เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 15
SPIN-OFF บทที่ 15
“ตะ ตรวจค้น?”
               ความโกลาหลระหว่างผู้คนกระจายออกไปราวกับเปลวเพลิงที่ลุกลามในป่าแห้งทันที
               “ยังไม่รีบหยุดเรืออีกหรือ!”
               เสียงตวาดของทหารที่ดังกึกก้องเหนือผืนน้ำอันเงียบสงบทำให้บรรยากาศบนดาดฟ้าพลันชะงักราวกับเป็นน้ำแข็ง
               เหลือเพียงคบเพลิงที่จุดอยู่บนเรือรบเซอเชาว์ที่ยังลุกไหม้อย่างรุนแรงเท่านั้น
               “ทุกคนทอดสมอเรือ!”
               “เตรียมบันได!”
               ดูเหมือนการปรากฏขึ้นของเรือรบเซอเชาว์ก็เป็นเรื่องที่ลูกเรือของเรือสำราญไม่เคยคาดคิดมาก่อน
               ดูจากการกระทำของพวกเขาที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่บนดาดฟ้าอย่างตื่นตระหนก
               แม้ในระหว่างนั้นเรือสำราญจะค่อยๆ ชะลอความเร็วลง แต่เรือรบก็ยังขยับเข้ามาประชิดเรืออย่างคุกคามราวกับไม่อาจรอแม้เพียงชั่วขณะนั้นได้
               “อ๊ะ แบบนั้นไม่อันตรายเหรอ?”
               “เป็นแบบนี้เดี๋ยวก็ชนกันหรอก!”
               ผู้คนต่างก็ตะโกนออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด
               หนำซ้ำขนาดของแม่น้ำที่กว้างจนชวนให้สงสัยว่าใช่ทะเลขนาดย่อมหรือเปล่าจนถึงเมื่อครู่ก่อน ก็กำลังแคบลงเรื่อยๆ
               แม่น้ำที่อยู่ภายในอาณาเขตของตระกูลเซอเชาว์กำลังแคบลง
               เพราะข้อมูลอันคุ้นเคย ทำให้ชื่อของเขตแดนหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในสมอง
               “ที่นี่…คือทามัลนี่เอง”
               เป็นสถานที่ที่ในช่วงนี้ชานตั้น เซอเชาว์เริ่มทำการก่อสร้างเพื่อลดขนาดความกว้างของแม่น้ำลงอย่างจริงจัง หลังจากล้มเหลวในการพยายามเปิดท่าเรือ
               แน่นอนว่าจุดประสงค์คือเพื่อเพิ่มอิทธิพลของเซอเชาว์ต่อการค้าทางภาคตะวันออกที่ลอมบาร์เดียยึดครองอยู่
               “อ้าก!”
               “กรี๊ด!”
               สุดท้ายเรือสำราญก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องชะลอความเร็วอย่างเร่งด่วนจนโคลงเคลงไปช่วงหนึ่ง เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของผู้โดยสารดังขึ้นทั่วทั้งเรือ
               แต่ทหารของเซอเชาว์ซึ่งเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ กลับไม่มีแม้แต่สีหน้ารู้สึกผิด
               ทำเพียงขยับเรือรบเข้าใกล้เรือสำราญแล้วคล้องเชือก จากนั้นกระโดดพรวดพราดขึ้นไปบนดาดฟ้าทีละคนตามคำสั่งของทหารที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ
               จากนั้น ทหารที่ดูเหมือนเป็นผู้รับผิดชอบที่กระโดดขึ้นไปเป็นคนสุดท้ายก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง
               “จากนี้ไปจะเริ่มตรวจค้น ทุกคนจงให้ความร่วมมือ! ผู้ที่ขัดขวางหรือไม่ให้ความร่วมมือจะถือว่าเป็นการต่อต้านเจ้าตระกูลเซอเชาว์!”
               อย่างกับพวกอันธพาล
               ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน
การสั่งให้เรือท่องเที่ยวที่แล่นผ่านหยุดลงแล้วตรวจค้นอย่างกะทันหันโดยไม่ขออนุญาตก่อนเนี่ยนะ
               หากแม่น้ำของเขตแดนทามัลแคบลงตามจุดมุ่งหมายของชานตั้น เซอเชาว์และเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นทุกครั้งละก็ เห็นได้ชัดว่ากิจการล่องเรือสำราญจะต้องได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
               “นี่มัน ให้ตายเถอะ…”
               “ดื้อดึงอะไรเพียงนี้!”
               แม้ชนชั้นสูงรอบข้างจะส่งเสียงที่แฝงความไม่พอใจออกมา แต่ก็ทำได้แค่นั้น
               เป็นเรื่องชัดเจนว่าได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม แต่บรรยากาศของทหารจากเซอเชาว์เลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง ทำให้พวกเขาเองก็หวาดกลัวที่จะก้าวออกไปต่อต้าน
               “ลาริต้า เจ้ามาอยู่ด้านหลังข้าสักพักเถอะ”
               เฟเรสเอ่ยเรียกข้าด้วยชื่อปลอมแล้วดึงข้าไปแอบไว้ด้านหลังตนเอง
               ในเวลาเดียวกันนั้น ข้าเห็นเขาเอื้อมมือไปแตะที่ขอบเอวด้วยความเคยชิน ก่อนจะมีท่าทีเคร่งขรึมลงทันที
               เพราะเขาวางดาบที่มักจะพกติดตัวอยู่เสมอไว้ที่ห้องพักก่อนออกมา
               ข้ากวาดตามองไปรอบๆ โดยที่ยืนอยู่ด้านหลังเฟเรส
               ยิ่งการตรวจค้นบัตรประจำตัวดำเนินไปทีละคนมากเท่าไร บรรยากาศยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ
               แต่น่าแปลกที่ข้าไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือกังวลใจเลย
               มันไม่ใช่ความสบายใจที่ไร้สาเหตุ
               ฐานะปลอมที่ไวโอเล็ตหามาให้ไม่มีทางถูกจับได้ง่ายๆ เช่นนี้หรอก
               และต่อให้พวกเราคือผู้ต้องหาที่พวกเขากล่าวถึง หรือฐานะที่แท้จริงถูกค้นพบโดยบังเอิญ
               ‘คนพวกนั้นจะทำอะไรได้ล่ะ’
               เพราะตอนนี้ ต่อให้จะเป็นแค่การสัมผัสเพียงปลายนิ้วของเฟเรส นั่นก็นับว่าเป็นกบฏแล้ว
               จริงอยู่ที่อาจจะผิดแผนของข้าที่ตั้งใจจะเดินทางไปภาคตะวันออกอย่างลับๆ แต่มันก็แค่นั้น
               ยิ่งไปกว่านั้น
               ‘เฟเรสก็กำลังปกป้องข้าอยู่นี่’
               แผ่นหลังกว้างกำลังบังข้าจากสายตาของทหารเหล่านั้นอยู่
               ทั้งที่เป็นเพียงแค่ด้านหลังของคนคนหนึ่ง แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังซ่อนตัวอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
               ข้าคิดอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์และเผลอคว้าชายเสื้อของเฟเรสเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจไปแบบไหน
               เฟเรสถึงได้ยื่นมือข้างหนึ่งมาด้านหลังและจับมือของข้าเอาไว้แน่น
               แทนการบอกปัดและดึงมือออก ข้าชะเง้อศีรษะออกไปทำความเข้าใจกับสถานการณ์บนดาดฟ้า
               ด้านหลังเหล่าทหารที่กระจายตัวกันตรวจสอบบัตรประจำตัวด้วยสายตาเคร่งครัด ข้ามองเห็นกลุ่มคนประมาณยี่สิบคนที่แยกตัวออกไปต่างหาก และกำลังเดินกรูกันไปยังตู้เก็บสัมภาระที่อยู่ด้านล่าง
               แปลกจัง
               ถึงกับค้นตู้เก็บสัมภาระเลยเหรอ?
               นี่คิดว่าพวกเรากำลังลักลอบเข้าเมืองหรือไง?
               ขณะที่กำลังเอียงคอเพราะเกิดสงสัยขึ้นมานั่นเอง
               “อ่า ข้าบอกแล้วไงว่าจะกลับห้องพักไปเอาบัตรประจำตัว!”
               ชายคนหนึ่งที่อยู่แถวนั้นตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
               สายตาของทุกคน รวมทั้งข้าและเฟเรสเบนไปทางนั้นโดยธรรมชาติ
               ดูเหมือนการที่ใบหน้าของชายหนุ่มแดงก่ำจะไม่ได้เป็นเพราะความกังวลใจจากการถูกตรวจค้น
               เป็นเพราะความเมาที่ทำให้เขากำลังประจันหน้ากับทหารของเซอเชาว์อยู่
               แต่ทว่าความกล้านั้นก็อยู่ได้ไม่นานนัก
               “งั้นข้าจะไปเดินไปเป็นเพื่อนถึงห้องพักเอง”
               ทหารของเซอเชาว์กล่าวขณะวางมือบนด้ามดาบที่ห้อยอยู่ตรงเอว
               “ดะ ได้ครับ เชิญ”
               ชายหนุ่มกลืนน้ำลายดังเอื๊อก และตอบกลับด้วยใบหน้าที่สร่างเมาในพริบตา
               แต่ไม่มีใครเลยที่หัวเราะเยาะชายผู้นั้น
               เพราะต่อหน้าทหารจำนวนมากที่มีทีท่าราวกับจะชักดาบออกมาทันทีหากทำผิดเพียงเล็กน้อย ก็มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่ยังสามารถมีแรงใจและยังผ่าเผยได้
               จากนั้นก็ถึงคิวของเฟเรส
               “ขอดูบัตรประจำตัวด้วย”
               ทหารตัวเตี้ยของเซอเชาว์ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาหาเฟเรสพลางกล่าว โดยที่มือข้างที่เหลือยังกำปลอกดาบไว้
               “นี่ครับ” เฟเรสยื่นบัตรประจำตัวของ ‘เชเซอร์ โกลอา’ ให้ด้วยใบหน้าที่เฉยเมย
               “หืม”
               พอเห็นทหารเซอเชาว์เพ่งมองบัตรประจำตัวอย่างละเอียดมากกว่าที่คาดคิด ข้าก็กำชายเสื้อของเฟเรสแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
               ทั้งที่สีผมก็ย้อมเปลี่ยนแล้ว และทั้งที่รู้ว่าบัตรประจำตัวไม่มีปัญหาอะไรก็ตาม
               แต่ความรู้สึกหวาดเสียวก็ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
               พรึบ พรึบ
               ทหารพิจารณาแต่ละหน้าของบัตรประจำตัวที่เหมือนกับสมุดเล่มเล็กอย่างตั้งตกตั้งใจพอสมควร
               เป็นขั้นตอนในการยืนยันรายละเอียดอย่างเช่นว่า สีของนัยน์ตาที่ไม่อาจปลอมแปลงได้หรือตราประทับของหน่วยงานราชการที่ออกบัตรประจำตัวให้เป็นของจริงหรือไม่
               “มาจากที่ไหนหรือ?”
               “รังท์จากเขตแดนลอมบาร์เดียครับ”
               คนก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะใช้เวลานานแบบนี้
               ทหารเริ่มถามนู่นถามนี่กับเฟเรส
               แน่นอนว่าเฟเรสตอบกลับไปอย่างลื่นไหล
               ปัญหาไม่ใช่เฟเรส
               “เดี๋ยวก่อน คนที่แอบอยู่ด้านหลังคือใคร?”
               ทหารชี้นิ้วมาที่ข้า และเอ่ยถามอย่างดุดัน
               “ภรรยาข้าครับ”
               “ภรรยา?”
               ทหารหรี่ตาลง แล้วพลันนิ่วหน้าพลางกล่าว
               “ข้าต้องตรวจสอบใบหน้า เจ้าหลบไป”
               “…” ทว่าเฟเรสกลับไม่ขยับ
               ทำเพียงจับมือของข้าแน่นขึ้นและทอดสายตามองทหารของเซอเชาว์
               ทันใดนั้น บรรยากาศก็เปลี่ยนตึงเครียดในพริบตา
               “ดูสิ นี่เจ้ากล้าปฏิเสธการตรวจค้นอย่างนั้นเหรอ?”
               “เท่าที่ข้าสังเกตดูจนถึงตอนนี้ ผู้ต้องหาน่าจะเป็นชายบรรลุนิติภาวะแล้ว เพศหญิงไม่ใช่เป้าหมายในการตรวจค้นไม่ใช่เหรอครับ”
               “ข้าจำเป็นต้องตรวจสอบว่าคนที่เจ้ายืนกรานว่าเป็นภรรยา คือผู้หญิง หรือเป็นผู้ชายที่ใส่ชุดเดรสกันแน่!”
               “ตรวจสอบ?”
               บรรยากาศรอบกายเฟเรสที่รักษาใบหน้าอ่อนน้อมมาจนถึงตอนนี้ พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกในพริบตา
               เฟเรสเข้าไปใกล้ทหารอีกครึ่งก้าว แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
               “ไหนว่ามาสิ เจ้าคิดจะตรวจสอบยังไง?”
               “ระ เรื่องนั้น…!”
               พลังคุกคามของเฟเรสที่พุ่งออกมาในคราวเดียวราวกับดึงดาบอันคมกริบออกจากฝักทำให้ทหารลังเลกระทั่งจะก้าวถอยหลัง
               หลังจากเพ่งมองทหารของเซอเชาว์ผู้นั้นด้วยแววตาเย็นยะเยือกครู่หนึ่ง เฟเรสก็ค่อยๆ เปิดปากพูด
               “บัตรประจำตัวของข้าไม่มีความผิดปกติ และได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่ใช่ผู้ต้องหาที่ตามหาอยู่ครับ ดังนั้นเลิกเสียเวลา เชิญข้ามไปที่คนถัดไปได้แล้วครับ”
               แม้การพูดจะกลับมาอ่อนน้อมเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่สีหน้าไร้อารมณ์ยังคงเดิม
               “…นะ นี่นะ” สุดท้ายทหารที่ไม่สามารถเอาชนะแรงกดดันอันเงียบเชียบได้ก็คืนบัตรประจำตัวของเฟเรสให้
               ตอนนั้นเอง มีใครบางคนตะโกนเสียงดังมาจากทางบันไดที่พาไปยังตู้เก็บสัมภาระ
               “จับไว้! ผู้ต้องหา!”
               “ผู้ต้องหาหนีไปแล้ว!”
               ต่อจากนั้น เสียงดังตึงตังก็เริ่มไล่ตามบันไดมาและได้ยินชัดขึ้นเรื่อยๆ
               และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง สิ่งที่พุ่งขึ้นมาจากชั้นล่างและเผยตัวตนออกมาก็คือ
               “ผู้ชายคนนั้นเป็น…”
               ใบหน้านั้นคุ้นตา
               แม้ต่างราวฟ้ากับเหวกับสภาพการแต่งกายอันซอมซ่อในตอนนี้ เส้นผมพันกันอย่างยุ่งเหยิงและเสื้อผ้าฉีกขาด แต่ข้ารู้จักภาพลักษณ์เมื่อหลายปีก่อนของชายคนนั้น
               “ครูส”
               ชายผู้เคยไล่จับเครย์ลีบันจนบุกมาถึงคฤหาสน์ลอมบาร์เดียตามคำสั่งเพียงคำเดียวของราวีนี่
               หัวหน้ากองกำลังอัศวินอังเกนัสที่ดิ้นรนจนสุดชีวิตเพื่อช่วยให้ราวีนี่หลุดพ้นจากคุกของพระราชวังจนถึงวินาทีสุดท้าย
               “อีเดน ครูส”
               ชื่อของเขาหลุดออกจากปากไปโดยไม่รู้ตัว
               มันเป็นเสียงที่เบามากเมื่อเทียบกับเสียงตะโกนของทหารเซอเชาว์ ข้ามั่นใจ
               แต่ชั่วขณะนั้น การเคลื่อนไหวของอีเดน ครูสกลับหยุดลงราวกับเป็นเรื่องโกหก
               หยุดตัวแข็งทื่อในท่าทางที่กำลังจะกระโดดลงไปด้านใต้เรืออยู่อย่างนั้น
               “จะ จับไว้! จับกุมตัวเดี๋ยวนี้!” ทหารเซอเชาว์ที่ไม่พลาดโอกาสนั้น รีบกดตัวอีเดน ครูสลงบนพื้นแล้วตะโกนขึ้น
               ทว่าอีเดน ครูสกลับไม่มองไปที่พวกเขาเลย
               นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดซึ่งโผล่ให้เห็นระหว่างเส้นผมกระเซอะกระเซิงมองมายังจุดเดียวเท่านั้น
               นั่นคือข้าเอง
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		