เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 24
SPIN-OFF บทที่ 24
ภาพที่ใบหน้าของชานตั้น เซอเชาว์บิดเบี้ยวเมื่อได้ยินคำทักทายของข้าช่างน่ามองจริงๆ
            “เลิกดึงเวลาด้วยคำพูดไร้สาระเถอะครับ เรื่องนี้เป็นปัญหาคอขาดบาดตายสำหรับทางนี้นะครับ”
            “คำพูดไร้สาระอย่างนั้นเหรอคะ พูดจารุนแรงจังเลยค่ะ”
            ข้ากล่าวราวกับได้รับความเจ็บปวดจากใจจริง
            “อีกไม่นานก็จะถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ข้าอุตส่าห์จะถามเสียหน่อยว่าการเตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาวเป็นไปด้วยดีหรือเปล่า”
“…”
แน่นอนว่าชานตั้น เซอเชาว์ไม่สามารถตอบได้
            แต่ถึงยังไงก็ไม่คาดหวังคำตอบอยู่แล้ว
            สถานการณ์ของภาคใต้เป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว และข้าก็ทำความเข้าใจผ่านการรายงานไปแล้วด้วย
            “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะคะ? การเก็บเกี่ยวยังไปได้ดีอยู่หรือเปล่าคะ?”
            ถึงจะอยากถูเกลือที่บาดแผลอีกสักหลายครั้งก็เถอะ แต่ข้ารู้สึกว่าขืนทำแบบนั้นต่อไปเขาคงได้ร้องไห้ออกมาแน่
            ข้าทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องทำงานพลางกล่าวขึ้นว่า
            “จดหมายที่ข้าส่งไป ได้รับเรียบร้อยหรือเปล่าคะ?”
            “…ข้ามาเพื่อตรวจสอบด้วยตนเองครับ ท่าน…” ชานตั้น เซอเชาว์เอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดกว่าเวลาปกติ “ค้นพบยารักษาโรคพืชจริงๆ อย่างนั้นเหรอครับ”
            “ความเสียหายของภาคใต้ในตอนนี้สาหัสมากเลยสินะคะ? เห็นว่าการส่งออกธัญพืชที่ปลูกในเซอเชาว์หยุดชะงักได้ทุกเมื่อเลย”
            อ่า ไม่ได้การ ขอแซะอีกสักรอบเถอะ
            “เรื่องนั้นข้าเคยบอกไปแล้วนี่คะ ว่าถ้าเอาแต่ข่มเหงรังแกผู้อื่นแบบนั้นแล้วจะถูกลงโทษน่ะ”
“หรือว่า…” น้ำเสียงของชานตั้น เซอเชาว์พลันต่ำลง “โรคพืชในคราวนี้…”
            เจ้าหมีดำตัวนี้นี่?
            “นี่กำลังสงสัยว่าข้าเป็นคนทำให้มันระบาดเหรอคะ”
            “แล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
            “คงไม่มีคุณค่าให้ข้าต้องเสวนาด้วยอีกต่อไปแล้ว ออกไปเถอะค่ะ”
            ข้าชี้ไปที่ประตูของห้องทำงานแล้วตวาดออกมาอย่างเย็นชา
            เมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของข้า ชานตั้น เซอเชาว์ก็กำมือแน่นพลางกล่าวขอโทษราวกับเพิ่งตั้งสติได้ตอนนั้นเอง
            “เป็นข้าที่พลั้งปากไปเองครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
            “ค่อยยังชั่วที่ยังรู้ว่าพลั้งปากนะคะ” ข้ากล่าวโดยที่ยังไม่ผ่อนคลายสีหน้า
            มันไม่สำคัญหรอก เพราะข้าไม่ได้โกรธจริงๆ อยู่แล้ว
            เพราะหากวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันกับลอมบาร์เดียละก็ ข้าเองก็คงสงสัยชานตั้น เซอเชาว์เป็นคนแรกเช่นกัน
            แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่เจ้าหมีดำซึ่งมักจะพูดจาห้วนๆ และเดาความในใจไม่ออก พลั้งปากพูดแบบนั้นออกมาได้ แสดงว่าเขากระวนกระวายใจมากเหลือเกินแล้ว
            ดังนั้นข้าก็เลยจงใจแสร้งทำเป็นโกรธยิ่งขึ้น
            เพื่อจับจองจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบสำหรับการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
            ข้าหยิบปึกเอกสารออกมาจากลิ้นชัก แล้วจงใจวางลงบนโต๊ะให้เกิดเสียงดังตุ้บ
            เป็นรายงานการวิจัยที่เหล่านักวิชาการของลอมบาร์เดียส่งมาจากรูมัน
            สายตาของชานตั้น เซอเชาว์ไล่ตามไปติดๆ ประหนึ่งลูกธนูที่ถูกยิงออกไป
            “ถ้าข้ามอบสิ่งนี้ให้แล้วจะได้สิ่งใดจากเซอเชาว์เหรอคะ?”
            เมื่อได้ยินคำถามของข้า ชานตั้น เซอเชาว์ก็ตอบราวกับรออยู่แล้ว
            “ถ้าสิ่งนั้นคือยารักษาโรคพืชที่เชื่อถือได้จริงๆ ละก็ ข้าจะจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม…”
            “เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่สิ” ข้าหยิบปึกเอกสารขึ้นมาถือแล้วส่ายหน้า ราวกับว่าสามารถเก็บมันลงไปในลิ้นชักได้ทุกเมื่อ
            “ในสายตาของท่าน ลอมบาร์เดียดูขาดแคลนเงินเหรอ”
            จิ๊จิ๊ และยังไม่ลืมที่จะเดาะลิ้นให้ฟังด้วย
            “จริงใจหน่อยสิคะ เจ้าตระกูลเซอเชาว์ ลองคิดดูให้ดีๆ ค่ะ ว่าข้าต้องการสิ่งใด”
            หลังจากตกอยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัดไปชั่วครู่ ชานตั้น เซอเชาว์ก็เปิดปากขึ้น
            “…ข้าจะหยุดการปรับโครงสร้างภูมิประเทศที่เขตทามัลครับ”
            ข้าจงใจไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
            หมายความว่าแค่นั้นยังไม่พอ
            “และข้ายังขอสัญญาด้วยนามของเซอเชาว์ว่าจะไม่เปิดท่าเรือที่เขตทามัลครับ”
            “แล้ว?”
            “ต้องการอะไรอีกกันแน่…!”
            “อาคาเดียร์”
            แววตาของชานตั้น เซอเชาว์พลันดุร้ายขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ข้าโพล่งออกไป
            อาคาเดียร์คือดินแดนที่ตั้งอยู่บนเส้นทางที่ใช้ผ่านไปยังเซชายู ซึ่งเป็นเขตแดนของเซอเชาว์ที่อยู่ติดกับลอมบาร์เดีย
            “หยุดการก่อสร้างที่เขตทามัล และส่งมอบอาคาเดียร์ให้แก่ท่านพ่อของข้า แคลอฮัน ลอมบาร์เดียผู้เป็นเจ้าเมืองเชซายู นั่นคือเงื่อนไขของข้าค่ะ”
            เมื่อไม่มีอาคาเดียร์ เชซายูก็จะไม่ถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวอีกต่อไป และชานตั้น เซอเชาว์ก็จะไม่สามารถแตะต้องการค้าภาคตะวันออกของเซชายูได้อีกโดยปริยาย
            “เรื่องนั้น!”
            “ทำไมคะ? แค่นี้ก็ทำเพื่อพลเมืองที่คิดว่าสำคัญถึงเพียงนั้นไม่ได้เหรอ? ไม่ใช่บอกว่าเป็นปัญหาที่คอขาดบาดตายเหรอ?”
            เขาไม่พูดอะไรไปพักใหญ่
            ทำได้เพียงกำหมัดทั้งสองแน่นขึ้นเท่านั้น
            ข้าปล่อยชานตั้น เซอเชาว์ไว้อย่างนั้นพลางเพลิดเพลินกับความเงียบสงัด
            เพราะถึงยังไงคำตอบที่จะได้รับกลับมาก็แน่นอนอยู่แล้ว
            “…ข้าจะทำตามนั้นครับ”
            ข้าชนะ
            ข้าอมยิ้มพลางหยิบหนังสือสัญญาที่เตรียมไว้ล่วงหน้าขึ้นมา
            กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ข้อตกลงที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ถูกเขียนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
            ชั่วขณะนั้น สีหน้าที่แสดงออกว่า ‘โดนเข้าแล้ว’ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของชานตั้น เซอเชาว์ชั่วแวบหนึ่ง แต่มันก็สายไปแล้ว สายไปสักพักแล้วด้วย
            กระบวนการต่อจากนั้นดำเนินไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น
            ถึงยังไงมันก็เป็นแค่การลงนามและประทับตราประทับของเจ้าตระกูลลงในหนังสือสัญญาสองฉบับ
            “ข้อมูลการวิจัยอย่างละเอียดดูจากอันนี้ได้ค่ะ ส่วนยาที่เสร็จสมบูรณ์ข้าจะส่งไปที่คฤหาสน์เซอเชาว์ในวันพรุ่งนี้ กลับไปได้แล้วละค่ะ”
            ข้ากล่าวขณะโบกมือข้างหนึ่งขวับๆ
            ก็บอกให้รีบออกไปไง
            ข้ายังต้องสำราญกับช่วงเวลานี้อีกนะ
            ชานตั้น เซอเชาว์กำหนังสือสัญญาหนึ่งฉบับกับรายงานของนักวิชาการไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วลุกขึ้นทันที
            แต่ทว่านั้นก็แค่ครู่เดียว
            เขาหยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังจะเดินจากไป แล้วหันหลังกลับมาขณะถูหน้าผากอย่างแรงด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้า
            “ข้าคิดว่าควรต้องเขียนหนังสือสัญญาใหม่อีกครั้งครับ”
            “หนังสือสัญญาเหรอ? ทำไมล่ะ?”
            “ตรงนี้ ตกหล่นข้อตกลงที่ว่าจะไม่เปิดท่าเรือที่เขตทามัลไปน่ะครับ”
            ข้าลองอ่านตรงจุดที่ชานตั้น เซอเชาว์ชี้อีกครั้งหนึ่ง
            ในหนังสือสัญญา มีเขียนไว้แค่ ‘หยุดการปรับปรุงโครงสร้างภูมิประเทศของเขตทามัลและจะไม่เริ่มก่อสร้างใหม่อีกครั้ง’ กับ ‘ส่งมอบอำนาจทั้งหมดของอาคาเดียร์ให้แก่แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย’ เท่านั้น
            “หืม เหนือคาดนะคะเนี่ย เจ้าตระกูลเซอเชาว์”
            นึกว่าจะทำเนียนไปเหมือนกับคนที่ชอบตีหน้าซื่อเสียอีก
            “จะใช้ความผิดพลาดของข้าไปวางแผนการในวันข้างหน้าก็ได้นี่คะ”
            ทันใดนั้น ชานตั้น เซอเชาว์ก็นิ่วหน้าราวกับไม่พอใจ
“ข้าไม่ขี้ขลาดในการทำสัญญาที่ใช้ชื่อตระกูลเป็นประกันหรอกครับ เพราะว่าชื่อของเซอเชาว์ไม่ได้ไร้น้ำหนักถึงเพียงนั้น”
            “เรื่องนั้นข้าเองก็เหมือนกันนะ”
            “หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”
            ดูเหมือนชานตั้น เซอเชาว์ที่ยังไม่เข้าใจคำพูดของข้าจะต้องการคำอธิบาย
            “หมายความว่าข้าจงใจเอาข้อตกลงที่ว่าห้ามสร้างท่าเรือที่ทามัลออกค่ะ เซอเชาว์จะสร้างท่าเรือที่ทามัลหรือไม่นั้น ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้าค่ะ”
            “แต่ว่าถ้าอย่างนั้น…”
            “ลอมบาร์เดียดูเหมือนกลัวการแข่งขันเหรอคะ”
            ข้ากล่าวเสริมให้ชานตั้น เซอเชาว์ที่ยังคงยืนงงงันอย่างใจดี
            “ถึงแม้ทามัลจะทำเลดีก็จริง แต่ทางแม่น้ำแคบและกระแสน้ำก็แรง เพราะงั้นการสร้างท่าเรือจึงไม่ง่ายถึงเพียงนั้นหรอกค่ะ คราวหน้าข้าขอแนะนำว่าให้จ้างรับเหมาของลอมบาร์เดียที่มีประสบการณ์ในการก่อสร้างท่าเรือจะดีกว่าค่ะ”
            ไม่ใช่เพราะเป็นบริษัทของตระกูลตนเอง แต่เพราะไม่มีที่ไหนที่เหมาะสมในการสร้างท่าเรือไปมากกว่ารับเหมาของลอมบาร์เดียแล้วจริงๆ
            “เอาละ ข้าพูดทุกอย่างที่จะพูดไปหมดแล้ว ออกไปได้จริงๆ แล้วละค่ะ”
            แต่กระนั้นชานตั้น เซอเชาว์กลับไม่ยอมขยับเขยื้อนจากที่ตรงนั้นราวกับถูกตอกตะปูไว้
            และจู่ๆ ก็เอ่ยถามข้าออกมา
            “ถ้าหากข้าไม่ตอบรับข้อแลกเปลี่ยนขึ้นมา ถึงตอนนั้นตั้งใจจะทำยังไงเหรอครับ?”
            “…ผลผลิตทางการเกษตรของภาคใต้จะเป็นยังไงก็ไม่ใช่ธุระอะไรของข้าค่ะ”
            ข้ายักไหล่พลางตอบ
            ชานตั้น เซอเชาว์ทอดสายตามองข้าที่เป็นเช่นนั้นนิ่งๆ
            แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเจื่อนๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
            “ไม่ซื่อสัตย์เลยนะครับ”
            ว่าไงนะ ให้ตายเถอะ
            “ถูกแย่งอาคาเดียร์ไปจนเป็น…สติยังดีอยู่หรือเปล่าคะ”
            “สมกับเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเลยนะครับ”
            …ถูกจับได้แล้วเหรอ?
            อันที่จริงถ้าการแลกเปลี่ยนไม่เป็นไปตามแผน ข้าก็ตั้งใจว่าจะแจกจ่ายยารักษาในนามของลอมบาร์เดียฟรีๆ อยู่แล้ว
            แน่นอนว่าจะอธิบายว่าค้นพบมันโดยบังเอิญ
            เพราะข้าไม่สามารถปล่อยให้พลเมืองของอาณาจักรผู้ไร้ความผิดต้องมารับผลกระทบจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของเหล่าเจ้าตระกูลได้
            “เลิกพูดอะไรไร้สาระ แล้วออกไปได้แล้วค่ะ ข้ายุ่งนะคะ”
            ต้องพูดไล่แขกถึงสามครั้ง ชานตั้น เซอเชาว์ถึงเริ่มขยับเท้าได้เสียที
            หลังจากที่ค้อมศีรษะให้ข้าอย่างนอบน้อมต่างจากเมื่อครู่ก่อน
            “ถ้างั้นคราวหน้าไว้เจอกันที่การประชุมใหญ่นะครับ ท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
            เสียงก้าวเดินหนักๆ ของรองเท้าทหารที่สวมไปไหนมาไหนราวกับยังไม่เบื่อห่างไกลออกไป
            ตอนนั้นเอง ห้องทำงานถึงได้กลับสู่ความเงียบอันสงบสุขอีกครั้ง
            “ในเมื่อทำการแลกเปลี่ยนกันแล้ว ก็หมายความว่าเราสองคนไม่เป็นหนี้ต่อกันนะ”
            ข้าคิดทบทวนคำพูดสุดท้ายของชานตั้น เซอเชาว์พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ในห้องทำงาน
            จากนั้นค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้หน้าต่าง
            ทัศนียภาพของลอมบาร์เดียตรงหน้าปรากฏเข้าสู่สายตาทันที
            เป็นจุดที่ท่านปู่มักจะยืนอยู่เวลาที่ข้าเงยหน้าขึ้นมองตอนที่มาเล่นในสวนสมัยยังเด็ก
            ข้าหลุบตามองด้านล่างจากตรงหน้าต่างที่บัดนี้กลายเป็นสถานที่ที่ข้าชื่นชอบที่สุดในห้องทำงาน
            มองเห็นภาพที่ชานตั้น เซอเชาว์กำลังขึ้นไปบนรถม้าพอดี
            “ไม่ทำเรื่องขี้ขลาดในการเอาชื่อตระกูลมาเป็นประกัน”
            เป็นคำพูดที่ชานตั้น เซอเชาว์กล่าวไว้
            “กะว่าถ้าออกไปเฉยๆ จะไม่ปล่อยไปแล้วเชียว”
            ช่างเป็นเจ้าหมีที่ดื้อรั้นไม่แพ้หน้าตาเสียจริง
            “เพราะงั้นข้าถึงเกลียดไม่ลงไงล่ะ”
            คู่แข่งที่รู้เส้นทางที่ไม่สมควรข้าม สำหรับข้าแล้วนี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี
            เพราะอำนาจที่ไม่ถูกควบคุมย่อมใช้งานไม่ได้
            “งั้นมาทำงานกันต่อเลยดีไหม”
            หลังจากบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ครั้งหนึ่ง ข้าก็นั่งลงหน้าโต๊ะทำงานอีกครั้ง
            ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมบนริมฝีปากของข้าถึงมีรอยยิ้มประดับอยู่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน
            “มาสายนะ ชานตั้น”
            เฟเรสจ้องมองนอกหน้าต่างที่มีสายฝนปรอยๆ แล้วกล่าวขึ้น
            ความมืดมิดมาเยือนวังรัชทายาทนานแล้ว
            และเป็นเพราะเปิดไฟเพียงไม่กี่ดวง บนใบหน้าของเขาจึงมีเงาดำปกคลุม
            “เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางมาน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
            “อุบัติเหตุ?”
            “พ่ะย่ะค่ะ”
            แม้คำตอบสั้นๆ นั้นคือเหตุผลทั้งหมด แต่เฟเรสก็ยังจ้องชานตั้น เซอเชาว์ด้วยสายตาเยือกเย็น
            นั่นเพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนผู้นี้ซึ่งลาออกจากตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังอัศวินส่วนพระองค์ด้วยตนเองเมื่อหลายปีก่อนจะเอ่ยปากพูดเรื่องไร้สาระออกมา
            “เป็นเรื่องที่ข้าสมควรต้องรู้หรือ”
            “รถม้าได้ชนเข้ากับคนเมาสุราที่สัญจรผ่านมาพอดี หลังจากตรวจสอบตัวตนของนางแล้วพบว่าเป็นบุตรนอกสมรสของลอมบาร์เดียพ่ะย่ะค่ะ”
            ได้ยินคำพูดของชานตั้น เซอเชาว์ มุมปากของเฟเรสก็พลันบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว
            ในที่สุด วันนี้เขาก็ประสบความสำเร็จในการปิดประตูลอมบาร์เดียได้เสียที
            ดังนั้นจึงคิดว่าจากนี้ไปจะไม่มีเรื่องให้ต้องได้ยินชื่อลอมบาร์เดียอีกแล้วแท้ๆ
            ช่างสมกับเป็นลอมบาร์เดียที่ดื้อรั้นจนถึงวินาทีสุดท้าย
            “เบเจอร์ ลอมบาร์เดียมีภรรยานอกสมรสด้วยอย่างนั้นหรือ”
            “ได้ยินว่าไม่ใช่บุตรนอกสมรสของเบเจอร์ แต่เป็นบุตรของแคลอฮัน ลอมบาร์เดียผู้เป็นน้องของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
            “ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่าเบเจอร์มีน้องคนอื่นนอกจากลอเรนซ์ด้วย”
            เฟเรสกล่าวขึ้นขณะหวนนึกถึงบุตรชายคนรองผู้ไร้จุดยืนของลอมบาร์เดีย
            “ดูเหมือนว่าบุตรชายคนที่สามของรูลลัก ลอมบาร์เดียจะป่วยตายไปเมื่อนานมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ชื่อของบุตรนอกสมรสคือฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย…”
“หยุด”
            เฟเรสหยุดการรายงานของชานตั้น เซอเชาว์ด้วยสัญญาณมือเพียงครั้งเดียว
            “ข้าไม่จำเป็นต้องรู้กระทั่งเรื่องนั้น จัดการมอบเงินชดเชยให้ครอบครัวผู้ตายให้ดีก็แล้วกัน”
            “ดูเหมือนนางจะอาศัยอยู่คนเดียวโดยไม่มีความสัมพันธ์กับใครในเมืองลอมบาร์เดีย เพราะงั้นคงไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเงินชดเชยก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
            “เช่นนั้นก็ยิ่งดี เพราะเป็นบุตรนอกสมรสก็เลยหลบพ้นจากหายนะครั้งใหญ่อย่างการล่มสลายของลอมบาร์เดียไปได้ แต่กลับมาถูกชนม้าชนเข้าเสียนี่ ความอยู่และความตายคงถูกผูกไว้กับตระกูลเสียแล้ว”
            เฟเรสแสดงความรู้สึกที่มีต่อบุตรนอกสมรสของลอมบาร์เดียด้วยคำพูดนั้นเป็นสิ่งสุดท้าย
            จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วเอ่ยถามชานตั้น เซอเชาว์
            “ไม่เปลี่ยนความคิดที่จะไปเป็นเพื่อนข้าใช่ไหม”
            “การมอบโอกาสให้กระหม่อมได้เห็นจุดจบของอังเกนัสด้วยสองตาตนเอง เป็นเรื่องที่กระหม่อมอยากจะขอบคุณมากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
            เฟเรสผงกศีรษะให้เขาแล้วเดินนำหน้าออกไปโดยไม่ได้กล่าวอะไร
            ฝีเท้านั้นเดินผ่านโถงทางเดินของวังรัชทายาทที่มืดสนิทอย่างรวดเร็ว ก่อนก้าวเข้าสู่ทางเดินของพระราชวังที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
            ทว่าระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคนกลับมีเพียงเสียงฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างเงียบเหงาเท่านั้น  หลังจากมาถึงจุดหมายปลายทาง เฟเรสก็หยุดฝีเท้าไปชั่วขณะ แล้วดื่มด่ำกับทัศนียภาพของวังจักรพรรดินีตรงหน้า
            ภาพของวังจักรพรรดินีที่ดับไฟทุกดวงและไร้ซึ่งผู้คนที่เดินขวักไขว่ ช่างเหมือนกับสภาพเจ้าของมันเสียจนทำให้เขาพึงพอใจมากเหลือเกิน
            ตึก ตึก
            เสียงเดินของฝีเท้าที่เปียกน้ำทั้งสองดังสะท้อนไปทั่วโถงทางเดินของวังจักรพรรดินี แต่กลับไร้ซึ่งผู้เข้ามาสกัดกั้น และไร้ซึ่งผู้ที่เข้ามาต้อนรับด้วยเช่นกัน
            นอกจากอัศวินสองคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องนอนที่คุมขังจักรพรรดินี ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในวังเลย
            มันเป็นคำสั่งของเฟเรส องค์ชายรัชทายาทผู้เคร่งครัดที่กุมอำนาจของอาณาจักรแลมบลูไว้ในมือ
            ตอนที่ชายสองคนยืนอยู่หน้าประตูห้องนอน พลันได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงกระแทกอันบาดหูดังขึ้นพร้อมกันจากด้านใน
            เคร้ง!
            “เปิด! ข้าบอกให้เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
            แต่อัศวินที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูกลับไม่มีการตอบสนองต่อเสียงกรีดร้องทั้งน้ำตาของจักรพรรดินี ทำเพียงมององค์ชายรัชทายาทด้วยสีหน้าตึงเครียดเท่านั้น
“เปิด”
            เพียงคำเดียว
เมื่อได้ยินคำสั่งสั้นๆ เพียงคำเดียวของเฟเรส ประตูห้องนอนของจักรพรรดินีที่ไม่เคยเปิดออกเลยตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เปิดออก
            ฟิ้ว!
            เฟเรสก้าวเข้าไปด้านในก้าวหนึ่งแล้วคว้าสิ่งที่ลอยเข้ามาหาตนเอง
            ปัก!
            สิ่งที่อยู่ในมือคือนาฬิกาตั้งโต๊ะที่หักไปแล้วครึ่งหนึ่ง
            ผู้ที่ปามันมาก็คือจักรพรรดินี ราวีนี่ อังเกนัสที่กำลังหอบหายใจอย่างแรงด้วยสภาพผมที่ยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง
            ตัวนางที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปกลายเป็นเพียงนักโทษที่ซอมซ่อ อดีตที่เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นสตรีผู้งดงามที่สุดในอาณาจักรอยู่ช่วงหนึ่งกลายเป็นเรื่องน่าขัน
            “เจ้า! เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหน!” ราวีนี่ อังเกนัสตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง
            อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและเหลือเพียงเฮือกสุดท้ายนั้นแหบแห้งมานานแล้ว ห้องนอนที่เคยหรูหราก็เละเทะไปด้วยน้ำมือเจ้าของที่ไม่สามารถเอาชนะความโกรธแค้นของตนเองได้
            หลังจากกวาดตามองภายในห้องด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เฟเรสก็ก้าวเข้าไปหาราวีนี่ อังเกนัสที่ยันโต๊ะทรงกลมเพื่อทรงตัวยืนอย่างยากลำบาก
            กร๊อบ กร๊อบ
            ในทุกย่างก้าว เศษแก้วแหลมคมยิ่งแตกละเอียดมากขึ้นภายใต้รองเท้าทหารที่หนักอึ้ง
            “ตัดสินใจได้หรือยัง”
            ร่างผอมบางของจักรพรรดินีชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดแรกของเฟเรส
            หลายวันก่อน เฟเรสมาที่วังจักรพรรดินีแล้วมอบทางเลือกให้หนึ่งอย่าง
“ยาพิษกับเชือก จะตายอย่างไรดีล่ะ ราวีนี่ อังเกนัส”
            ช่วงเวลานั้นเองที่ความบ้าคลั่งของจักรพรรดินีผู้รักษาความสง่างามมาตลอดได้เริ่มต้นขึ้น
            “ข้ารู้สึกว่าข้าให้เวลาในการคิดมากพอแล้วนะ”
“ระ เรื่องนั้น…!” เส้นเลือดพลันปูดขึ้นบนลำคอของราวีนี่ อังเกนัสที่ใบหน้าซีดเผือด
            “ข้าคือจักรพรรดินีของอาณาจักรแลมบลู! ฝ่าบาทก็ยังสบายดีอยู่แท้ๆ เจ้ากล้าดียังไง!”
            “สบายดี?” เฟเรสแสยะยิ้มออกมา
            “กับคนใกล้ตายที่ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาหลายวันแล้ว คำว่า ‘สบายดี’ มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ ราวีนี่ อังเกนัส”
            ”ฝะ ฝ่าบาททรง…”
            ราวีนี่ อังเกนัสที่ไม่รู้สถานการณ์ภายนอกเพราะถูกคุมขังอยู่ในห้องนอน พลันซวนเซเพราะได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรง
            “ไอ้เจ้าปีศาจ จะ เจ้าทำอย่างนี้กับบุพการีของตนเองได้ยังไง…!”
            “บุพการี?” เฟเรสย้อนถาม “ข้ามีบุพการีด้วยหรือ ท่านแม่ของข้าเสียชีวิตด้วยเงื้อมมือของจักรพรรดิมานานแล้ว ส่วนข้าก็ไม่เคยมีคนที่เรียกว่าพ่อเลยสักครั้งนะ”
            นัยน์ตาสีแดงปิดลงอย่างเหนื่อยล้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะจ้องราวีนี่ อังเกนัสเขม็ง
            “กล้าดียังไงถึงได้พยายามกล่าววาจาราวกับว่าเจ้าเป็นมารดาของข้า ราวีนี่ อังเกนัส”
            ไอสังหารที่พุ่งทะลักเข้ามาหาตน อย่าว่าแต่ตอบกลับเลย แม้แต่จะหายใจจักรพรรดินียังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
            ในห้องนอนที่เละเทะมีเพียงเสียงหอบหายใจแรงเท่านั้น
            “เข้ามา”
            ผู้ที่เป็นคนทำลายความเงียบสงัดที่ดำเนินอยู่ครู่หนึ่งคือเฟเรส
            เมื่อได้ยินเสียงสั่งการทุ้มต่ำ อัศวินสองคนที่เฝ้าอยู่นอกประตูจนถึงตอนนี้ก็เข้ามาในห้องนอนและปิดประตูอย่างแน่นหนา
            “คะ…คิดจะทำอะไร…!”
ราวีนี่ อังเกนัสที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติพลันก้าวถอยหลัง
            แต่สิ่งที่สัมผัสได้มีเพียงผนังอันแข็งแกร่งของห้องนอนเท่านั้น
            หลังจากเห็นเชือกเกลียวที่อัศวินถืออยู่ในมือ จักรพรรดินีที่สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวก็ประสานมือและเริ่มอ้อนวอน
            “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้! เจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าผู้เป็นจักรพรรดินีไม่ได้!”
            ในที่สุด ราวีนี่ อังเกนัสก็คุกเข่าลงตรงหน้าเฟเรส
            “ขอแค่มีชีวิตอยู่ ข้าจะขังตนเองอยู่ในวังเล็กที่ไหนสักแห่งแล้วใช้ชีวิตอย่างคนตายแล้ว เพราะงั้น เพราะงั้นได้โปรด…”
            “ท่านแม่ข้าก็เคยอ้อนวอนเช่นนั้นเหมือนกัน”
            เฟเรสเอ่ยตัดบทการวิงวอนของราวีนี่ อังเกนัสเช่นนั้น แล้วเอ่ยถามชานตั้น เซอเชาว์อย่างไม่แยแส
            “เจ้าอยากอยู่ต่อไหม”
            “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจัดการเอง”
            หลังจากได้ยินคำตอบของชานตั้น เซอเชาว์ เฟเรสก็หันหลังกลับออกไปทันที
            เขาไม่มีเวลามาเฝ้ามองช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตของราวีนี่ อังเกนัส
            แกร็ก
            แม้ด้านหลังจะมีเสียงกรีดร้องอันแห้งแหบดังมาจากอีกฝากของประตูที่ปิดอยู่ แต่เฟเรสก็ไม่ได้หันกลับไปมอง
เขาเดินทอดน่องในวังจักรพรรดินีที่ไร้ร่องรอยผู้คนอย่างผ่อนคลาย แล้วมุ่งหน้าไปยังวังรัชทายาท
            แล้วจู่ๆ ก็หยุดชะงัก
            ตัวเขาที่ยืนตากฝนอยู่อย่างนั้นพลันเปลี่ยนทิศทางในทันที
            ทางเดินที่ได้รับการดูแลอย่างดีหายไป ต้นไม้เริ่มหนาแน่น ก่อนที่ผืนป่าเชียวชอุ่มจะปรากฏขึ้น
            เขาเดินเข้าไปในนั้นอยู่พักใหญ่
            จนกระทั่งมาถึงวังเล็กที่ผุพังไปครึ่งหนึ่ง ฝีเท้าที่ทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นดินชื้นแฉะจึงหยุดลง
            สายลมอันหนาวเหน็บพัดผ่านแผ่นหลังของเขา
เขาเดินขึ้นไปบนบันไดที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ก่อนผลักประตูที่บานพับสั่นโคลงเคลงอย่างแรง
            ในพระราชวังที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ มันคือสถานที่ที่มีเพียงเขาผู้เดียวที่มาเป็นครั้งคราว
            เก้าอี้หนึ่งตัวที่วางอยู่ตรงบริเวณที่มองเห็นนอกหน้าต่าง และขวดสุราขวดหนึ่งที่วางอยู่ด้านข้างมัน
เป็นที่นั่งของเขา
            แม้ฝุ่นสีขาวขุ่นจะฟุ้งกระจายจากการทรุดนั่งลงไป แต่เฟเรสก็ยังรินสุราใส่แก้วอย่างเงียบๆ
            ในตอนที่โรคนอนไม่หลับซึ่งเป็นอาการตกค้างจากยาพิษที่สะสมในร่างกายมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กเพราะเล่ห์เหลี่ยมของราวีรี่ อังเกนัสรุนแรงขึ้น เขาก็มักจะมาดื่มสุราดีกรีแรงแล้วผ่านค่ำคืนอันแสนยาวนานไปจนสว่าง
            ของเหลวสีน้ำตาลที่มีดีกรีแรงมากและบัดนี้ไม่มีที่ใดผลิตออกมาแล้วไหลผ่านหลอดอาหารลงไป
            แม้จะร้อนวูบวาบจนรู้สึกเจ็บ แต่สีหน้าไร้อารมณ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
            นัยน์ตาสีแดงที่เข้มประหนึ่งเปียกฝนจนชุ่มฉ่ำจับจ้องวังจักรพรรดิที่อยู่ห่างไกลออกไป
            “ให้จัดพิธีศพสองครั้งก็ยุ่งยาก อีกสักสองวันแล้วกัน”
            วันตายของจักรพรรดิโยบาเนสก็ถูกกำหนดขึ้นเช่นนั้นเอง
            หลังจากดื่มสุราดีกรีแรงจนหมดในอึกที่สองในที่สุด จู่ๆ เฟเรสก็เปิดปากขึ้น
            “ตอนนี้พอใจหรือยังครับ ท่านแม่”
            แต่กระนั้นก็ไม่มีคำตอบใดกลับมา
            เฟเรสหลุบตามองแก้วสุราว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรอยู่เลย แล้วหลับตาลงเป็นเวลานาน
            การล้างแค้นจบสิ้นแล้ว
            อีกไม่นาน เขาก็จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจักรพรรดิ
            รู้สึกว่างเปล่า
            ความรู้สึกที่เหมือนทำของสำคัญบางอย่างหลุดมือพลันแล่นขึ้นจากท้ายทอย
            เป็นสิ่งที่ถึงแม้จะคุ้นเคยแต่ก็ทำให้ไม่เบิกบานใจ
            มันคืออะไรกันแน่
            นี่ข้าทำอะไรหลุดมือไปกัน
            เขาเอ่ยถามตนเอง
            แน่นอนว่าไม่สามารถค้นหาคำตอบได้อย่างเคย
            “บุตรนอกสมรสของลอมบาร์เดียอย่างนั้นเหรอ”
            หญิงสาวที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตา และจบชีวิตไปพร้อมกับลอมบาร์เดียในวันนี้พลันแวบขึ้นมาในสมองชั่วครู่หนึ่ง
            แต่ก็เพียงแค่นั้น
            เฟเรสลืมตาขึ้นอีกครั้ง และมองออกไปด้านนอกหน้าต่างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น
            ท่ามกลางความมืดมิด สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาเช่นเดิม
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		