เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 109 ดึงเข้าสู่ทางโลก
บทที่ 109 ดึงเข้าสู่ทางโลก
ฉู่หร่านลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าอย่างแรง “อันเชี่ยน!”
น้ำเสียงราวกับอยากจะฆ่าให้ตาย
เมื่อเห็นแผ่นหลังของฉู่หร่านที่เดินจากไป ซ่งเมี่ยวเมี่ยวกับเฉิงยวนที่ดูละครฉากนี้กันอยู่ก็เบิกตากว้าง
เฉิงยวนทำเสียงไม่สบอารณ์ “ผู้หญิงสมัยนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวกลับพูดว่า “หนูจะไปบอกพี่ลั่วลั่ว!”
เฉิงยวนก็ลอยตามไปด้วย วิญญาณทั้งสองดวงบุกเข้าไปในห้องของฉู่ลั่ว ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านล่างให้ฟัง
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวโกรธมาก “ทำไมถึงได้มีคนเลวขนาดนี้กันนะ หนูบอกแล้วว่าเธอเป็นคนเลว!”
เฉิงยวนเผยสีหน้าเหนื่อยใจ “ต่อให้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ฉู่หร่านและพี่ใหญ่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนะ! แบบนี้ใจร้ายเกินไปแล้ว”
ฉู่ลั่วกำลังหลับตาบำเพ็ญ ได้ยินเรื่องซุบซิบที่เป็นข่าวใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
“พี่ลั่วลั่วดูเหมือนไม่โกรธเลย”
เฉิงยวนบ่น “นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้บำเพ็ญ ไม่ยินดีกับวัตถุ ไม่เป็นทุกข์เพราะเรื่องส่วนตัว ข้าไม่ชอบเลย”
วิญญาณหญิงสาวสะบัดก้นใส่คนไม่อินละคร ก่อนคว้าซ่งเมี่ยวเมี่ยวลอยออกไป “บำเพ็ญมีอะไรดี บนโลกมนุษย์มีของน่าสนุกตั้งเยอะ”
ห้องเงียบลงไปชั่วขณะ…
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“คุณรู้มาตั้งนานแล้วใช่ไหม?” ฮั่วเซียวหมิงเอ่ย
ฉู่ลั่วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา มองไปทางวิญญาณชายหนุ่ม “อืม”
ฮั่วเซียวหมิงเอ่ยถาม “ทำไมคุณถึงไม่บอกฉู่เหิง?”
“บอกไป พี่ใหญ่ก็คงไม่เชื่อ” แม้ฉู่เหิงจะโกรธฉู่หร่าน แต่ในใจก็ยังคิดว่าฉู่หร่านเป็นน้องสาว
หากไม่มีหลักฐาน พูดเรื่องพวกนี้ออกไปแล้วมีแต่จะเพิ่มความวุ่นวายเปล่า ๆ
ฮั่วเซียวหมิงลอยมาตรงหน้าฉู่ลั่ว นั่งยองลงสบตากับเธอ “คุณไม่พูด แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าฉู่เหิงไม่เชื่อ?”
ฉู่ลั่วมุ่นคิ้ว
“ผมคิดว่าฉู่เหิงจะเชื่อที่คุณพูด”
ฟังแล้วเธอขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
ฮั่วเซียวหมิงเห็นท่าทางนั้นก็เม้มปาก “ลองมาพนันกันไหม?”
ฉู่ลั่วส่ายหน้า “ไม่พนัน… ฉันปฏิเสธสื่อลามก การพนัน และยาเสพติด”
เธอกล่าวในฐานะผู้บำเพ็ญ แม้มันจะฟังเหมือนคำปฏิญาณก่อนนอนของเด็กประถมก็ตาม
ได้ยินแบบนี้ ฮั่วเซียวหมิงก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนระเบิดหัวเราะ เขาหงายหลังเอามือปิดตา เสียงเริงร่าดังก้องไปแทบจะถึงฟ้า
หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้หัวเราะอย่างสบายใจแบบนี้
อาจจะมีสาเหตุจากการที่เขาเป็นวิญญาณ จึงรับรู้และมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความรู้สึกที่แข็งแกร่งขึ้นมาก
จึงไม่ต้องกังวลว่าถ้าตัวเองจะหัวเราะเสียงดังเกินไปจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่
ฉู่ลั่วเอียงคอเล็กน้อย มองคุณชายฮั่วจิ่วขบขันมีความสุขอย่างไม่เข้าใจ รอจนเขาหัวเราะเสร็จ เธอถึงถามว่า “คุณหัวเราะอะไร?”
เธอพูดอะไรน่าขำมากเลยเหรอ?
ฮั่วเซียวหมิงนั่งยอง ๆ อีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มที่หางตา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่พนันกันก็ได้ แต่ผมกล้ายืนยันเลยว่า ฉู่เหิงต้องเชื่อในสิ่งที่คุณพูด”
เธอเงียบงัน
“ฉู่ลั่ว คุณไม่ได้อยู่บนโลกนี้เพียงลำพังหรอกนะ” แววตาของฮั่วเซียวหมิงลึกซึ้ง “มีคนที่ใส่ใจคุณ เป็นห่วงคุณ พร้อมจะเชื่อคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และยังมีคนที่… รักคุณอยู่นะ”
มือของฉู่ลั่วที่วางอยู่บนหัวเข่าสั่นเล็กน้อย
“เรื่องนี้สำคัญกับฉู่เหิงมากไม่ใช่เหรอ? เขามีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริงไม่ใช่เหรอ?”
ฉู่ลั่วเม้มริมฝีปาก
“เชื่อผมเถอะ ต่อให้ไม่มีหลักฐาน ฉู่เหิงก็เชื่อที่คุณพูด”
ฉู่ลั่วมองแววตาที่มุ่งมั่นของฮั่วเซียวหมิง ก่อนพูดออกมาช้า ๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้น… ฉันจะบอกเขาหลังกลับไปถึงเมืองเจียงแล้ว”
สายตาของวิญญาณหนุ่มอ่อนลง และพยักหน้า “อืม กลับไปเมืองเจียงแล้วค่อยบอก”
ยังมีร่องรอยของความลังเลปรากฏอยู่บนใบหน้าของฉู่ลั่ว
ราวกับเซียนบนภูเขาสูง ที่ไม่เข้าใจเรื่องราวมากมายบนโลกมนุษย์
ความสุขุมเยือกเย็นแบบนี้… ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบนี้
ทำให้ผู้คนมีความคิดอยากจะดึงเธอเข้ามาสู่ทางโลก
ฮั่วเซียวหมิงยื่นมือออกไป ตอนที่นิ้วอยู่ห่างจากแก้มของฉู่ลั่วไม่กี่เซนฯ ก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาดึงมือกลับ แล้วหันหน้าหนี “มีบางอย่างติดอยู่บนหน้าคุณ”
ฉู่ลั่วใช้มือลูบ แต่ไม่มีอะไรอยู่เลย
ฮั่วเซียวหมิงยิ้ม “หลุดออกไปแล้ว”
เขารีบลุกขึ้น “คุณฝึกบำเพ็ญต่อเถอะ”
พูดจบ วิญญาณหนุ่มก็ลอยออกไป
ฉู่ลั่วมองฮั่วเซียวหมิงที่ลอยโซซัดโซเซไปจนลับสายตา เหมือนกับคนเมา
เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ฮั่วเซียวหมิงคนนี้ แปลกพิลึกจริง ๆ