เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 0
SPIN-OFF บทนำ
แมม แมม
ในฤดูร้อนที่จั๊กจั่นส่งเสียงร้องระงม
               เครย์ลีบัน เพลเลส หัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย กำลังเดินไปตามโถงทางเดินกว้างของคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย
ชายเสื้อคลุมสะบัดพลิ้วทุกครั้งที่เรียวขายาวขยับก้าวเดิน เรือนผมสีทองและนัยน์ตาสีฟ้าเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
               เมื่อเห็นภาพดังกล่าว คนงานในคฤหาสน์ที่กำลังทำงานอยู่โดยรอบต่างก็เหม่อมอง
               ทว่าเครย์ลีบันกลับไม่ได้สัมผัสถึงสายตาเหล่านั้น เขาเพียงขยับฝีเท้าขณะจมอยู่กับความคิดบางอย่าง
               “จะมาพบท่านเจ้าตระกูลโดยไม่ได้นัดเอาไว้เนี่ยนะ ทำตัวราวกับพวกไร้การศึกษา…”
               พอนึกถึงแขกไม่ได้รับเชิญที่มาโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า หว่างคิ้วที่เรียบเฉยของเครย์ลีบันพลันมีรอยย่นปรากฏขึ้น
               “อืม ถึงเรื่องนี้จะเป็นไปตามความประสงค์ของท่านเจ้าตระกูลก็เถอะ”
               เคยแจ้งเอาไว้ว่าหาก ‘เขาผู้นั้น’ มาพบอย่างกะทันหันก็ห้ามขับไล่กลับไป
               “ท่านคงจะมีแผนอยู่แล้วละ”
เมื่อนึกถึงคนผู้นั้นที่เป็นดั่งแสงสว่างและเสาหลักของลอมบาร์เดีย ใบหน้าเครย์ลีบันก็มีรอยยิ้มในที่สุด
               เขากวาดสายตามองไปทั่วคฤหาสน์และนอกหน้าต่างโดยที่ไม่หยุดก้าวเท้า
               ความร้อนที่เพิ่มขึ้นถึงขีดสุดย่อมทำให้บางสถานที่ไม่เป็นระเบียบและเกิดความหละหลวมขึ้นได้ ทว่าในทุกที่ที่สายตาของเขาสอดส่องไปถึง กลับไม่มีส่วนใดเลยที่ขาดตกบกพร่อง
               แน่นอนว่ามันเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ แต่ในความเห็นส่วนตัวของเครย์ลีบัน เพลเลสนั้น ลอมบาร์เดียยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นตั้งแต่ราวๆ หนึ่งปีสามเดือนก่อน
               นั่นคือช่วงที่ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย ผู้เป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนปัจจุบันขึ้นสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูล
“พูดให้ชัดก็คือ 447 วันแล้ว” เครย์ลีบันพึมพำอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
               มันเป็นตัวเลขที่เขานับเพิ่มอย่างแม่นยำทุกวันยามที่ตื่นขึ้นตอนเช้า
               เป็นความจริงที่ในตอนแรกก็มีสายตากังขาทั้งจากนอกและในลอมบาร์เดียเกี่ยวกับเจ้าตระกูลคนใหม่อยู่บ้าง
               นั่นเพราะบุคคลที่ชื่อว่าฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียถือเป็นตัวเลือกที่ ‘ไม่ปกติ’ ในหลายๆ ด้านเอาเสียเลย
               ทว่าเจ้าตระกูลคนใหม่ของลอมบาร์เดียที่ได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นกลับส่งยิ้มที่มีความมั่นใจอันเป็นเอกลักษณ์มาให้ พลางกล่าวว่า
“เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็จะได้รู้กันเองแหละ ว่าเหตุใดข้าจึงได้เป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
               แล้วก็เป็นดั่งที่ว่าไว้ ความห่วงใยกลายเป็นเรื่องน่าขัน นางเริ่มกลายเป็นศูนย์กลางในฐานะเจ้าตระกูลอย่างรวดเร็ว
               ราวกับนางเป็นบุคคลที่เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแต่แรก
               นางแก้ไขปัญหาอันซับซ้อนโดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนรอบข้างได้อย่างช่ำชอง ในส่วนของการตัดสินใจที่ยุ่งยากก็ยังเลือกใช้เส้นทางที่ถูกต้องผ่านไปได้อยู่เสมอ
               ในที่สุดคนที่เคยเพ่งเล็งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนใหม่ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมาไม่เว้นแต่ละวัน
               ระยะเวลาหนึ่งปีสามเดือนดำเนินผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้น
               เป็นไปตามที่ฟีเรนเทียลั่นวาจาไว้ และเป็นไปตามการคาดการณ์ของเครย์ลีบัน
               บัดนี้ไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยหนทางก้าวเดินของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนใหม่อีก
               ทุกคนต่างก็เห็นว่าลอมบาร์เดียแข็งแกร่งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์ของตระกูล
               ความภาคภูมิใจในฐานะคนที่คอยดูแลเคียงข้างและเป็นลูกจ้างที่ใกล้ชิดที่สุดของบุคคลเช่นนั้น ทำให้เครย์ลีบันยืดไหล่ขึ้นโดยไม่รู้ตัว
               “อ้าว คุณเบ็ต”
               เครย์ลีบันเห็นเบ็ตที่เพิ่งเดินออกมาจากแกลลอรี่ของคฤหาสน์ จึงเดินเข้าไปหา
               “ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ คุณเครย์ลีบัน”
               เบ็ต หัวหน้ากิลด์ข้อมูล ยิ้มจนดวงตาสีอำพันลึกลับกลายเป็นเส้นโค้งพลางกล่าวทักทาย
               มันเป็นสิ่งที่เขาคิดมาโดยตลอด นั่นช่างเป็นรอยยิ้มที่หวานหยดย้อยจนทำให้นึกถึงคาราเมล เหมือนกับชื่อของร้านขนมหวานที่อีกฝ่ายเปิดกิจการอยู่จริงๆ
               “ท่านเจ้าตระกูลอยู่ด้านในครับ กำลังชื่นชมผลงานของอัลเพโอ้ จอห์นอยู่”
               “หมายถึงของที่ถูกนำมามอบให้ใหม่คราวนี้น่ะเหรอครับ”
               “ใช่ครับ ไม่รู้ว่าถูกใจมากหรือยังไง วันนี้ท่านเลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“ค่อยยังชั่วนะครับ”
               พอเครย์ลีบันนึกถึงคนที่กำลังรอท่านเจ้าตระกูลอยู่ในห้องทำงานของนางตอนนี้ เขาก็ส่ายศีรษะเบาๆ
“เข้าไปเถอะครับ”
“ครับ งั้นข้าขอตัว”
               ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับเจ้าตระกูลจนถึงขั้นได้รับตำแหน่งมือซ้ายและมือขวาของฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่เอ่ยถึงงานที่ได้รับมอบหมายแม้แต่พยางค์เดียว
               นั่นเพราะเรื่องที่พวกเขารู้ต่างก็เป็นเรื่องที่อ่อนไหวยิ่งนัก
               ตึก ตึก
               เสียงฝีเท้าของเครย์ลีบันดังสะท้อนขึ้นทันทีที่ก้าวเข้าไปในแกลลอรี่ที่มีเพดานสูงและเปิดโล่ง
               มันเป็นพื้นที่ที่งานศิลปะหายากทั้งปวงมารวมตัวกันประชันความงามในบริเวณที่ถูกปูด้วยหินอ่อนสีขาว
               ตรงส่วนที่กว้างและอยู่ลึกที่สุด มีผลงานของอัลเพโอ้ จอห์น ที่เบ็ตกล่าวถึงตั้งอยู่
               ชื่อของผลงานคือ ‘ต้นไม้โลก’
               มันเป็นประติมากรรมขนาดมหึมาที่เกิดจากการเชื่อมเศษชิ้นส่วนหลายชิ้นเข้าด้วยกัน โดยใช้ทักษะการแกะสลักไม้ที่เขาถนัด ขึ้นรูปเป็นต้นไม้โลกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลลอมบาร์เดีย
               เป็นผลงานศิลปะที่เขาไม่หยุดพักแม้แต่วันเดียวและอุทิศจิตวิญญาณในการสร้างยาวนานกว่าหนึ่งปี เพื่อแสดงความยินดีที่ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียผู้ยอมรับพรสวรรค์ของเขาตั้งแต่ยังเด็กได้ขึ้นเป็นเจ้าตระกูล
               เสาไม้ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ชายฉกรรจ์ถึงสามคนจับมือกันถึงจะโอบได้รอบ และกิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนที่แผ่ขยายออกมาทั่วทิศทางจากบนนั้นไม่ใช่แค่เพดานของแกลลอรี่นี้เท่านั้น แต่ผลงานชิ้นนี้ยังยิ่งใหญ่ประหนึ่งกำลังค้ำโลกไว้ทั้งใบ อีกทั้งยังดุดันราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียตอนนี้
               และที่ด้านล่างของผลงานนั้น คือบุคคลที่แข็งแกร่งจนไม่ถูกบรรยากาศที่แผ่ซ่านจากชิ้นงานประติมากรรมบดบัง
               ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย นางเหลียวมองมายังเครย์ลีบันพลางยกยิ้ม
               “รีบมาเร็วค่ะ เจ้าตระกูลเพลเลส”
***
               “เรียกแบบนั้นอีกแล้วนะครับ” เครย์ลีบันตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่เป็นตัวเอง “เรียกข้าเหมือนอย่างเมื่อก่อนเถอะครับ”
               “แต่ตอนนี้คุณเครย์ลีบันเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มการค้าของลอมบาร์เดียเลยนะคะ…”
               แม้ข้าจะเอ่ยออกไปอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ช่างเคร่งครัดในเรื่องแปลกๆ เสียจริง
               “เข้าใจแล้วค่ะ เครย์ลีบัน”
               “ท่านเจ้าตระกูล ไม่ต้องใช้คำพูดสุภาพ…”
               “นี่ข้าก็เรียกแค่ชื่อเครย์ลีบันแล้ว ต้องใช้คำพูดเป็นกันเองขนาดไหนงั้นเหรอ ข้าทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาดค่ะ”
               คราวนี้เป็นข้าที่ส่ายหน้าอย่างหนักแน่นแทน
               ทันใดนั้นเครย์ลีบันก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างไร้ทางเลือก
               ข้าส่งยิ้มให้เครย์ลีบันที่เป็นเช่นนั้น ก่อนจะหันศีรษะกลับไปชื่นชมประติมากรรมต้นไม้โลกอีกครั้ง
               มันให้ความรู้สึกเหมือนข้าเป็นมนุษย์ผู้โชคดีที่ได้พบเห็นต้นไม้โลกที่มีอยู่เพียงในตำนาน
               หลังจากที่ข้ายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เครย์ลีบันก็เอ่ยเรียกเสียงเบาขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“ท่านเจ้าตระกูลครับ”
“พูดมาได้เลยค่ะ”
               “ขอโทษที่ต้องรบกวนเวลาชื่นชมประติมากรรม แต่ตอนนี้ชานตั้น เซอเชาว์กำลังรอท่านอยู่ที่ห้องทำงานครับ”
               น้ำเสียงของเครย์ลีบันที่เอ่ยชื่อตระกูลเซอเชาว์ ผู้ปกครองเขตแดนทางใต้กระด้างพอสมควร เขาคงจะไม่พอใจมากทีเดียว
               ทว่าข้าไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเมื่อได้ยินดังนั้น
               เมื่อถึงเวลามา มันก็ต้องมา
               ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายที่เร่งด่วนก็คือฝ่ายนั้น ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย
               แทนที่จะตอบกลับไป ข้ากลับเอื้อมมือออกไปสัมผัสผิวไม้อันแข็งแรงของต้นไม้โลกแทน
               แม้เดิมทีจะมีคำกล่าวว่าผลงานศิลปะคือการชื่นชมมันด้วยตาเท่านั้น แต่อัลเพโอ้ จอห์นบอกว่าเขาได้คำนึงถึงผิวสัมผัสของประติมากรรมต้นไม้โลกต้นนี้ขณะรังสรรค์มันขึ้นมาด้วย
เพื่อข้าเพียงผู้เดียว
               “เครย์ลีบัน”
               “ครับ ท่านเจ้าตระกูล”
               “คิดว่าถ้ากิ่งก้านของต้นโม้โลกต้นนี้ไม่ได้แผ่ขยายอย่างเช่นตอนนี้จะเป็นยังไง?”
“…ครับ?”
               “ถ้าไม่มีดอกไม้ของต้นไม้โลกที่เบ่งบานอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่สิ ถ้ารูปปั้นแกะสลักนี้เล็กลงกว่านี้อีกหน่อยล่ะ”
               ข้ายิ้มพลางสบนัยน์ตาสีฟ้าของเครย์ลีบันที่จ้องมาเพื่ออ่านความในใจของข้าตรงๆ
               “ไม่คิดว่ามันก็ยังจะเป็นประติมากรรมที่วิเศษเช่นนี้อยู่เหรอคะ”
               เหมือนกับประติมากรรมที่ข้าเคยเห็นเมื่อชาติก่อน
               ด้วยความช่วยเหลือของข้า อัลเพโอ้ จอห์นจึงได้เริ่มแกะสลักอย่างจริงจังในช่วงอายุที่เด็กกว่าชาติก่อนมาก
               อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากลอมบาร์เดียด้วย
               เมื่ออัจฉริยะได้รับการติดปีก อัลเพโอ้ จอห์นจึงประสบความสำเร็จเร็วขึ้นและมีชื่อเสียงมากขึ้นเช่นกัน
               เขายังเคยมอบไม้แกะสลักชิ้นหนึ่งให้ตระกูลลอมบาร์เดียมาก่อนหน้านี้ด้วย
               นั่นคือ ‘หญิงสาวผู้ดูแลต้นกล้า’ ได้ถูกจัดแสดงเป็นครั้งแรกในงานพบปะนักเรียนทุนลอมบาร์เดียซึ่งจัดขึ้นเพื่อแอบพาเจ้าตระกูลบราวน์เข้ามาอย่างลับๆ
               ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันจะจบลงด้วยสิ่งนั้นเสียแล้ว
               ทว่าท้ายที่สุดอัลเพโอ้ จอห์นก็ได้รังสรรค์ ‘ต้นไม้โลก’ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของตนขึ้น และมอบมันให้ข้าผู้เป็นเจ้าตระกูลคนใหม่
               ราวกับการถือกำเนิดของผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้คือชะตาชีวิตของตนเอง
               “สิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือ อะไรจะเกิด ยังไงก็ต้องเกิดค่ะ”
               แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไปอยู่
               ‘ต้นไม้โลก’ ต้นนี้ต่างกับของที่เคยเห็นในชาติก่อนอยู่บ้าง
               มันถูกเพิ่มดอกไม้ที่ไม่มีในชาติก่อนเข้ามา และกิ่งก้านก็แผ่สาขาออกมาอย่างมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม
               เหนือสิ่งอื่นใด ขนาดของมันยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก
               “แต่ท้ายที่สุด วิธีการหลบหนีโชคชะตาและวิธีการจัดการกับโชคชะตาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเช่นกันค่ะ”
               เหมือนกับอัลเพโอ้ จอห์นที่ให้กำเนิด ‘ต้นไม้โลก’ ที่งดงามกว่าเดิมด้วยทักษะความสามารถที่โดดเด่นกว่าในชาติก่อน
               จากนั้นข้าก็ตบไหล่ของเครย์ลีบันเบาๆ ด้วยความสนิทสนมพลางกล่าวว่า “มีแขกรออยู่ใช่ไหมคะ? ไปกันเถอะค่ะ”
               ต่อให้นึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเคยขัดขวางข้ามาตลอดแล้วอยากจะปล่อยให้รอต่อไปก็เถอะ
               ข้าเดินจากแกลอรี่ไปจนถึงห้องทำงานของตัวเองอย่างเชื่องช้าด้วยความรู้สึกเช่นนั้น ทั้งยังจงใจหยุดชมดอกไม้ระหว่างทาง และยังสนทนากับเจ้าตระกูลเฮย์ลิ่ง เจ้าขององค์กรนักเรียนทุนที่เดินผ่านมาพอดีด้วย
               ในตอนที่ข้าก้าวเข้าไปในห้องทำงานนั่นเอง
               “เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย” ชานตั้น เซอเชาว์ที่นั่งอยู่ลุกขึ้นและเอ่ยเรียกข้า
               แม้เขาจะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากนัก แต่ท่าทางในวันนี้กลับดูเคร่งขรึมกว่าปกติ จนดูเหมือนกับคนที่เต็มไปด้วยความโกรธ
               อย่างไรก็ตาม ข้าทราบดีว่าภายใต้หน้ากากใบหน้าไร้อารมณ์อันหนาเตอะนั้นแฝงไปด้วยความกระวนกระวายใจ
               ข้ายืนนิ่งโดยไม่กล่าวอะไรออกไปชั่วครู่ และพินิจใบหน้าของชานตั้น เซอเชาว์ผู้นั้น
               จนในที่สุดชานตั้น เซอเชาว์ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป และถามออกมา
               “ข้อความที่เขียนมาในจดหมาย…เป็นเรื่องจริงเหรอครับ?”
               ใช่แล้ว ควรจะพูดแบบนั้นออกมาตั้งนานแล้วสิ
               ข้ายิ้มให้ชานตั้น เซอเชาว์พลางกล่าวอย่างยินดี
               “ได้พบกันในรอบหนึ่งเดือนเลยนะคะ เจ้าตระกูลเซอเชาว์”
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		