หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - ตอนที่ 106 น่าสนใจจริงๆ
ตอนที่ 106 น่าสนใจจริงๆ
ปลายเดือนหก โรงโม่ขนาดเล็กขายออกไปห้าชุด หลังจากหักต้นทุนค่าวัสดุและค่าแรงแล้ว กำไรสุทธิอยู่ที่เจ็ดตำลึงสองเฉียน
แบ่งกันคนละครึ่ง ฉินเหยาได้รับสามตำลึงหกเฉียน
ตอนนี้ยังมีคำสั่งซื้อโรงโม่ขนาดเล็กอีกสามชุด กำไรในเดือนเจ็ดถือว่าแน่นอนแล้ว
ไม้ที่ใช้ในรอบนี้ ช่างไม้หลิวซื้อจากชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลหลิว ราคาสูงกว่าการขายให้พ่อค้าไม้เล็กน้อยซึ่งก็เท่ากับว่าพวกเขาปรับต้นทุนให้สูงขึ้นเพื่อแบ่งปันกำไรให้กับชาวบ้านมากขึ้น
กำไรสุทธิประมาณร้อยละห้าสิบแบบปลายเดือนหกคงไม่สามารถทำได้ในเดือนเจ็ด
ฉินเหยาตั้งเป้าหมายกำไรขั้นต่ำไว้ที่ร้อยละสามสิบก็พอ เช่นนี้ทั้งนางและช่างไม้หลิวจะไม่ต้องเหนื่อยเกินไปและยังสามารถจ้างคนเพิ่มเพื่อแบ่งงานได้
เมื่อหลิวจี้รู้เรื่องนี้ เขาก็บ่นอุบอิบอยู่หลายวัน ด่าว่าฉินเหยาว่าโง่ ใจกว้างเกินไป อะไรต่อมิอะไร
ฉินเหยาได้ยินเข้าก็จับตัวเขาไปอบรมเป็นการส่วนตัว ให้เขารู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของจิตใจมนุษย์
“เจ้าเคยได้ยินหลักการ ‘เสียงส่วนใหญ่’ หรือไม่” ฉินเหยากระแทกเขาเข้ากับเสาไม้หลังบ้านแล้วถามด้วยน้ำเสียงดูแคลน
หลิวจี้รีบยกมือขึ้นบังหน้า คิดว่านางจะซ้อมเขาอีกแล้ว พลางพึมพำ “ผิดไปแล้วๆ เมียจ๋า ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
ประโยคเช่นนี้ฉินเหยาฟังวันละสองครั้งจนชิน นางรู้ดีว่ามันเป็นเพียงคำติดปากของหลิวจี้ ไม่ได้หมายความว่าเขาสำนึกจริง
ฉินเหยาฟาดมือลงไปหนึ่งฉาดให้เขาลดมือลง จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หากใครสักคนต้องการทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ หรือออกกฎใหม่ขึ้นมา กฎนั้นจะมีผลก็ต่อเมื่อมันเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่เท่านั้นจึงจะได้รับการสนับสนุนและสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น”
“ในกรณีของพวกเรา ‘เสียงส่วนใหญ่’ อาจหมายถึงคนส่วนใหญ่หรืออาจเป็นใครสักคนที่มีอำนาจอยู่ในมือ”
“ทุกคนเป็นชาวบ้านธรรมดาเหมือนกัน หากมีแค่ครอบครัวเราทำเงินได้อยู่เจ้าเดียวแล้วคนอื่นต้องยืนมองเฉยๆ เจ้าว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่”
หลิวจี้ชะงักไป เขาจะรู้เรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน
ฉินเหยาให้เขาลองคิดกลับกัน “สมมติว่าหลิวฟาไฉเปิดโรงงานทำโรงโม่ ทำเงินได้มหาศาล ซื้อที่ดิน ซื้อบ้านแล้วเจ้าหลิวจี้ก็อยากได้ส่วนแบ่งบ้างจึงไปขอทำงานด้วย แต่เขาไม่ให้โอกาสเลย เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”
หลิวจี้เงียบไป ในหัวเขาผุดความคิดชั่วร้ายหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่กล้าพูดออกมา
ฉินเหยาหลุดหัวเราะเบาๆ แล้วตบบ่าเขา “คนแบบเจ้าน่ะ ในหมู่บ้านไม่ต้องบอกว่ามีถึงครึ่งหรอก แต่หนึ่งในห้าก็ยังพอมีอยู่บ้าง”
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากคนหนึ่งในห้าที่คิดเช่นนี้ นางกับช่างไม้หลิวจึงต้องทำให้ประชาชนที่เหลือพอใจและควบคุมสมดุลเอาไว้
ตอนนี้การค้าโรงโม่น้ำของบ้านนางเริ่มไปได้ดีย่อมดึงดูดให้พวกใจแคบรู้สึกริษยา หากไม่ใช่เพราะราคาค่าบริการถูกจนลดไม่ได้อีกแล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเล่นตุกติกกันอย่างไร
หลิวจี้ขมวดคิ้ว เหตุใดเขารู้สึกว่านางกำลังด่าเขากันนะ?
แต่เขาก็ยังสงสัยจึงเอ่ยถาม “เช่นนั้นทำไมบ้านหลิวต้าฝูถึงไม่มีปัญหาเล่า”
“เพราะเขาแข็งแกร่งกว่าคนส่วนใหญ่มากเกินไป มนุษย์มักจะมองเห็นแต่สิ่งที่เหนือกว่าตัวเองเพียงเล็กน้อย เพราะยังมีโอกาสที่จะไปให้ถึง แต่หากใครแข็งแกร่งเกินไปจนเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะ คนกลับจะตระหนักได้เองว่าไม่มีวันตามทันแล้วเกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะเล่นงานตนแทน สุดท้ายก็เลยพากันยกย่องและประจบประแจงแทน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉินเหยามองหลิวจี้ด้วยสายตาลึกล้ำ “แต่หากเจ้าสอบได้ล่ะก็ เรื่องทั้งหมดที่ข้าพูดมาก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป”
“พรุ่งนี้เจ้าต้องไปสมัครเข้าสำนักศึกษาแล้ว เตรียมตัวให้ดีแล้วกัน”
หลังจากทิ้งคำพูดนี้ไว้ ฉินเหยาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้อง นางต้องเก็บหนังสือที่ยืมมาให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ตอนผ่านเมืองจินสือจะได้แวะคืนตระกูลติง
เวลานี้ นายท่านติงคงกำลังเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว การสอบฮุ่ยซื่อในเดือนเก้า ไม่รู้ว่าเขาจะสอบผ่านหรือไม่
หลังจากห่อหนังสือเสร็จ ฉินเหยาก็ไปที่เรือนเก่าของตระกูลหลิวอีกรอบ ขอให้พี่สะใภ้ทั้งหลายช่วยดูแลต้าหลางพี่น้องสี่คนเพราะพรุ่งนี้นางอาจกลับจากตัวเมืองไม่ทัน
จากนั้นก็ไปกำชับงานให้สามพี่น้องหลิวไป่ให้พวกเขาดำเนินการเจียโม่หินต่อไปตามขนาดและรูปแบบเดิม
เมื่อไม่มีนางช่วย ความเร็วและประสิทธิภาพย่อมต้องลดลงแน่นอน พวกเขาต้องเตรียมใจไว้ เพราะต่อไปก็จะเป็นเช่นนี้
สามพี่น้องหลิวไป่พยักหน้ารับ พวกเขาเป็นคนที่อดทนต่อความลำบากได้อยู่แล้ว อีกทั้งรายได้ก็ดีขึ้นมาก มีคนในหมู่บ้านอิจฉาพวกเขาไม่น้อยเลย
ก่อนหน้านี้ค่าจ้างคิดเป็นรายวัน แต่ตอนนี้ฉินเหยาเปลี่ยนวิธีการ นางจ้างหลิวไป่สามพี่น้องทำโม่หินแบบเหมารวม จ่ายค่าแผ่นโม่แผ่นละสี่ร้อยเหวิน ส่วนขั้นตอนที่เหลือก็ให้พวกเขาจัดการเอง
งานนี้ไม่ได้มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องต้องมีคำสั่งซื้อเข้ามาก่อนถึงจะทำได้ ถือเป็นงานช่วงสั้น แต่รายได้ก็นับว่าดีทีเดียว
หลังจากออกจากเรือนเก่าตระกูลหลิว ฉินเหยาเดินไปหาบ้านที่มีวัวในหมู่บ้าน ถามว่าพรุ่งนี้มีใครจะไปตัวเมืองหรือตัวอำเภอบ้าง นางอยากขอติดรถไปด้วย
บังเอิญบ้านหลิวต้าฝูต้องไปตัวเมืองพอดีจึงตกลงให้ฉินเหยาและหลิวจี้ติดรถไปด้วย บอกให้พวกเขาไปรอที่ปากหมู่บ้านแต่เช้าพรุ่งนี้ ถึงเวลาค่อยเดินทางไปพร้อมกัน
เมื่อเจรจาตกลงเรียบร้อย ฉินเหยาก็กลับบ้าน
ต้าหลางกับพี่น้องสี่คนรีบวิ่งเข้ามารุมล้อม เอ้อร์หลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านแม่ ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่หรือ”
ฉินเหยาตอบ “หากทุกอย่างเรียบร้อย พรุ่งนี้ก็ไปแล้วกลับเลย แต่หากมีปัญหาอาจจะกลับช้าสักสองวัน”
“แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าบอกที่เรือนเก่าไว้แล้ว หากมีปัญหาอะไรก็ไปหาพวกเขาได้ หากพวกเจ้ากลัวตอนกลางคืนก็เรียกท่านอาเล็กกับจินเป่ามานอนด้วยกัน ข้าทำธุระเสร็จจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
เด็กทั้งสี่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่พอคิดว่าจะไม่มีทั้งท่านพ่อและท่านแม่อยู่บ้านก็ยังอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้
ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ในบ้านไม่มีผู้ใหญ่เลย พวกเขาก็อยู่กันเองได้ตามปกติ แต่ตอนนี้พอคิดว่าในเวลากลางคืนบ้านจะมืดสนิทและไม่มีผู้ใหญ่เลยแม้แต่คนเดียวก็เริ่มหวั่นใจ
ต้าหลางหงุดหงิดที่ตนเองรู้สึกกลัว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาสูญเสียความสามารถในการพึ่งพาตัวเองไป
แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะแม่เลี้ยงที่ทำให้เขาเสียคน! เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มตัวน้อยก็พองแก้มด้วยความขุ่นเคืองก่อนจะซุกตัวมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม
ต่างจากเด็กทั้งสี่ หลิวจี้ตั้งตารอวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ
เพราะนับจากนี้ไป การซักผ้า ทำอาหาร ปลูกพืช ทำนา จะไม่ใช่เรื่องของเขาอีกต่อไป!
เพราะตื่นเต้นเกินไป หลิวจี้จึงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่เปลี่ยนเป็นเสื้อยาวผ้าปอที่เพิ่งตัดใหม่
สีของผ้าปอเป็นสีขาว แต่ไม่ใช่สีขาวซีดจาง แต่เป็นขาวนวลอบอุ่น สวมใส่ในฤดูร้อนได้เย็นสบายทั้งยังราคาถูก
คนทั่วไปสวมชุดผ้าปอจะดูเหมือนคนยากจน เพราะเสื้อขาวซีดไปทั้งตัว ไม่มีอะไรโดดเด่น หันไปมองรอบๆ ก็ล้วนมีแต่คนที่แต่งตัวสีเดียวกัน
เพราะต้องไปสำนักศึกษา หลิวจี้จึงจัดแต่งทรงผมเป็นพิเศษ เขารวบผมยาวดำขลับราวหมึกขึ้น ใช้ปิ่นไม้ไผ่ยึดไว้แล้วคลุมด้วยผ้าผืนเล็กสีเดียวกัน
เนื่องจากไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก สีผิวของเขาแม้ไม่นับว่าขาวเผือด แต่ก็ไม่ใช่สีผิวของชาวไร่ชาวนา ทว่ากลับขับเน้นโครงหน้าที่ดูโดดเด่นของเขา
ดวงตารูปดอกท้อสุกใสดุจดวงดาว จมูกโด่งเชิด ริมฝีปากไม่หนาไม่บางกำลังดี ดูอิ่มเอิบสมส่วน ชุดขาวที่สวมใส่ทำให้เขาดูราวกับเซียนที่ไม่สนใจชื่อเสียงลาภยศ
เพราะกลัวว่าชุดใหม่จะเปื้อน เขาจึงคาดผ้ากันเปื้อนสีครามอย่างระมัดระวังแล้วพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนแข็งแรงยามที่กำลังออกแรงนวดแป้งอยู่หน้าเตาไฟ ยามเงยหน้าขึ้น ใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อบนหน้าผาก ดวงตานั้นระยิบระยับราวกับดวงดาวที่สะกดหัวใจคน
ฉินเหยาเปิดประตูออกมา พอเงยหน้าขึ้นมองก็นึกสงสัยว่าตัวเองยังไม่ตื่น
นางถอยกลับเข้าไปในห้อง ปิดประตูแล้วเปิดออกใหม่ ดวงตาเบิกกว้าง
บัดซบ! เจ้าหลิวสาม เจ้ามันมีของดีจริง!