เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 25
SPIN-OFF บทที่ 25
            ห้องประชุมใหญ่ในพระราชวัง
            สถานที่ที่เหล่าขุนนางในเมืองหลวงทุกคนมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือนโยบายบริหารประเทศกับจักรพรรดิ
            การที่ในสถานที่เป็นทางการเช่นนั้นจะมีบรรยายอันเคร่งเครียดปกคลุมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทว่าห้องประชุมใหญ่ในวันนี้กลับเหมือนกับแผ่นน้ำแข็งบางๆ
            บรรยากาศที่ราวกับจะตกลงไปในน้ำเย็นเยียบได้ทุกเมื่อ ทำให้เหล่าขุนนางที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดไม่อาจแม้แต่จะเปล่งเสียงไอออกมาอย่างที่เคย
            สาเหตุเป็นเพราะความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างจักรพรรดิและเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
            “แบบนี้เป็นการกระทำที่ไม่แยแสสิทธิ์อันชอบธรรมของเหล่าขุนนางอย่างเห็นได้ชัดเลยนะเพคะ”
            เจ้าตระกูลฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
            “ให้ส่งบุตรหลานของตระกูลขุนนางทั้งหมดไปเรียนอคาเดมี่เนี่ยนะเพคะ”
            นี่เป็นระเบียบวาระที่จักรพรรดิเฟเรสเสนอขึ้นมาด้วยตนเองเมื่อไม่นานมานี้
            หากนั่นเป็นคำสั่งของจักรพรรดิ การปฏิบัติตามก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
            แต่ทว่า จุดเริ่มต้นของการประชุมใหญ่ครั้งนี้ก็คือหลังจากที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียทักท้วงว่าการทำเช่นนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเหล่าขุนนาง
            “ข้าก็แค่เชิญชวนให้ใช้อคาเดมี่เป็นที่พบปะทางสังคมของเหล่าชนชั้นสูงเท่านั้น”
            จักรพรรดิเฟเรสกล่าวอย่างเฉียบขาด
            เพราะนี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิซึ่งเรียนจบจากอคาเดมี่พูดถึงมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เหล่าขุนนางจึงคิดกันว่า ‘ในที่สุดสิ่งควรมา ก็มาแล้วสินะ’
            อย่างไรก็ตาม พอเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียออกมาคัดค้านด้วยตนเอง เหล่าขุนนางที่อยู่ภายใต้อำนาจของนางก็จับกลุ่มกันทันที
            แต่พอได้เห็นท่าทางของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่แข็งกร้าวกว่าที่คาดไว้ทันทีที่การประชุมใหญ่เริ่มขึ้นจริงๆ เหล่าขุนนางทุกคนต่างก็ไม่กล้าทำสิ่งใดนอกจากปิดปากให้สนิท
            “ตอนนี้เหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะถึงพิธีแต่งงานของฝ่าบาทกับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแล้ว เป็นแบบนี้จะดีเหรอ?”
            ขุนนางคนหนึ่งกระซิบถามคนที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง
            “ก็นั่นน่ะสิ”
            “แต่เรื่องคราวนี้ฝ่าบาทก็ทรงทำเกินไป มันก็ช่วยไม่ได้หรือเปล่า”
            ขุนนางคนอื่นเข้ามาร่วมวงสนทนาของทั้งสองคน
            “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”
            บทสนทนาของพวกเขาไม่ทันได้ดำเนินต่อไปมากกว่านี้ เพราะการถกเถียงอันร้อนแรงราวกับลูกบอลที่ถูกส่งกลับไปกลับมาของทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินต่อไปอีกครั้ง
            “ฟังนะครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย มันก็แค่ปีเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่ร่างกายเจ็บป่วยหรือในสถานการณ์พิเศษก็ยังได้รับการยกเว้นไม่ใช่หรือไงครับ”
            “ระยะเวลาไม่ใช่ประเด็นเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันกำลังพูดถึงเรื่องที่การศึกษาของบุตรตระกูลขุนนางถูกปรับเปลี่ยนไปตามคำสั่งของราชวงศ์เพคะ”
            “แสดงว่าขุนนางทุกท่านสัมผัสไม่ได้ถึงปัญหาในทุกวันนี้เลยอย่างนั้นเหรอ”
            “มีปัญหาอะไรกันแน่เพคะฝ่าบาท ช่วยแจ้งให้หม่อมฉันผู้โง่เขลาคนนี้ทราบหน่อยเพคะ”
            เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกล่าวอย่างเฉือดเฉือน
            “กิจกรรมทางสังคมและโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษานั้นถูกจำกัดอยู่แค่ในหมู่ขุนนางระดับสูงไม่ใช่หรือ ดั่งที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียว่า ขุนนางทั้งหลายเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของอาณาจักรแห่งนี้  แต่คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ขุนนางในเมืองหลวงก็สมควรจะได้รับประโยชน์เช่นกัน”
            คำพูดนี้มีเหตุผล
            พูดตามตรง แม้แต่ขุนนางระดับสูงที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น
            แต่ทว่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไม่ยอมปราชัยเพราะเรื่องนี้
            กลับยิ่งก้าวออกมาและเอ่ยถามอย่างแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม
            “ถ้าเช่นนั้นแล้วค่าเล่าเรียนที่แพงหูฉี่ของอคาเดมี่ประจำอาณาจักรล่ะ คิดจะทำยังไงเพคะ? เหล่าขุนนางคงไม่สามารถแบกรับเงินจำนวนเท่านั้นไหวทุกคนหรอกนะเพคะ”
            และหลังจากนั้น การโต้เถียงที่ไม่มีใครยอมใครก็ดำเนินต่อไปอีกยาวนาน
            “ฝ่าบาท วาระนี้ไว้ค่อยคุยกันใหม่อย่างใจเย็นกว่านี้ในการประชุมคราวหน้าดีไหมเพคะ”
            ท้ายที่สุด รักษาการณ์เจ้าตระกูล ราโมนา บราวน์ก็ก้าวออกมาไกล่เกลี่ย
            “เอาแบบนั้นแล้วกัน”
            ด้วยเหตุนั้น การประชุมใหญ่จึงจบลงได้ในที่สุดเพราะการพยักหน้าของจักรพรรดิเฟเรส
            คณะขุนนางหลบออกไปจากห้องประชุมใหญ่โดยมีเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเป็นผู้นำ สหายสนิทของจักรพรรดิที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘สามทหารเสือแห่งอคาเดมี่’ ก้าวขึ้นไปบนแท่นยื่น
            ริกนีเต้ รูมันจากตะวันออก สติลลีย์ เซกเตอร์ จากตระกูลเซกเตอร์ทางภาคใต้ และเทดโร่ว คาร์ลลี จากตระกูลคาร์ลลีทางภาคเหนือ
            แต่เฟเรสกลับจมอยู่ในห้วงความคิดบางอย่างจนไม่ทันสนใจพวกเขาที่เดินเข้ามาหา
            ด้วยเหตุนั้น สามทหารเสือจึงแลกเปลี่ยนสายตากันเงียบๆ
            ต่อให้เป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียผู้เป็นคู่หมั้นและกำลังจะกลายเป็นจักรพรรดินีในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าก็ตาม แต่หากถูกคัดค้านสิ่งสำคัญอย่างระเบียบวาระเรื่องอคาเดมี่ก็คงไม่แปลกที่จะโมโห
            ในที่สุด ริกนีเต้ รูมันก็เอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวัง
            “ฝ่าบาท”
“…”
            “ไม่ใช่ว่าทรงคิดว่ามันเป็นวาระที่ยากเกินไปแต่แรกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ การที่เหล่าขุนนางจะคัดค้านก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
            ด้วยเหตุนั้น เทดโร่ว คาร์ลลีจึงกล่าวเสริมต่อว่า
            “หรือจะลองปรับความเข้าใจกับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเป็นการส่วนตัว ไม่ก็หลังจากนี้ลองเสนออีกครั้ง…”
            เฟเรสยังคงนิ่งเงียบ
            สามทหารเสือแลกเปลี่ยนสายตาระหว่างกันอีกครั้ง
            ‘ดูท่าคงจะโมโหมากจริงๆ นะ’
            ‘ทำยังไงดีล่ะ’
            ‘ทั้งที่โมโหเพราะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย แต่จะเรียกเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียมาก็ไม่ได้’
            ในขณะที่เหงื่อสายหนึ่งเริ่มไหลบนแผ่นหลังของทั้งสามคนเพราะความเงียบที่ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
            “ข้า…” เฟเรสกะพริบตาอย่างเชื่องช้าพลางเปิดปากพูด “ข้าทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ”
“…?”
            สามทหารเสือแห่งอคาเดมี่เอียงศีรษะพร้อมกัน
            กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่?
            “แววตาของเทียที่มองข้าเมื่อครู่นี้คมกริบเลย”
อ๋า
            ตอนนั้นเอง สามทหารเสือถึงได้พยักหน้าลง
            ก็ว่าแล้วเชียว
            จักรพรรดิเฟเรสผู้มีอำนาจเหนือขุนนางทุกคนนั้น จะเป็นคนอ่อนแอและละเอียดอ่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
            “หากไม่ใช่เพราะโกรธก็ค่อยยังชั่วนะพ่ะย่ะค่ะ” สติลลีย์ เซกเตอร์กล่าวอย่างโล่งใจ
            แต่กลับกลายเป็นว่าเฟเรสเอียงหน้าเอ่ยถามสติลลีย์ผู้นั้นแทน
            “คำพูดที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกล่าวไม่มีส่วนที่ผิดเลย ข้าควรทำยังไงดีล่ะ?”
            “ฮ่าฮ่า…”
            สามทหารเสือเช็ดเหงื่อในใจ
            เคยกังวลว่าจะเกิดความบาดหมางระหว่างทั้งสองท่านที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กันในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าเพราะระเบียบวาระในคราวนี้หรือเปล่าแท้ๆ
            แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว
            ช่างสมกับเป็นคู่รักที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างสิ้นเชิง จนบางครั้งก็นึกสงสัยว่าทำแบบนั้นได้ยังไง
            ขณะที่ทั้งสามคนตกอยู่ในความสับสนและคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน เฟเรสก็ยังพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำต่อไป
            “สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย เหนื่อยงั้นเหรอ”
            แม้พวกเขาจะช่วยงานอยู่เคียงข้างเฟเรสมาตลอดตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังไม่เคยชินกับท่าทางที่คล้ายกับคนโง่งมเช่นนี้ได้เสียที
            เป็นด้านที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลยเมื่อนึกถึงจักรพรรดิในตอนที่อยู่อคาเดมี่ ไม่สิ ในตอนที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไม่อยู่ใกล้ๆ
            สามทหารเสือยิ้มออกมาอย่างขมขื่นแล้วเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างไกลๆ ราวกับนัดกันมา
***
            “เหนื่อยจัง”
            ข้าที่กำลังกินข้าวหลังจากจบการประชุมใหญ่และกลับมายังลอมบาร์เดียพึมพำขึ้นลอยๆ
            ทั้งที่งีบหลับในรถม้าระหว่างกลับมาจากพระราชวังแล้วแท้ๆ
            ระหว่างนั้นเอง ข้าก็ขยี้เปลือกตาที่หนักอึ้ง
            “หรือเพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ” ไม่รู้สึกอยากอาหารเลยด้วย
            ครืด ครืด
            เสียงเคลื่อนไหวของอุปกรณ์รับประทานอาหารที่ไม่ใช่ของข้าดังขึ้นเบาๆ
            เป็นเครนีย์ที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ด้วยกันตรงหน้า
            ท่าทางที่กำลังฝืนกินข้าวด้วยใบหน้าอิดโรยดูคล้ายกับข้าเป็นอย่างยิ่ง
            เป็นแบบนี้ต่อไปหัวหน้าพ่อครัวคงได้ร้องไห้แหงๆ?
            ข้ารู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้แล้วจึงทุบโต๊ะทางฝั่งเครนีย์ดังปึงปึงแล้วกล่าวขึ้น
            “เครนีย์ ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย แต่ข้าวก็ต้องกินให้มากหน่อยถึงจะมีแรงไม่ใช่เหรอ”
            “อ๊ะ! ขอโทษครับท่านพี่” เครนีย์หาวแต่ก็ยังตอบรับ
            “ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษข้า”
            พวกเราทั้งคู่ควรต้องขอโทษหัวหน้าพ่อครัวไหมนะ
            “ที่ผ่านมาท่านพี่จัดการเรื่องราวมากมายพวกนี้คนเดียวได้ยังไงกันครับ”
            เมื่อไม่นานมานี้ เครนีย์ได้เริ่มเรียนรู้เพื่อช่วยงานของเจ้าตระกูลแล้ว
            “พอทำไปเรื่อยๆ มันก็ชินขึ้นเอง เป็นเพราะตอนนี้เจ้ายังอยู่ในช่วงเรียนรู้ก็เลยอาจจะเกินกำลังไปบ้างน่ะ”
            “ทั้งที่อุตส่าห์คาดหวังและอดทนแท้ๆ…” เครนีย์ทำหน้ามุ่ยขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
            “มีปัญหาอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
“คือว่า…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เครนีย์ก็เปิดปากพูดอย่างอึกอัก “พอคิดว่าการตัดสินใจของข้าจะส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อพลเมืองของลอมบาร์เดีย ข้าก็นอนไม่หลับเลยครับ ข้าไม่รู้เลยว่ามันถูกต้องหรือเปล่าที่ข้าทำเรื่องที่สำคัญถึงเพียงนี้อยู่”
            ข้าเองเคยรู้สึกเช่นนี้ตอนที่กลายเป็นเจ้าตระกูลครั้งแรกเหมือนกัน
            ความรู้สึกกดดัน ราวกับมีความรับผิดชอบจำนวนมากกำลังกดอยู่บนบ่า
            ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่คนหนึ่ง ข้าคิดอย่างละเอียดว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี แล้วกล่าวขึ้น
            “ในเมื่อมันคืองานที่เกี่ยวกับพลเมืองของลอมบาร์เดีย ดังนั้นก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอที่คนที่รู้เกี่ยวกับลอมบาร์เดียอย่างดีจะเป็นคนทำ?”
            ข้าจ้องดวงตากลมโตของเครนีย์พลางกล่าวต่อ
            “อีกอย่างมันก็เป็นงานที่จำเป็นต้องมีใครสักคนทำนี่นา?”
            “งานที่จำเป็นต้องมีใครสักคนทำ…” เครนีย์พยักหน้า
            “ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่ใช่งานที่เจ้าทำคนเดียวด้วยไม่ใช่หรือ ข้าเองก็อยู่ ยังมีลูกจ้างของลอมบาร์เดียอยู่ด้วยนะ”
            ทันทีที่ปลอบประโลมเช่นนั้น สีหน้าของเครนีย์ก็ดีขึ้นเล็กน้อย
            “ครับ ท่านพี่”
            แต่ต่างจากเรื่องนั้น สภาพการกินของพวกเรากลับไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก
            เครนีย์เอ่ยถามข้าที่เอาแต่ใช้ส้อมจิ้มอาหารว่า
            “ท่านพี่ก็ไม่อยากอาหารเหมือนกันเหรอครับ”
            “อือ เหมือนจะใช่นะ วันนี้ข้าเหนื่อยเป็นพิเศษด้วย”
            ทันใดนั้น เครนีย์ก็ทอดสายตามองข้านิ่งๆ
            “ทำไมมองข้าอย่างนั้นล่ะ”
            “เปล่าครับ แค่รู้สึกว่าท่านพี่เองก็มีตอนที่รู้สึกเหนื่อยด้วยสินะน่ะครับ”
            “มันก็แน่อยู่แล้วสิ ข้าก็เป็นคนนะ”
            “แต่ว่าไม่รู้ทำไม…ท่านพี่ถึงได้ดูสมบูรณ์แบบอยู่เสมอเลย”
            “ถึงจะพูดแบบนั้น ข้าก็ไม่ให้หยุดงานหรอกนะ”
“อ๊ะ” เครนีย์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
            “ช่วงนี้ข้าก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เหมือนเขาจะเรียกกันว่าอาการขี้เกียจเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิน่ะครับ”
            “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยสินะ แต่ถึงยังไงพวกเราก็มากินกันอีกสักหน่อยเถอะ”
            ข้าชี้ไปที่จานของพวกเราที่ยังเหลืออาหารมากกว่าครึ่งพลางกล่าว
            “ถ้ายกจานกลับไปห้องครัวในสภาพนี้ละก็ หัวหน้าพ่อครัวจะต้องเสียใจแน่เลย เช่นนั้นแล้ว…จะเป็นยังไงก็คงรู้ใช่ไหม”
            “นะ นั่นสินะครับ” เครนีย์พลันตัวสั่นงก
            “ตอนเย็นคงได้มีมื้อใหญ่แหงเลย”
            นี่ถือเป็นศักดิ์ศรีของหัวหน้าพ่อครัว
            ถ้าหากว่าปฏิกิริยาของสมาชิกในครอบครัวของลอมบาร์เดียที่มีต่ออาหารที่ตนทำไม่เป็นไปตามที่คาดหวังละก็ มันจะกลายเป็นพลังมหาศาลให้เขาในอาหารมื้อถัดไป
            อาหารมื้อใหญ่ที่ยกขึ้นมาจนเต็มโต๊ะตัวใหญ่ดูน่ากลัวไปอีกแบบ
            “เรามาสู้กันเถอะ”
            “เข้าใจแล้วครับ ท่านพี่”
            พวกเราทำใจให้สงบลงพลางถือส้อมขึ้นมาอีกครั้ง
***
            กำหนดการสุดท้ายของวันนี้ คือการเตรียมงานแต่งงานกับแคทเธอรีนให้สำเร็จตามเป้า
            เป็นเพราะงานแต่งงานใกล้เข้ามาขึ้นทุกที ทำให้ที่ผ่านมาทั้งแคทเธอรีนและข้าต่างก็ต้องแบ่งเวลามาเพื่อเตรียมการ
            ชุดแต่งงานเหลือเพียงการปรับแก้เป็นครั้งสุดท้าย ส่วนวันนี้เป็นวันที่ต้องกำหนดตำแหน่งที่นั่งของแขกผู้มาร่วมงาน
            การจัดการที่นั่งอย่างเหมาะสมให้ขุนนางที่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกันเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าที่คิด
            “นี่คือผังที่นั่งซึ่งผ่านการปรับแก้จากเฟเรสมาแล้วรอบหนึ่งเหรอ”
            “ใช่ค่ะท่านเจ้าตระกูล”
            ข้ากางกระดาษที่มีชื่อของคนนับร้อยเขียนไว้จนแน่นขนัดออกกว้างบนโต๊ะในห้องทำงาน
            สมกับเป็นเฟเรส
            ดูเหมือนเขาเองก็ใส่ใจสิ่งต่างๆ ที่ข้ากังวลเช่นกัน ตำแหน่งที่นั่งจึงแทบจะสมบูรณ์แบบแล้ว
            แม้จะยังมีตำแหน่งที่ต้องแก้ไขอีกหลายที่ก็เถอะ
            “แคทเธอรีนคิดยังไง?”
            “ตามความเห็นของข้า…”
            ตลอดระยะเวลาสั้นๆ ที่แคทเธอรีนอธิบายให้ฟัง เปลือกตาของข้าก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
            ทั้งที่นางกำลังตั้งใจพูดอะไรบางอย่างอยู่แท้ๆ แต่เนื้อหากลับไม่ลอยเข้าหูเลยแม้แต่น้อย
            “ท่านเจ้าตระกูล?”
            “อ๊ะ ขอโทษที แคทเธอรีน ข้าเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
            “ถ้างั้นตรงส่วนนี้ให้ข้าไปปรึกษากับฝ่าบาทดีไหมคะ”
            “ไม่เป็นไร ถ้าได้ตากลมเย็นๆ สักครู่ก็คงดีขึ้นแล้วละ พักกันสักเดี๋ยวดีไหม?”
            ข้ากล่าวเช่นนั้น แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อออกไปที่ระเบียง
            ตอนนั้นเอง เบื้องหน้าพลันระยิบระยับพร้อมกับความรู้สึกเหมือนโลกหมุนโถมเข้าหา
            ข้าพยายามคว้าอะไรบางอย่างไว้ตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่สามารถต้านทานพละกำลังที่กำลังเหือดหายไปจากร่างได้
“ท่านเจ้าตระกูล!”
            คล้ายว่าจะได้ยินเสียงแคทเธอรีนเอ่ยเรียกข้าจากที่ไกลๆ
            และสติของข้าก็ดับวูบไปด้วยความคิดนั้นเป็นสิ่งสุดท้าย
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		