เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 1
SPIN-OFF บทที่ 1
หนึ่งเดือนก่อน ณ คฤหาสน์ลอมบาร์เดีย
               “น่าโมโหนัก…?”
               ปึกเอกสารที่ขยำอยู่ในมือของข้าถูกวางลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังตุ้บหนักๆ
               เนื้อหาที่เพิ่งถูกรายงานขึ้นมาเมื่อครู่กำลังทำให้ข้าเริ่มหัวร้อน
               “ไม่ได้รู้สึกมานานแล้วนะ ความรู้สึกแบบนี้”
               ถึงข้าจะกำลังเคาะปลายนิ้วเป็นจังหวะบนโต๊ะนิ่งๆ พลางรอให้อารมณ์สงบลงก็เถอะ
               “ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห”
แม้จะเคยคาดการณ์ความเสียหายไว้ระดับหนึ่ง แต่ไม่นึกว่าจะมากถึงเพียงนี้ ข้าหรี่ตาจ้องเอกสารเขม็ง
               “ก็เป็นคนเช่นนั้นแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอครับ ไม่น่าเชื่อถือเลย”
               เครย์ลีบันเองก็หรี่ดวงตาใต้กรอบแว่นพลางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
               “ข้าไม่ถูกชะตากับเขามาแต่แรกแล้วครับ”
               “เจ้าตระกูลเพลเลส ไม่สิ เครย์ลีบัน”
               เครย์ลีบันที่จ้องมาอย่างเจ็บช้ำทันทีที่ข้าเอ่ยเรียกเขาว่า ‘เจ้าตระกูลเพลเลส’ อย่างเคยชินเหมือนเวลาที่เรียกในที่สาธารณะ ผงกศีรษะทันทีที่ข้าเปลี่ยนคำเรียก
               “ครับ ท่านเจ้าตระกูล”
               “วันนี้ว่างใช่ไหมคะ?”
               วันนี้เป็นวันประชุมใหญ่ที่ข้ายื่นระเบียบวาระด้วยตนเองพอดี ข้าชี้ไปยังปึกเอกสารที่เครย์ลีบันนำมาพลางกล่าวว่า
               “ข้าจะนำมันไปถามให้ชัดเจนดูเสียหน่อย ไปด้วยกันไหมคะ”
               “ตอนออกมา ข้าได้แจ้งไว้แล้วว่าหลังจากออกมาข้างนอกก็จะเลิกงานเลย”
               สมแล้วที่เป็นเครย์ลีบัน
               ขณะที่พวกเรากำลังสบตากันพลางพยักหน้าอย่างมีลับลมคมในนั่นเอง
               “เทีย กินข้าวให้เสร็จก่อนดีไหม” พ่อที่ฟังบทสนทนาของพวกเราอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นเงียบๆ ขณะฉีกขนมปังที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ
               ตอนนั้นเอง ข้าถึงตระหนักได้ว่าพวกเรากำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวันท่ามกลางใครหลายคน ก่อนจะรู้สึกผิดเล็กน้อย
               “คุณเครย์ลีบันด้วยครับ อาหารไม่เย็นหมดแล้วเหรอครับ”
“อ่า ครับ ขอโทษครับ” เครย์ลีบันหยิบขนมปังขึ้นมาพลางตอบกลับอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยทำสายตาแข็งกร้าวแบบเมื่อครู่มาก่อน
               เครย์ลีบันที่นอกจากข้าแล้วทุกคนก็หวาดกลัวและยากจะเข้าถึงผู้นั้นกลับอ่อนแอเป็นพิเศษต่อท่านพ่อที่ใครๆ ก็เข้าหาได้อย่างง่ายดายเสียนี่
               ดูเหมือนระหว่างคนเรามีสิ่งที่พ่ายแพ้ต่างกันไป เหมือนกับกรรไกร ก้อนหินและกระดาษ
               ข้าจ้องพ่อกับเครย์ลีบันครู่หนึ่ง แล้วส่ายหัวไปมา ก่อนจะหยิบขนมปังขึ้นมาชิ้นหนึ่งเช่นกัน
               ความนุ่มฟูนั้นเพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้น้ำลายไหล
               ใช่แล้ว อีกเดี๋ยวถ้าจะสู้ให้ดี ท้องก็ต้องกินให้อิ่มไว้สิ
               ขณะที่ข้าคิดเช่นนั้นพลางมองหาเนยมาทาขนมปัง ก็คิดอะไรออกขึ้นมาฉับพลัน
               “เดี๋ยวนะ จะว่าไปขนมปังนี้ทำด้วยแป้งข้าวสาลีนี่คะ?”
               พอได้ยินคำพูดของข้า เครย์ลีบันที่กำลังจะยัดขนมปังใส่ปากก็ชะงักไปเช่นกัน
               ข้าจ้องขนมปังด้วยสายตาหวาดระแวงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามพ่อบ้านซึ่งยืนรออยู่แถวโต๊ะที่พวกเรารับประทานอาหาร
               “พ่อบ้านโยฮัน ขนมปังก้อนนี้ใช้แป้งข้าวสาลีที่ซื้อมาจากภาค ‘นั้น’ หรือเปล่าคะ?”
               “ยังไงข้าวสาลีของทางนั้นก็คุณภาพดี…ครับ ใช่แล้วครับ”
               “…งั้นวันนี้ข้าไม่กินขนมปังแล้วละ” ไม่อยากเอาเข้ามาใส่ในร่างของข้าหรอกนะ เดี๋ยวก็ท้องอืดขึ้นมาพอดี
               “ข้าด้วย…” เครย์ลีบันที่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็วางขนมปังลงตามข้าเช่นกัน
 “เฮ้อ”
               ถึงแม้ท่านพ่อจะส่ายหน้าและยิ้มให้พวกเราอย่างจนใจก็เถอะ
               “วันนี้ท่านปู่ก็กินข้าวที่ห้องหนังสือเหรอ”
               “ใช่ครับท่านเจ้าตระกูล หมู่นี้ท่านกินอาหารที่นั่นทุกวัน”
               ระหว่างที่คุยกับโยฮัน ข้าก็ใช้ปลายนิ้วดันตะกร้าที่เต็มไปด้วยขนมปังออกไปไกลๆ และในขณะที่เบนสายตากลับมายังสเต็กที่วางอยู่บนจานนั่นเอง
 “ท่านเจ้าตระกูล”
               ข้ารับใช้ของคฤหาสน์ถือจดหมายฉบับหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอาหาร
“อ๊ะ ลาลาเน่แน่ะค่ะ” ลายมืออันนุ่มนวลและสละสลวยไม่แพ้ตัวผู้เขียน อัดแน่นอยู่เต็มบนกระดาษจดหมาย
“ลาลาเน่?”
“เขียนมาว่าไงเหรอ?”
               ไม่รู้ว่ากินข้าวเสร็จแล้วหรืออย่างไร สองแฝดที่กำลังกินผลไม้อยู่จึงโน้มตัวมาหาข้าพลางเอ่ยถาม
               ข้ารีบเล่าเนื้อหาคร่าวๆ ก่อนที่ทั้งสองคนจะเอื้อมมือมาดึงจดหมาย
               “ก็แค่กำลังยุ่งกับการเตรียมงานแต่งงาน แล้วก็…”
               หากเป็นไปตามกำหนดการเดิม หลังจากหมั้นหมายกันครบหนึ่งปีตามขนบธรรมเนียมของตะวันออก ลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์จะต้องแต่งงานกันตั้งแต่ปีที่แล้ว
               ทว่ากลับไม่เป็นไปตามนั้น เหตุผลก็คือ
               “ริคเองก็สบายดี” ชื่อเต็มก็คือ เบลริค รูมัน ชื่อของบุตรชายที่เกิดจากลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์
               เป็นเพราะของขวัญที่มาอย่างกะทันหัน ลาลาเน่จึงต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอนเล็กน้อย โดยให้กำเนิดริคก่อนแล้วค่อยจัดงานแต่งงาน
               “อา อยากเจอริคเร็วๆ จัง”
               “ข้าด้วย ดูจากภาพเหมือนก็น่ารักแล้ว”
               “ถึงจะหน้าเหมือนอาบีน็อกซ์มากกว่าที่คิดไว้จนทำให้อยากหัวเราะออกมาก็เถอะ”
               อ๊ะ เรื่องนั้นข้าก็เห็นด้วยนะ
               ภาพเหมือนของริคที่ลาลาเน่ส่งมาให้เมื่อเดือนก่อน ราวกับภาพวาดอาบีน็อกซ์ฉบับมินิทีเดียว
               ถึงกับทำให้คนที่เห็นภาพวาดต่างประหลาดใจแล้วหัวเราะฮ่าฮ่าออกมา
               “ข้าเคยได้ยินมาว่าเด็กๆ หน้าจะเปลี่ยนทุกวัน ตอนนี้อาจจะต่างไปจากภาพนั้นมากแล้วก็ได้ ใช่ไหมท่านแม่?”
               คิลลีวูเอ่ยถามชานาเนสที่กำลังใช้ผ้าเช็ดปากแตะมุมปากอยู่
               “จำได้ว่าตอนนั้นพอเด็กๆ นอนตื่นมาก็เหมือนจะโตขึ้นอยู่หรอก แต่ไม่รู้สิ เพราะตอนนี้ท่านชายรูมันก็ไม่เห็นจะหน้าเปลี่ยนเลย”
               “อ๊า ต้องหน้าคล้ายลาลาเน่สิ!”
               เมโลนตะโกนขึ้นอย่างเสียดายว่า “ตอนนี้ก็น่ารักอยู่หรอก แต่น่าจะน่ารักได้มากกว่านี้อีกนี่นา!”
               เจ้าพวกนี้อายุมากขึ้นแต่สติปัญญาไม่มากขึ้นตามเลยแฮะ
               ข้าหันไปพูดกับสองแฝด “อีกไม่กี่สัปดาห์ก็ได้เจอ อดทนอีกหน่อยแล้วกัน”
เป็นเพราะลาลาเน่หนีไปซ่อนตัวที่ตะวันออกอย่างเร่งรีบและสถานการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวย จึงทำให้พวกเราไม่สามารถไปร่วมงานหมั้นได้
               แต่สำหรับพิธีแต่งงานนั้น พวกเรามีแพลนว่าอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้ จะออกเดินทางไปยังภาคตะวันออกเพื่อที่ทุกคนในครอบครัวจะได้เข้าร่วม
               “ว่าแต่ฝ่าบาทจะร่วมเดินทางไปกับพวกเราจริงๆ เหรอเทีย?”
 “อ๊ะ เรื่องนั้น…” ข้ายิ้มแล้วพยักหน้าอย่างไม่เป็นธรรมชาติเมื่อได้ยินคำถามของพ่อ “เจ้าตัวบอกว่า ต้อง! ไปให้ได้ ขวางไม่ได้หรอกค่ะ”
               จักรพรรดิบอกว่าอยากไป ใครจะไปห้ามได้ล่ะ
               ไม่สิ ถึงข้าจะห้ามได้ แต่ตอนที่พูดถึงเรื่องนั้น ดวงตาของเจ้าเขาเป็นประกายมากเหลือเกิน
               ข้าจะกล้าปฏิเสธได้ยังไง
               “แต่จะไม่เป็นอันตรายเหรอ”
               “…เฟเรสน่ะเหรอคะ”
               หลังจากกะพริบตาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พ่อก็กล่าวขึ้นว่า ‘นั่นสินะ’ แล้วหัวเราะออกมาทันทีที่ข้าถามกลับ
               “ถึงแม้การที่องค์จักรพรรดิจะเสด็จไปด้วยพระองค์เองนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็จริง แต่นี่ก็นับเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยให้ได้ใจของราษฎรทางตะวันออกนี่คะ”
               ตะวันออกเป็นภาคที่เพิ่งรวมเข้ากับอาณาจักรได้ไม่กี่สิบปี ดังนั้นจึงเป็นภูมิภาคที่มีอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างละเอียด
               “ว่าแต่ เทีย” ชานาเนสเอ่ยเรียกข้า “งานแต่งของเจ้าเตรียมการไปถึงไหนแล้ว?”
               “อ่า…ยังเหลืออีกเยอะเลยค่ะ”
               ระยะเวลาการหมั้นที่ข้ากับเฟเรสตกลงกันไว้คือสองปีจนกว่าเครนีย์จะเรียนจบจากอคาเดมี่
               ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเวลานั้น
               “ทั้งเฟเรสและข้าต่างก็ยุ่งนี่คะ”
               ข้ายุ่งจากการดูแลลอมบาร์เดีย ส่วนเฟเรสก็ยุ่งกับการดูแลอาณาจักร
               “ก็นั่นสินะ ถึงแต่งตอนนี้ไปก็…”
               สายตาของชานาเนสที่กล่าวเช่นนั้นได้ชำเลืองมองไปยังกองเอกสารที่ยังวางอยู่บนโต๊ะ
               ถึงแม้ภายนอกจะไม่ได้แสดงออกมา แต่ถ้าเป็นงานที่เกี่ยวกับลอมบาร์เดีย ชานาเนสจะมีปฏิกิริยาที่อ่อนไหวไม่แพ้ข้า
               “นี่ก็น่าจะใกล้ถึงเวลาออกเดินทางแล้วนะ”
               คิลลีวูมองจานที่เกือบจะว่างของข้าแล้วกล่าวขึ้น
               “ถ้าออกเดินทางตอนนี้ก็น่าจะไปถึงก่อนการประชุมเริ่ม”
               “ต่อให้ไปถึงสายหน่อย ก็เริ่มประชุมไม่ได้อยู่ดีถ้าไม่มีเทีย”
               ทุกคนในที่นี้รวมถึงข้าต่างก็พยักหน้า
               “งั้นไปกันเลยไหม” ข้าลุกขึ้นพลางกล่าว เอกสารที่ถูกโยนไว้บนโต๊ะ ก็ถูกข้าหยิบขึ้นมาด้วยเช่นกัน
               นี่คืออาวุธของข้าในวันนี้
               หลังจากนั้นไม่นาน
               รถม้าที่ข้ากับเครย์ลีบันโดยสารก็มาถึงพระราชวัง
               สองแฝดที่คุ้มกันรถม้าอยู่ด้านนอกกับอัศวินคนอื่นบ่นว่ารู้สึกร้อนและกำลังสะบัดชุดเครื่องแบบของกองกำลังอัศวิน
               “จะเข้าไปในห้องประชุมด้วยกันไหม? ด้านในน่าจะเย็น”
               “อืม ไม่ละ พวกเราจะอยู่ข้างนอก”
               “ใช่ พวกเราอยู่ข้างนอกสบายกว่า ถึงเข้าไป ข้างในคนก็เยอะ…”
               คิลลีวูกับเมโลนตอบพลางหลบสายตาข้าอย่างประหลาด
               มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีอะไรปิดบังอยู่
               จะว่าไป วันนี้สองคนนี้ก็เป็นคนเอ่ยปากบอกให้ออกเดินทางก่อนใช่ไหมนะ?
               “แปลกๆ นะ ทั้งสองคน?”
               แม้ลางสังหรณ์ของข้าจะบอกว่ามีอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาเริ่มประชุมแล้ว
               จัดการทีละเรื่องก็แล้วกัน ทีละเรื่อง
               “เดี๋ยวไว้เจอกัน พวกเราไปกันเถอะเครย์ลีบัน”
               หลังจากมองหน้าสองแฝดที่กำลังโบกมือให้ข้าและยิ้มอย่างแปลกพิลึก ข้าก็เดินเข้าไปในห้องประชุมพร้อมกับเครย์ลีบัน
               “มาแล้วเหรอ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย โอ้ วันนี้หัวหน้ากลุ่มการค้าเพลเลสก็มาด้วย”
               “มาเร็วจังนะคะ เจ้าตระกูลเบิร์น”
               “พอแก่แล้วก็ตื่นเช้าเป็นธรรมดา”
               เจ้าตระกูลเบิร์นทักทายข้าเป็นคนแรกพลางหัวเราะอย่างผ่อนคลาย
               คนที่สามารถเอาชนะเด็กหนุ่มและขึ้นเป็นที่หนึ่งโดยง่ายดาย เพียงข้าบอกไปว่าเทศกาลล่าสัตว์ยังเปิดอยู่นะ มาแสร้งทำเป็นอ่อนแออะไรกัน
               ทว่านั่นคือวิธีการวางตัวของเจ้าตระกูลเบิร์น
               ยิ้มอย่างไม่จริงใจขณะที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอ และแสร้งทำเป็นไม่รู้ทั้งที่รู้เรื่อง
               การฉวยโอกาสคว้าจุดอ่อนตอนที่อีกฝ่ายไม่ระวังตัว คือวิธีการของเจ้าตระกูลเบิร์น
               ข้ากวาดสายตามองภายในห้องประชุมใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหล่าขุนนางอีกครั้ง
               ในบรรดาขุนนางภาคกลางที่อยู่ที่นี่ ทุกคนต่างมีอาวุธเฉพาะตัวเหมือนกับเจ้าตระกูลเบิร์น
               เพราะว่าที่นี่คือสนามรบที่จะเกิดการต่อสู้ทางการเมืองยังไงละ
               “การประชุมน่าจะใกล้เริ่มแล้ว”
               “นั่นสิคะ งั้นไปนั่งกันเลยไหม?”
               “ข้านำทางให้เอง เชิญทางนี้ครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
               เหล่าขุนนางที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘กลุ่มพันธมิตรลอมบาร์เดีย’ มาอยู่ข้างตัวข้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าห้องประชุมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทั้งยังเอ่ยทักทายข้าเสียงดัง
               ทันทีที่ข้าก้าวเท้าออกไป เหล่าขุนนางระดับแนวหน้าของอาณาจักรก็ถอยไปด้านหลังราวกับสายน้ำแหวก
               ท่ามกลางภาพเหตุการณ์ที่ตอนนี้เคยชินแล้ว ข้าค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ของตระกูลลอมบาร์เดียที่อยู่ทางซ้ายของที่นั่งจักรพรรดิ
               และค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองภาพตรงหน้า
               ตรงเก้าอี้ที่หันหน้าเข้าหาข้า
               ข้าจ้องคนที่นั่งอยู่บนนั้นซึ่งเคยเป็นของตระกูลอังเกนัสอยู่ช่วงหนึ่ง
               ชายหนุ่มที่ตัดผมสั้น และมีใบหน้าบึ้งตึงเหมือนเคย แต่กลับมีดวงตากลมโตที่คมราวกับมีดแหลม
               เป็นชานตั้น เซอเชาว์ ผู้เป็นแกนนำของ ‘กลุ่มพันธมิตรเซอเชาว์’ และผู้ปกครองเขตแดนทางใต้ซึ่งเป็นศัตรูกับ ‘กลุ่มพันธมิตรลอมบาร์เดีย’
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		