เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 4 มื้อเช้าแสนวุ่นวาย
พ่อลูกตระกูลซ่งรีบร้อนจากไป
ฉู่หร่านพูดจาแฝงไปด้วยความจริงใจกับพี่น้องว่า “ลั่วลั่ว ทำไมเธอถึงแช่งคุณป้าฉิงแบบนั้น คุณลุงซ่งกับภรรยารักกันมาก พูดแบบนี้ คุณลุงซ่งต้องโกรธแน่ ๆ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขึ้นไปนอนก่อนนะ” ฉู่ลั่วไม่สนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เธอเดินตรงขึ้นไปข้างบน
ฉู่หร่านก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ น้ำตาคลอเบ้าไหลอาบแก้มลงมา
ซ่งเชียนหย่าเช็ดน้ำตาที่หางตาให้ลูกสาวที่รักอย่างปวดใจ แล้วกอดเธอไว้ “นิสัยของลั่วลั่วจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขจริง ๆ โชคดีที่ครั้งนี้เป็นตระกูลซ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเรา ถ้าเป็นตระกูลอื่นคงได้บาดหมางกันไปแล้ว”
ฉู่เหว่ยฮ่าวก็แอบคิดแบบนั้นเหมือนกัน
“ไลฟ์สตรีมนั่น… อย่าให้เธอทำอีก”
เช้าวันต่อมา ฉู่ลั่วลงมาทานอาหารเช้าข้างล่าง ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นพี่รองฉู่จิงกับพี่สามฉู่จ้านปรากฏตัวขึ้น
นอกจากวันแรกที่กลับมาบ้าน สองคนนี้ก็พูดกับเธอแค่ประโยคเดียว แล้วไม่เคยมาให้เห็นหน้าอีก
ฉู่จิงกล่าว “เธอกับหร่านหร่านเป็นลูกสาวของตระกูลฉู่ทั้งคู่ อย่ารังแกเธออีก”
ฉู่จ้านพูดตรงกว่ามาก “ตระกูลฉู่เป็นบ้านของหร่านหร่านเสมอ ใครก็อย่าคิดไล่เธอออกไป”
พี่ชายแท้ ๆ ทั้งสองเอ่ยเตือนน้องสาวแท้ ๆ เสร็จ ก็รีบไปโอ๋ฉู่หร่าน โอ๋เสร็จ ทั้งสองคนก็ออกไปทำงาน
แม้กระทั่งงานเลี้ยงต้อนรับเธอก็ไม่ได้มา
ฉู่หร่านเห็นเธอเดินลงมา ก็ยิ้มหวาน “ลั่วลั่ว รีบมาเร็วทุกคนกำลังรอเธออยู่นะ”
ฉู่จ้านเอนตัว มองด้วยหางตาอย่างเย็นชา “ทั้งบ้านต้องรอเธอคนเดียว ไม่มีมารยาทเลยหรือไง?”
ฉู่ลั่วทำเป็นไม่ได้ยิน เดินมานั่งลงบนเก้าอี้อย่างใจเย็น แล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารเช้า
ยิ่งเธอทำท่าทางเฉยเมยมากเท่าไหร่ พี่ชายสามก็ยิ่งโกรธมากเท่านั้น “ได้ยินว่าเมื่อวานเธอแย่งชุดของหร่านหร่านไป?”
ฉู่ลั่วตอบโดยไม่หันมามอง “อืม แย่งมาแล้ว”
“เธอคงมีเหตุผลดี ๆ มาอธิบายใช่ไหม? ตระกูลฉู่ขาดของกินดื่มหรือว่าขาดเสื้อผ้าให้เธอใส่งั้นเหรอ? เธอถึงต้องมาแย่งกระโปรงของหร่านหร่านไป บ้านนี้ไม่มีเงินให้เธอซื้อหรือไง?”
ฉู่ลั่ววางช้อนลง ก่อนกวาดตามองทุกคนบนโต๊ะอาหารเช้าอย่างเย็นชา
หากไม่ใช่สีหน้าเย็นชา… ก็กำลังขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่พอใจกับพฤติกรรมที่เธอทำเมื่อวานนี้
“ฉันไม่มีชุดราคาห้าล้านใส่นี่”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปซื้อสิ?”
ฉู่ลั่วยิ้ม พูดเหน็บแนมว่า “ชุดกระโปรงตัวนั้น ในท้องตลาดขายห้าล้านเชียวเหรอ?”
กระโปรงของฉู่หร่านล้วนเชิญดีไซเนอร์ชื่อดังระดับนานาชาติมาออกแบบให้ กระโปรงตัวเมื่อวานค่าออกแบบอยู่ที่ห้าล้าน
นี่ยังไม่ใช่ชุดที่แพงที่สุดของฉู่หร่าน แค่ระดับกลางเท่านั้น
แต่ลูกสาวอย่างเธอที่เพิ่งกลับมาบ้านตระกูลฉู่ ต่อให้มีเงินก็ไม่มีเส้นสายพอจะไปหาดีไซเนอร์ระดับนานาชาติมาออกแบบเสื้อผ้าให้
เหมือนว่าคนตระกูลฉู่จะตระหนักถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้บ้างแล้ว
พวกเขาเริ่มมีสีหน้าอึดอัดใจ
ฉู่จ้านไม่ยอมแพ้ ยังคิดว่าฉู่หร่านไม่ได้รับความยุติธรรม “ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ควรแย่งกระโปรงของหร่านหร่าน! เธอแย่งของของคนอื่น มันไม่ถูกต้อง”
“มีสิทธิ์อะไรล่ะ? ฉันใส่กระโปรงราคาห้าพัน แต่เธอใส่กระโปรงราคาห้าล้านในงานเลี้ยงต้อนรับของฉัน”
การเปรียบเทียบนี้ ค่อนข้างรุนแรงมาก
ฉู่จ้านนิ่งค้างไป
ซ่งเชียนหย่าแสดงสีหน้ารู้สึกผิดและเจ็บปวดออกมา “ลั่วลั่ว เป็นความผิดของแม่เอง แม่ควรเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องประดับไว้ให้ลูก”
เธอเพียงแค่เคยชิน
ตั้งแต่ฉู่หร่านโต และมีรสนิยมด้านความงามของตัวเอง เธอก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งกับการแต่งตัวของลูก ๆ อีกเลย
ทุกครั้งผู้เป็นแม่มักจะเคยชินกับการให้การ์ดไป เธออยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากเชิญดีไซเนอร์คนไหนก็เชิญมา
ฉู่หร่านกวาดตามองสีหน้าของทุกคน เธอเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของฉู่จ้าน “พี่สาม ช่างเถอะค่ะ ถ้าลั่วลั่วชอบก็ให้เธอไปเถอะ ยังไงซะของพวกนี้ก็ไม่ควรเป็นของหนูอยู่แล้ว”
แต่เขาทนเห็นฉู่หร่านรู้สึกผิดไม่ได้ “หร่านหร่านทำไมถึงพูดแบบนี้! เธอเป็นลูกสาวของตระกูลฉู่เสมอ เป็นองค์หญิงของตระกูลฉู่ ใครกล้ารังแกเธอ พี่สามจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอมปล่อยมันไว้”
เขาเงียบไปหนึ่งวินาที ก็จ้องฉู่ลั่วด้วยแววตาดุร้าย “รวมถึงเธอด้วย”
“ฉู่จ้าน!” ฉู่เหิงตำหนิเขาเสียงต่ำ
หากเป็นฉู่ลั่วเมื่อก่อน เธอคงร้องไห้ฟูมฟายและตะโกนถามด้วยความโกรธ
แต่หลังจากมีประสบการณ์ในการฝึกตนจากต่างโลก จิตใจของฉู่ลั่วก็สงบลงแล้ว
ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพ่อแม่ พี่น้องเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก และไม่สามารถคาดหวังกับมันได้
เธอถามกลับด้วยท่าทางสงบ “พี่จะบอกว่า ฉู่หร่านเป็นเจ้าหญิงของตระกูลฉู่ ส่วนฉันเป็นสาวใช้ของตระกูลฉู่อย่างนั้นเหรอ?”
ฉู่จ้านพูดไม่ออก “…”
ฉู่หร่านขอบตาแดงก่ำ “ลั่วลั่ว ทำไมเธอถึงพูดอย่างนั้น? คุณพ่อคุณแม่และพี่ชายรักเธอมากนะ”
ฉู่ลั่วไม่สนใจคำพูดแสนดีเหล่านั้น เธอจ้องไปที่พี่ชายสาม “ถ้าไม่ใช่ อย่างนั้นพี่ก็ควรเตือนฉู่หร่านด้วยนะ บอกเธอว่าอย่ารังแกฉัน”
“หร่านหร่านจะรังแกใครได้ ฉันรู้จักเธอดี” ฉู่จ้านโต้กลับ
“แล้วพี่รู้จักฉันดีเหรอ? พี่มีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าฉันจะรังแกเธอ” ฉู่ลั่วคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอกลับมาที่ตระกูลฉู่วันแรก
ตอนนั้นหัวใจเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากได้ความรักจากครอบครัว
แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความเย็นชาจากพ่อแม่ และคำเตือนจากพี่ชาย
“ฉันไม่ได้คาดหวังให้พวกพี่ปฏิบัติต่อฉันดีกว่าเธอ แต่ช่วยปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมไม่ได้เหรอ” ฉู่ลั่วหัวเราะเยาะ “ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าเอาคำว่าพี่ชายมาเป็นข้ออ้างสั่งสอนฉัน พี่ไม่คู่ควรกับคำนี้!”
ฉู่จ้าน “…”
ไม่คู่ควร สามคำนี้ไม่เพียงแค่ตบหน้าพี่ชายสาม แต่ยังทำให้สีหน้าของทุกคนในตระกูลฉู่ย่ำแย่ไปด้วย
ฉู่เหว่ยฮ่าวกระแอม “เอาละ เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ ๆ ต่อไปอย่าพูดแบบนี้อีก”
“ลั่วลั่ว พ่อกับแม่รู้ว่าลูกได้รับความยากลำบากมาก่อน และช่วงนี้ครอบครัวอาจจะละเลยลูกไปบ้าง แต่ลูกวางใจได้ ต่อไปถ้าหร่านหร่านมี ลูกต้องมี ถ้าลูกมี หร่านหร่านก็ต้องมีด้วย”
“พวกลูกสองคนเป็นลูกสาวที่รักของตระกูลฉู่ เป็นองค์หญิงน้อยของตระกูลฉู่ทั้งคู่”
ได้ยินแบบนั้น รูม่านตาของฉู่หร่านก็หดเล็กลง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ซ่งเชียนหย่ามองฉู่ลั่วด้วยความเอ็นดู อย่างไรก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเธอ จะไม่รักไม่เอ็นดูได้อย่างไร
เพียงแต่นิสัยของลูกสาวคนนี้ช่าง…
แม่ไม่รู้ว่าจะเข้าหาเธอได้อย่างไร
“ลั่วลั่ว เมื่อวานลูกบอกว่าไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย แม่กับพ่อปรึกษากันแล้ว และคิดว่าลูกควรได้เรียนหนังสือ มหาวิทยาลัยในประเทศคงไม่ได้แล้ว พวกเราเลยคิดจะส่งลูกไปเรียนที่เมืองนอก”
ไม่รอให้ฉู่ลั่วตอบ ฉู่เหว่ยฮ่าวก็พูดว่า “ถ้าไม่อยากเรียนก็ไม่เป็นไร ตระกูลฉู่เลี้ยงลูกได้ตลอดชีวิต แต่ไลฟ์สตรีมอันนั้นของลูก… ต่อไปอย่าทำอีก”
ฉู่ลั่วเงยหน้าขึ้น “ไลฟ์สตรีมเป็นงานของหนู”
“นั่นนับเป็นงานได้ด้วยเหรอ!” ฉู่จ้านลดเสียงให้เบาลงเมื่ออยู่ในสายตาของพ่อ
“ถ้าอยากทำงาน ครอบครัวเราช่วยจัดการให้ได้ ถ้าลูกอยากเข้าวงการบันเทิง ครอบครัวเราก็มีคอนเน็กชันด้านนี้อยู่เหมือนกัน” ฉู่เหว่ยฮ่าวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพูดคุยกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ที่ดี
พี่ชายรองฉู่จิงที่เงียบมาตลอดเอ่ยปาก พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เย็นชาแต่ก็ไม่ได้อบอุ่นว่า “ถ้าเธออยากเข้าวงการบันเทิงเหมือนหร่านหร่าน ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“แต่ไลฟ์สตรีมอันนั้นอย่าทำอีกเลย” ฉู่เหว่ยฮ่าวยังคงยืนยันเช่นนั้น
ขณะที่กำลังพูด คนรับใช้ก็เข้ามาบอกว่า “คุณผู้ชายคะ คุณซ่งกับคุณชายซ่งมาค่ะ”
ฉู่เหว่ยฮ่าวรีบลุกขึ้นยืน
ไม่นานซ่งอวิ๋นชิงกับลูกชายก็เข้ามาแล้ว
“เจ้าฉู่ ลั่วลั่วล่ะ? ลั่วลั่วอยู่ไหน?” ซ่งอวิ๋นชิงรีบร้อนถาม
ฉู่เหว่ยฮ่าวนึกสงสัยอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนว่าซ่งอวิ๋นชิงไม่ได้มาเพื่อกล่าวโทษ หรือมาเพื่อสั่งสอนฉู่ลั่วแต่อย่างใด
ในใจคิดเช่นนั้น แต่ใบหน้ากลับแย้มยิ้มออกมา “เจ้าซ่ง เด็กน้อยไม่รู้ประสา อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ ฉันเพิ่งอบรมลั่วลั่วไปเมื่อกี้ รับรองได้ว่าต่อไปเธอจะไม่ไลฟ์สตรีมอะไรนั่นอีกแล้ว”
ซ่งอวิ๋นชิงชะงักค้าง
“เจ้าฉู่ แกพูดอะไรน่ะ!” เมื่อเขาเห็นฉู่ลั่ว ดวงตาก็เป็นประกาย “ฉันชอบไลฟ์สตรีมของลั่วลั่วมาก เรื่องเล่าของเธอเต็มไปด้วยชีวิตชีวา อธิบายได้สมจริง ฉันชอบมาก!”
ฉู่เหว่ยฮ่าวนิ่งไป “…”