หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - ตอนที่ 101 ประชาสัมพันธ์
ตอนที่ 101 ประชาสัมพันธ์
ผ่านไปอีกสองวัน กังหันน้ำของช่างไม้หลิวก็สร้างเสร็จเรียบร้อย
ชิ้นส่วนทั้งหมดถูกมัดรวมกัน ฉินเหยาคนเดียวก็สามารถแบกไปได้
ส่วนเสาสองต้นที่ใช้เป็นรับแรงจากเพลา ช่างไม้หลิวกับหลานของเขาต่างก็รับไปคนละต้น ทั้งสามคนเดินทางไปหมู่บ้านเซี่ยเหอตามเวลานัดหมายเพื่อทำการประกอบเครื่องโม่
หลังคาโรงโม่ถูกสร้างเสร็จแล้ว หมู่บ้านเซี่ยเหอมีคนมาก แรงงานเยอะ ทำให้ก่อสร้างได้รวดเร็ว ผนังทั้งสี่ด้านใช้ไม้ไผ่ทำเป็นกำแพง หลังคามุงด้วยฟางหนาและใช้แผ่นไม้ตอกตะปูทับฟางไว้ แม้ลมแรงก็ไม่ปลิว
ฉินเหยากับช่างไม้หลิวใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการประกอบ อีกวันหนึ่งสำหรับปรับแต่งและทดสอบ ทำให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดครึ่งเดือนถึงสองวัน
ผลลัพธ์ออกมาดีมาก ร่องน้ำที่ไหลเข้าบ่อถูกจัดการอย่างดีสามารถใส่แผ่นไม้เพื่อปิดกั้นน้ำ ทำให้โม่หยุดหมุนได้
เมื่อต้องการใช้งานก็เพียงยกแผ่นกั้นน้ำออก ปล่อยให้น้ำไหลเข้า สายน้ำเชี่ยวกรากจะพุ่งเข้าช่องน้ำ พุ่งกระแทกใบพัดของกังหันน้ำแนวนอน ทำให้มันหมุนอย่างรวดเร็ว
ในโรงโม่สามารถใช้งานโม่ได้พร้อมกันสองเครื่อง หากไม่ต้องการใช้ก็สามารถถอดเพลาหมุนของเครื่องหนึ่งออก ใช้งานเพียงเครื่องเดียว
ส่วนเครื่องบดถูกแยกไว้ที่มุมโรงโม่ ใช้พลังงานจากกังหันน้ำเล็กที่อยู่ข้างกังหันใหญ่
นี่คือระบบที่ใช้กังหันน้ำสองขนาดร่วมกัน ทำให้เครื่องบดหินหมุนช้ากว่าโม่หินเท่าหนึ่ง ใช้งานสะดวกกว่าและช่วยลดอุบัติเหตุจากการถูกดึงเข้าไปในเครื่อง
แต่ถึงจะช้าก็ยังเร็วกว่าการใช้แรงคน
ในวันที่โรงโม่เริ่มเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ ชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงไม่น้อยต่างพากันมามุงดู
ชาวบ้านหมู่บ้านเซี่ยเหอหอบข้าวสาลีเก่าจากที่บ้านมาทดลองใช้ หลังจากลองไปสองสามรอบก็หลงรักโม่หินนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น
เนื่องจากโรงโม่น้ำเป็นของใช้ร่วมกันทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านที่ได้ใช้ก่อนก็ไม่ได้คิดจะแบ่งให้คนอื่น พอมีคนต่อแถวจนหงุดหงิดก็แทบจะมีปากเสียงกัน
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉินเหยาต้องใส่ใจ นางเพียงแค่สะสางเรื่องเงินค่าจ้างที่เหลือ ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านเซี่ยเหอจัดการ
หวังอวี่พานางกับช่างไม้หลิวไปที่บ้าน ด้วยความที่โรงโม่ใช้งานได้ดีมาก เขาจึงจ่ายเงินส่วนที่เหลืออีกสิบตำลึงให้อย่างเต็มใจ
ฉินเหยาให้เขาเอากระดาษกับพู่กันมา นางตั้งใจจะทิ้งคู่มือการซ่อมบำรุงเบื้องต้นไว้ให้
เนื่องจากนางเขียนอักษรพู่กันไม่ถนัด นางจึงเป็นคนบอก ส่วนหวังอวี่เป็นคนจด
หวังอวี่ไม่คิดว่าโรงโม่น้ำยังมีบริการหลังการขายอีก เขารู้สึกขอบคุณมาก ยิ้มให้ฉินเหยาก่อนจะตั้งใจคัดลอกคำแนะนำที่นางบอกมา
ฉินเหยากำชับว่า “แม้ข้าจะสอนช่างไม้สองคนในหมู่บ้านพวกท่านเกี่ยวกับการดูแลและซ่อมบำรุงไปแล้ว แต่บันทึกนี้ให้ทุกคนในหมู่บ้านได้ดูร่วมกัน โรงโม่นี้เป็นของใช้ร่วมกัน ต้องช่วยกันดูแลถึงจะใช้งานได้นาน”
หวังอวี่พยักหน้ารับหลายครั้ง “แน่นอนๆ ฉินเหนียงจื่อ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะกำชับชาวบ้านให้ใช้งานอย่างระมัดระวัง”
“อืม หากมีปัญหาที่แก้ไม่ได้ พวกท่านสามารถมาหาช่างไม้หลิวที่หมู่บ้านตระกูลหลิวหรือมาหาข้าได้ ภายในสามเดือนแรกข้ารับประกันให้ไม่คิดเงินเพิ่ม” ฉินเหยายิ้มบางๆ เอ่ย
หวังอวี่รับคำ รู้สึกว่าสิบห้าตำลึงที่จ่ายไปนั้นคุ้มค่ามากเหลือเกิน
หลังสะสางเงินค่าจ้างเสร็จ ฉินเหยาและช่างไม้หลิวก็ไม่ได้รีบร้อนกลับ พอดีกับที่หวังอวี่จะไปดูโรงโม่น้ำอยู่แล้ว ทั้งสามจึงไปด้วยกัน
เมื่อไปถึงโรงโม่ ชาวบ้านหมู่บ้านเซี่ยเหอก็ได้ผลัดเปลี่ยนกันมาชื่นชมโม่จนครบแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับสายตาอิจฉาและคำชมจากชาวบ้านหมู่บ้านอื่น
หวังอวี่พยักหน้าให้ทั้งสองคน ก่อนจะเดินไปจัดการงานของตน เขาต้องสอนชาวบ้านให้ใช้งานอย่างถูกต้อง จะได้ไม่ทำให้โรงโม่เสียหาย
ช่างไม้หลิวกับฉินเหยาสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองจะแยกกันแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มฝูงชน เริ่มประชาสัมพันธ์โรงโม่น้ำให้ชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่น
“โรงโม่น้ำนี่มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แบบใหญ่ก็ไม่ได้แพงเกินไป ส่วนแบบเล็กก็คุ้มค่า ใช้ส่วนตัวก็ได้หรือจะรวมเงินกันสร้างเป็นของหมู่บ้านก็ย่อมได้ ช่วยลดแรงงานมือและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน”
“อย่าเอาแต่มองหมู่บ้านเซี่ยเหอแล้วอิจฉา หากสนใจก็ต้องลงมือทำ ฤดูเก็บเกี่ยวกำลังจะมาถึงแล้ว รีบสร้างตอนนี้ ถึงเวลาก็จะสบายแล้ว”
แม้ว่าฉินเหยาจะไม่ได้พูดเสียงดังนัก แต่น้ำเสียงของนางกลับมีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟัง
เมื่อเห็นทุกสายตามุ่งมาที่ตนเอง นางจึงกล่าวต่อว่า
“กังหันน้ำเล็กๆ ราคาถูกมาก โม่หนึ่งเครื่องใช้ได้นานหลายปี หากดูแลดีๆ ใช้สิบปีก็ยังได้ คิดเฉลี่ยแล้ว วันหนึ่งยังไม่ถึงหนึ่งเหวินเลย ถ้าปัดเศษก็เท่ากับได้เปล่าเลยนะ!”
“บ้านไหนทำกิจการร้านธัญพืช แทนที่จะเสียเงินจ้างคนโม่ เหตุใดไม่สร้างโรงโม่น้ำของตัวเองจะดีกว่า แค่ปีเดียวก็คืนทุนแล้ว หลังจากนั้นจะโม่กินเองหรือรับจ้างโม่ให้คนอื่นก็กำไรล้วนๆ!”
แน่นอนว่าพอพูดถึงข้อดีแล้วก็ต้องพูดถึงข้อเสียด้วย
“แต่ถึงโรงโม่น้ำจะดีแค่ไหน หากไม่มีน้ำก็ใช้ไม่ได้ ทุกท่านต้องพิจารณาตามสภาพพื้นที่ของตัวเอง อย่าตัดสินใจซื้อเพราะความวู่วามเพียงอย่างเดียว สุดท้ายใช้ไม่ได้ แบบนั้นพวกข้าไม่รับคืนของนะ”
ชาวบ้านธรรมดาชอบฟังคำพูดตรงไปตรงมาแบบนี้อยู่แล้ว อีกทั้งฉินเหยากับช่างไม้หลิวก็เป็นคนจากหมู่บ้านใกล้เคียง ไม่ใช่พ่อค้าต่างถิ่นที่หวังจะเอาเปรียบทำให้ความรู้สึกไว้วางใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ก็มีชาวบ้านเจ็ดแปดคนเข้ามาสอบถามรายละเอียดและราคาทันที
“แบบเล็กอยู่ที่หนึ่งถึงสองตำลึง ส่วนแบบใหญ่ก็เริ่มต้นที่สิบตำลึง ยี่สิบตำลึงขึ้นไป ราคาขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบ้าน เราไม่จำเป็นต้องเลือกแบบใหญ่เสมอไป เลือกแบบที่เหมาะสมก็พอ”
ราคานี้ทำให้ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถอยหนีไปทันที
แต่ฉินเหยาไม่ได้ร้อนใจ นั่นก็เพราะพวกเขายังไม่เคยใช้ เมื่อได้ลองใช้เมื่อไหร่ รับรองว่าจะขาดมันไม่ได้
โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มักจะแสวงหาความสะดวกสบาย โม่หินที่ใช้แรงคนขัดกับความต้องการนั้นโดยตรง เมื่อมีตัวเลือกที่ใช้เงินเพียงเล็กน้อยแต่สามารถลดภาระได้ ต่อให้เป็นชาวไร่ชาวนาที่ขี้เหนียวเพียงใด ก็ยังอดไม่ได้ที่จะยอมแพ้ให้กับความสะดวกสบายนี้