เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 12
SPIN-OFF บทที่ 12
ให้ตายเถอะ
               ข้าชะงักกึกทันที
               หนีไปทั้งอย่างนี้เลยดีไหม?
               แต่ทำแบบนั้นต้องถูกจับได้ทันทีแน่
               มีวิธีอื่นอีกไหมนะ?
               แม้จะตกอยู่ท่ามกลางความโกลาหลที่ไม่ทันคาดคิด แต่ความคิดต่างๆ ก็ยังแวบผ่านขึ้นมาในสมองอย่างรวดเร็ว
               “เฮ้ย ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง?”
               เมื่อเห็นข้าไม่มีการตอบสนองใด ทหารของเซอเชาว์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้ายขึ้นอีกระดับหนึ่ง
               ช่วยไม่ได้นี่นะ
               ข้าเงยหน้ามองไปยังทหารเหล่านั้นพลางเอ่ยถาม
               “มีอะไรอย่างนั้นเหรอคะ”
               “ช่วยถอดฮู้ดสักประเดี๋ยว มีเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องตรวจสอบ”
               “…ได้เลยค่ะ”
               ข้าพยักหน้าลงอย่างว่าง่าย แล้วถอดฮู้ดที่คลุมอยู่อย่างมิดชิดออก
               “เสร็จหรือยังคะ?” เมื่อถูกตรวจค้นหรือสืบสวน เรายิ่งควรก้าวออกไปอย่างผ่าเผยมากขึ้น
               “โอ้” ทหารคนหนึ่งในนั้นขยับเข้ามาหา แล้วสังเกตทุกซอกทุกมุมบนใบหน้าของข้าอย่างละเอียด
               แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พวกเขาถึงไม่ได้เทียบใบหน้าของข้ากับของที่อยู่ในมือเหมือนอย่างทหารคนอื่นที่เห็นเมื่อครู่ก่อน
               ราวกับคิดว่าข้าไม่ใช่เป้าหมายที่พวกเขาตามหาแต่แรกอยู่แล้ว
               ขณะที่ข้าเริ่มไม่สบอารมณ์เพราะสายตาที่เปิดเผยขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
               “ไปได้แล้วละ” ทหารอีกคนเอ่ยราวกับเตือนกับทหารคนนั้น
               แต่ทหารที่กำลังมองข้าอยู่กลับยิ้มแล้วพูดติดตลกราวกับสนุกนักหนา
               “ทำไมล่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ถือโอกาสนี้ดูอาหารตาสักหน่อยไง?”
               ไอ้เวรนี่
               “แต่ก็ มั่นใจได้แล้วละว่าไม่ใช่” ในตอนที่ทหารคนที่ฉีกยิ้มที่ชวนให้เสียอารมณ์กำลังจะหมุนตัวกลับไปนั่นเอง
               “คือ ข้าขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมคะ”
               คิดจะไปไหน ในเมื่อทำให้ข้าเสียอารมณ์แล้ว ก็ควรพ่นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกมาก่อนไปบ้างสิ
               พอได้ยินข้าเอ่ยรั้งตนไว้ ทหารคนนั้นก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นราวกับคาดไม่ถึง
               “อะไรเหรอ?”
               “ไม่ทราบว่าที่อาคาเดียร์เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ พอดีข้ามาเที่ยวแต่บรรยากาศมันดูวุ่นวายเหลือเกิน…”
               ข้าแสร้งทำเป็นหวาดกลัวอย่างเต็มที่และพูดต่อไปว่า
               “ถ้าหากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ข้าจะได้ออกเดินทางไปเมืองถัดไปทันทีน่ะค่ะ”
               “อ๋า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ทหารโบกมือข้างหนึ่งขณะเอ่ยตอบ
               “ก็แค่มีข่าวว่าบุคคลที่ถูกตามจับอยู่เดินทางเข้ามาในเขตแดนเซอเชาว์ พวกเรากำลังตามหาเขาอยู่น่ะ”
               “ตามจับ…เหรอคะ?”
               หรือว่ากำลังตามหาข้าอยู่?
               แม้จะนึกสงสัยว่าการระดมกระทั่งทหารมาเพื่อตามหาข้าคนเดียวเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นเกินไปหน่อยหรือไม่ แต่หากเป็นชานตั้น เซอเชาว์ละก็ มันก็เป็นเรื่องที่พอจะเป็นไปได้
               ข้าทำสีหน้าเป็นกังวลใจและถามออกไปเพื่อสืบข้อมูลให้มากขึ้น
               “คงไม่ใช่คนที่กระทำความผิดอย่างเหี้ยมโหด…”
               “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ไม่สิ ถ้าเหี้ยมโหด ก็ถือว่าเป็นคนเหี้ยมโหดอยู่นะ? ที่จริง…”
               “เฮ้ย ก็บอกให้ไปได้แล้วไง?” ทหารอีกคนที่ยังพอมีสติอยู่กับตัวนิ่วหน้าพลางเอ่ยตัดบทสนทนา
               ชิ น่าเสียดาย
               “ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนักหรอก เที่ยวให้สนุกนะ พวกเราไปก่อนละ”
               หลังจากทหารทั้งสองโยกย้ายไปตรงอื่น ข้าที่เหลือตัวคนเดียวก็เริ่มครุ่นคิดอยู่บนม้านั่ง
               “คงไม่ใช่ว่าสังเกตได้ว่าข้ากับเฟเรสไม่อยู่ที่ลอมบาร์เดียหรอกนะ”
               ไม่หรอกน่า
               แต่เจ้าหมีดำที่แสนฉลาดนั่นหูตาว่องไวมาก เพราะงั้นจะยังมั่นใจอะไรไม่ได้หรอก
               ถ้าไม่ใช่ข้า งั้นคนที่ทำให้ถึงกับต้องระดมกำลังทหารเหล่านั้นมาตามหาคือใครกันแน่
               แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้เลย
               เพราะการไปพบผู้ที่เกี่ยวข้องกับร้านค้าเพลเลสหรือกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียที่นี่ เป็นการกระทำที่อาจทำให้ตัวตนถูกเปิดเผยออกไปได้
               สำหรับในตอนนี้ ข้าก็ได้แต่หวังว่าตนเองจะไม่ใช่คนที่พวกเขากำลังตามหาเท่านั้น
               “ให้ตายเถอะ มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอครับ!”
               ข้าหันไปยังทิศทางของเสียงที่ระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน
               เป็นด่านตรวจที่มีคนจำนวนมากกำลังยืนต่อแถวกันอยู่
               “ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงสั่งให้ระงับการตรวจค้นร้านค้าเพลเลสของพวกเราโดยพลการแล้วชัดๆ! แต่เจ้ากลับยังตรวจค้นอย่างละเอียดอยู่อีก นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ครับ!”
               ตอนนี้ดูแล้วจึงพบว่าบนเสื้อของคนที่กำลังตะเบ็งเสียงโต้แย้ง มีสัญลักษณ์ของร้านค้าเพลเลสปักอยู่
               “ก็แค่ดำเนินการตรวจค้นแบบเดียวกับที่ตรวจคนอื่น เจ้าจะพูดอะไรนักหนา?”
               “เจ้าสาบานได้ไหมล่ะว่ากลุ่มการค้าอื่นก็ถูกตรวจค้นครั้งละสองสามรอบ และทุกครั้งที่ทำแบบนั้นยังต้องรอต่อไปอีกหลายวันอย่างพวกเรา?”
               “เหอะเหอะ ให้ตายเถอะ…”
               การโต้แย้งของทหารประจำด่านตรวจกับคนที่ดูเหมือนเป็นผู้รับผิดชอบร้านค้าเพลเลสยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน
               และขณะที่มองดูการถกเถียงนั้น ข้าก็ค่อยๆ กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง
               ข้าไม่ได้มาเที่ยวเล่น
               สาเหตุที่ข้าเดินทางออกจากลอมบาร์เดียอย่างลับๆ ก็เพื่อขัดขวางการก่อสร้างที่จะทำให้ความกว้างของแม่น้ำในเขตแดนทามัลแคบลง ซึ่งชานตั้น เซอเชาว์กำลังดำเนินการอยู่
               แต่ข้ากลับลืมสาเหตุนั้นไปชั่วครู่หนึ่งเสียได้
               สมองที่ร้อนรุ่มไปด้วยเรื่องของเฟเรสค่อยๆ เยือกเย็นลง
               ความหึงหวงแบบเด็กๆ ที่เคยทำให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก็ถูกผลักออกไปไว้ด้านข้าง
               “กลับไปทำงานดีกว่า” ข้าพึมพำขณะลุกขึ้นจากที่นั่ง
               และก่อนที่จะหันหลังกลับ ข้าก็ไม่ลืมจดจำภาพที่ทำให้คนจากร้านค้าเพลเลสต้องโกรธเกรี้ยวไว้ในสายตา
               “ยินดีต้อนรับสู่เชซายูครับ”
               ทหารที่สวมเสื้อผ้าสีสดใสกว่าที่อาคาเดียร์เล็กน้อยยื่นบัตรประจำตัวคืนให้พลางยกยิ้ม
               “บรรยากาศต่างกับเขตแดนเซอเชาว์ลิบลับเลยนะ”
               เฟเรสกล่าวขึ้นราวกับอ่านความคิดของข้าออก
               “นั่นสิ ต่างกันมากจริงๆ” สิ้นสุดการเดินทางตลอดหลายวัน ในที่สุดรถม้าที่พวกเราโดยสารก็มาถึงเชซายู
               “ไม่มีเวลาพอให้เดินดูได้ทุกซอกทุกมุม เราไปชมทิวทัศน์กันหน่อยดีไหม”
               แทนที่จะมุ่งหน้าไปยังท่าเรือทันที พวกเราเลือกหยุดรถม้าบนเนินเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง
               “มามา มาซื้อถ่านหินจากไอบันที่หาซื้อไม่ได้ในช่วงนี้กันเร็ว!”
               “มีอาหารทะเลที่ขึ้นเรือเร็วจากตะวันออกเพิ่งมาถึงเมื่อกี้เลยจ้า!”
               เสียงร้องเรียกลูกค้าอย่างมีชีวิตชีวาของพ่อค้าแม่ค้าดังขึ้นมาจนถึงบนเนินเขา
               “ถึงแม้จำนวนสินค้าจะน้อยลงเพราะความโลภของเซอเชาว์ แต่ดูเหมือนตลาดจะยังคึกคักเหมือนเดิมนะเนี่ย โล่งอกไปที”
               ข้ากล่าวขึ้นอย่างโล่งใจ
               พ่อค้าแม่ค้าของเชซายูไม่ได้ดูเงียบเหงาเหมือนอย่างคนในอาคาเดียร์เมื่อครู่ก่อน
               ไม่ใช่เพียงแค่นั้น “เห็นโกดังใหญ่ๆ ตรงนั้นไหม? เดิมทีมันเคยเป็นที่นาหมดเลยนะ”
               “อือ เหมือนจะจำได้ เจริญขึ้นกว่าคราวก่อนที่มามากเลยนะ เชซายูน่ะ”
               “ใช่ไหม? เจ้าเองก็คิดอย่างนั้นสินะ?” ข้าหลุดยิ้มออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว
               หลังจากท่านพ่อกลายเป็นเจ้าเมือง และหลังจากเริ่มทำการค้ากับภาคตะวันออก เชซายูก็กำลังเติบโตขึ้นจนต่างจากเดิมไปทุกวัน
               ใครจะจินตนาการได้ว่าเมืองขนาดใหญ่แห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันเนืองแน่นไปด้วยผู้คนในทุกตรอกทุกซอย ครั้งหนึ่งเคยเป็นเขตแดนยากจนที่ผู้คนต้องใช้ชีวิตอย่างอดอยากเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้
               “ลือไปกันทั่วว่าลอร์ดแคลอฮันเป็นเจ้าเมืองที่มีความสามารถมาก”
               เฟเรสกล่าวกับข้าที่กำลังยิ้มด้วยความปลื้มใจ
               “แต่เชซายูที่ได้มาเห็นด้วยตนเองนี้ ทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงความรักความเอาใจใส่ในเขตแดนของลอร์ดแคลอฮันเลย”
               ข้าเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของเฟเรสอย่างเต็มที่
               ท่านพ่อปรารถนาว่าเชซายูจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างลอมบาร์เดีย
               ปรารถนาว่าที่นี่จะเป็นถิ่นฐานที่ตั้งซึ่งคนในเขตแดนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจโดยไม่ขึ้นอยู่กับว่าเป็นปีที่ผลผลิตตกต่ำหรือปีที่ผลผลิตอุดมสมบูรณ์
               ดังนั้นจึงเปิดท่าเรือ ลดภาษี และช่วยสะท้อนความทุกข์ใจของพลเมืองที่วิ่งเต้นสอบถามมาด้วยตนเองออกมาผ่านการบริหารเขตแดน
               นั่นนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงถึงในระดับนี้ด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
               “ตอนนี้เราไปท่าเรือกันเลยดีไหม?”
               เฟเรสยื่นมือมาหาข้าพลางเอ่ยถาม
               “ได้สิ เราต้องขึ้นเรือก่อนจะมืดนี่นะ”
               พวกเราจับมือกัน และค่อยๆ มุ่งหน้าไปที่รถม้า
               ระหว่างนั้นเอง ข้าก็หลุดพูดความคิดที่แวบขึ้นมาออกจากปาก
               “ข้าหวังว่าเชซายูจะเป็นดินแดนที่ดียิ่งกว่านี้ในตอนที่ลูกของพวกเรามารับช่วงต่อสักวันหนึ่ง”
               ตึก
               “เอ๋ เฟเรส เป็นไรไหม?”
               “…อือ”
               เฟเรสที่เดินอยู่ดีๆ ก็สะดุดขาข้าจนเกือบหกล้ม เอ่ยตอบกลับอย่างล่าช้าด้วยเสียงทุ้มต่ำ
               จากนั้นก็จ้องมาที่ข้าด้วยนัยน์ตาสั่นไหวและปากที่ปิดแน่นสนิท
               “มองอะไรขนาดนั้น ไม่ใช่เรื่องแน่นอนอยู่แล้วเหรอ?”
               “จู่ๆ พูดแบบนั้นออกมา ข้าตกใจนะเทีย”
               ถึงอย่างไงข้าก็ขี้อายนะ!
               “ข้าก็แค่พูดเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วเองนะ?”
               ข้ากล่าวอย่างหนักแน่นมากขึ้น
               “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกไปแล้วนี่นา อย่างน้อยเราต้องมีสักสามคน”
               “เฮ้อ” เฟเรสเริ่มลูบหน้าตนเอง
               อย่างไรก็ตาม ข้าพูดต่อไป
               “ตระกูลลอมบาร์เดีย อาณาจักรแลมบลู และที่นี่ เชซายู พวกเรามีสิ่งที่ต้องส่งต่อตั้งเยอะนะ”
               “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ”
               “ดังนั้น พวกเรามาสู้กันเถอะ เฟเรส”
               “สู้…”
               เฟเรสที่ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากและพยักหน้าลงอย่างยากลำบากดูเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด
ข้าตบหลังของเขาเสียงดังแล้วยิ้ม
               “เจ้า คงไม่ใช่ว่าหมดแรงแล้วหรอกนะ? ถึงได้เป็นแบบนี้ อดทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวขึ้นเรือก็ได้พักให้เต็มที่แล้ว”
               “….ขึ้นเรือสำราญแล้วน่าจะไม่ได้นอนยิ่งกว่าเดิมอีก”
               “หือ? ว่าไงนะ?”
               “ไม่มีอะไร” เฟเรสส่ายหัว แล้วยิ้มอย่างคลุมเครือ
               จากนั้นก็บีบมือข้าแน่นขึ้นพลางกล่าวว่า
               “คราวหน้าไว้เรามาเที่ยวจริงๆ กันเถอะเทีย”
               “เที่ยว?”
               “ตอนนั้นข้าจะค่อยๆ พาเจ้าเดินทางท่องเที่ยวให้สมกับเป็นการท่องเที่ยวเอง มีสถานที่อีกมากที่ข้าอยากพาเจ้าไป”
               เฟเรสที่กล่าวเช่นนั้นมองดูคล้ายกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
               “ไปดูสถานที่อีกหลายที่ ไปตรวจสอบกันว่าข้าเป็นเจ้าของอาณาจักรที่ยอดเยี่ยมเทียบเท่าลอร์ดแคลอฮันได้หรือไม่”
               เขาใช้คำพูดราวกับเด็กน้อยที่อยากได้รับคำชมหลังจากตั้งใจทำการบ้าน
               ข้าแหงนหน้ามองเฟเรสที่เป็นเช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนลูบหัวเขาอย่างช้าๆ
               “เจ้าเป็นจักรพรรดิที่ดีแล้ว ต่อให้ไม่ตระเวนไปทั่วอาณาจักรข้าก็รู้ดีที่สุด”
“…” เฟเรสไม่ได้ตอบกลับอะไรกลับมาทั้งสิ้น
               ทำเพียงปล่อยให้ข้าลูบหัวนิ่งๆ ราวกับสัตว์ร้ายแสนเชื่อง
               ถ้าเกาคางให้คงจะหงุดหงิดสินะ
               ข้าข่มความปรารถนาที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหันลงไปอย่างถึงที่สุดแล้วกล่าวว่า
               “เอาละ ไปกันเถอะ ขึ้นเรือสำราญกัน”
               “ยังพอมีเวลา ไม่ต้องรีบก็ได้เทีย”
               รถม้าที่พวกเราโดยสารอีกครั้งมุ่งหน้าสู่ท่าเรือทันที
               ถึงแม้เฟเรสจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องรีบ แต่ถึงยังไงข้าก็ไม่แน่ใจว่าขั้นตอนของผู้โดยสารห้องธรรมดาที่ไม่ใช่ห้องระดับสูงต้องใช้เวลานานเท่าไรนี่นะ
               และตอนที่ข้ายื่นตั๋ว ‘ห้องธรรมดา’ ให้ลูกเรือของเรือสำราญหลังจากมาถึงท่าเรืออย่างเร่งรีบนั้น
               “ยินดีด้วยที่ถูกรางวัลอีเว้นท์ค่ะ! คุณได้รับตั๋วเข้าพักห้องพิเศษบนเรือสำราญของพวกเรา!”
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		