จุดสูงสุด ไปดูการเก็บเกี่ยวมันหวานพร้อมกับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
ซินโย่วนำทุกคนมายังที่นาชั้นล่างก่อน มีชาวนาที่จ้างไว้รอยู่ที่นั่นแล้ว จอบพลั่วกับกระบุงเตรียมพร้อมแล้ว
“เริ่มได้”
พอเสียงคำสั่งดังขึ้น ชาวนาก็พากันกระตือรือร้นเก็บเกี่ยวทันที
ถอนเถาเลื้อยทิ้ง ฟันจอบลงไป มันหวานเป็นพวงก็ถูกขุดขึ้นมาพร้อมกับดิน สลัดดินติดรากทิ้งก่อนจะวางลงในกระบุงสาน
หนึ่งกระบุง สองกระบุง สามกระบุง…
กระบุงที่บรรจุเต็มเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
คนเก็บมาก งานก็ดำเนินได้เร็ว ไม่ต้องรอนาน มันหวานในพื้นที่หนึ่งหมู่ก็เก็บเกี่ยวเสร็จ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จับพระเนตรดูการชั่งมันหวานด้วยพระองค์เอง
เสนาบดีกรมคลังเบียดคนที่ทำหน้าที่ชั่งน้ำหนักออก มาจดจำนวนด้วยตนเอง ก่อนจะคำนวณยอด
“เก้าต้าน ได้ถึงเก้าต้าน!” คำนวณเสร็จ เสนาบดีกรมคลังก็ตะโกนเสียงดังขึ้น
“นี่คือที่นาชั้นล่าง?” ขุนนางที่พอเข้าใจการทำนาก็พากันถามขึ้น
พอได้คำตอบยืนยันแล้ว ทุกคนต่างตกตะลึง
ที่นาชั้นล่างอย่างมากก็ให้ผลผลิตแค่สองต้าน มันหวานถึงกับได้เก้าต้าน! นี่มันได้มากเกินสองเท่าเสียด้วยซ้ำไป!
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยายามระงับมิให้มุมพระโอษฐ์แย้มยก สะบัดพระหัตถ์ทีหนึ่ง “ไป ไปเก็บที่นาชั้นรองกัน!”
กลุ่มคนพากันเดินไปถึงที่นาชั้นรองกันอย่างฮึกเหิม ได้เห็นมันหวานบรรจุเต็มทีละกระบุงด้วยตาตนเองอีกครั้ง
“เท่าไร”
เสนาบดีกรมคลังรายงานตัวเลขเสียงดัง “สิบหกต้าน!”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แย้มสรวลจนหุบไม่ลง แม้แต่พระกระยาหารเที่ยงก็ไม่คิดเสวย จ้องมองที่นาชั้นดีที่กำลังนับอย่างละเอียด
พอเสนาบดีกรมคลังนับจำนวนผลผลิตมันหวานจากที่นาชั้นดีเสร็จ ก็ถึงกับตะลึงอึ้งไปจนลืมเอ่ยวาจา
[1] นักปราชญ์ร่วมสมัยกับขงจื่อ ได้รับการยกย่องว่ามีคุณธรรมดีงาม เล่ากันว่าครั้งหนึ่งจำต้องอาศัยในบ้านร้างกับหญิงสาวคนหนึ่ง ยามนั้นอากาศหนาวจึงต้องใกล้ชิด แต่เขาก็ไม่หวั่นไหว ไม่คิดล่วงเกินหญิงสาว เป็นที่มาของสำนวนว่า นั่งตักไม่หวั่นไหว
……….