เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 26
SPIN-OFF บทที่ 26
“อืมม”
            ราวกับผุดจากใต้ผืนน้ำขึ้นสู่เหนือผิวน้ำ สติค่อยๆ คืนกลับมาทีละน้อย
            สิ่งแรกที่มองเห็นก็คือแคทเธอรีนที่มีสีหน้าซีดเผือด
            “ฟื้นแล้วเหรอคะ?”
            “เหมือนจะไม่เป็นไรนะ…”
            ข้านอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน แต่คุ้นๆ ว่าตอนที่หมดสติไปเหมือนจะสัมผัสกับพื้นนะ
            “เกิดอะไรขึ้นเหรอแคทเธอรีน?”
            “ท่านลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วจู่ๆ ก็ล้มลง…”
            “อ๋า ใช่แล้ว” ข้าจำเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปได้แล้ว
            จู่ๆ ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะและสูญเสียจุดศูนย์ถ่วง
“อ๊ะ” ข้อมือรู้สึกปวดตึงๆ เหมือนเพราะแรงกระชากที่เกิดจากการจับอะไรบางอย่างเอาไว้
            ดูเหมือนจะยังลุกขึ้นตอนนี้ไม่ไหวแฮะ
            “เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว?”
            “ปะ ประมาณสิบนาทีค่ะ ไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอคะ?”
            ข้าพยักหน้า
            แต่ดูจากที่มีอาการเวียนศีรษะอีกครั้งแม้จะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย แสดงว่าข้าอาการไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
            หลังจากหายใจเข้าไปอีกเฮือกหนึ่ง ข้าก็เอ่ยถามออกมา
            “แคทเธอรีน ย้ายข้ามาที่โซฟาคนเดียวเลยเหรอ?”
            “ค่ะ ใช่ค่ะ”
            “มีคนอื่นที่รู้เรื่องนี้อีกไหม?”
            “ไม่มีค่ะ ท่านเจ้าตระกูล”
            ข้าเหลือบมองไปรอบๆ ในขอบเขตที่ไม่ต้องขยับศีรษะให้ได้มากที่สุดเพื่อตรวจสอบ
            ประตูของห้องทำงานยังคงปิดแน่นสนิทเหมือนก่อนที่ข้าจะสลบไป
            “จัดการได้เหมาะสมเลย แคทเธอรีน”
            หมายความว่าไม่ได้แจ้งใครทั้งนั้น
            ข้ารู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับที่แหงนหน้ามองเพดานของห้องทำงาน
            ปัญหาสุขภาพของสมาชิกในตระกูลลอมบาร์เดียจะแพร่งพรายออกไปภายนอกไม่ได้
            ตอนที่ท่านพ่อหมดสติไปเพราะโรคเทรนบลู ท่านปู่ก็สั่งให้ปิดปากเงียบก่อนเป็นอันดับแรกทันที
                    แต่ละคนมีกิจการที่บริหารจัดการอยู่ หรือต่อให้ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะทุกคนในอาณาจักรต่างก็เงี่ยหูฟังและมีการตอบสนองที่ฉับไวต่อการก้าวเดินทั้งใหญ่และเล็กของลอมบาร์เดีย
            แล้วข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียล่ะจะรอดเหรอ
            ถ้าหากข่าวลือว่าข้าหมดสติแพร่งพรายออกไปละก็
            แค่คิดก็รู้สึกหวาดเสียวขึ้นมาแล้ว
            แม้แต่เฟเรสก็ตาม
            ชั่วขณะนั้น ความคิดว่า ‘ควรบอกเขาไหมนะ?’ ก็พลันแวบขึ้นมา
            แต่หากบอกไป ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องทิ้งงานสำคัญทั้งหมด แล้ววิ่งมาที่นี่แน่นอน
            “ก่อนอื่น เรื่องการกำหนดที่นั่งของแขกผู้มาร่วมงานให้เลื่อนไปทำพรุ่งนี้ดีกว่า แล้วก็”
            ข้าขบริมฝีปากล่างเบาๆ แล้วกล่าวกับแคทเธอรีนว่า
            “เรื่องของข้าให้บอกแค่เครย์ลีบัน สองแฝดแล้วก็เครนีย์ก็พอนะ”
            ถ้าลอมบาร์เดียสั่นคลอนขึ้นมา อาณาจักรก็จะสั่นคลอนไปด้วย
            ดังนั้นข้าจึงเลือกแต่คนที่สามารถเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ในจำนวนที่น้อยที่สุด
            “แล้วก็ช่วยบอกให้พ่อบ้านไปพาดอกเตอร์เอสทีร่ามาทีนะ”
            การก่อสร้างโรงพยาบาลลอมบาร์เดียจวนจะถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
            เป็นเพราะเรื่องนั้นก็เลยทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้าเอสทีร่าเลย
            เวลานี้นางน่าจะอยู่ที่ไซต์ก่อสร้าง เพราะงั้นคงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาถึงห้องทำงาน
            “อยู่คนเดียวจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะท่านเจ้าตระกูล”
            “ตอนนี้ข้านอนอยู่ ดีขึ้นมากแล้วละ รีบไปเถอะแคทเธอรีน”
            “เข้าใจแล้วค่ะ” หลังจากพยักหน้าลงด้วยสีหน้าที่ยังคงเป็นกังวล แคทเธอรีนก็ก้าวออกจากห้องไปด้วยฝีเท้าว่องไว
            พอเหลือตัวคนเดียวในห้องทำงาน ข้าก็ถอนหายใจออกมายาวๆ อีกครั้ง
            ต้นไม้โลกที่สลักอยู่บนเพดานของห้องทำงาน ในวันนี้ดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
            ข้ายกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาปิดตาทั้งสองข้าง
            “ช่วงนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติอยู่หรอก”
            รู้สึกอ่อนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เวียนศีรษะบ่อยขึ้น
            แล้วยังรู้สึกไม่อยากอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
            เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่ร่างกายจะทนไม่ไหวอีกต่อไป
            “ถึงจะไม่ใช่โรคร้ายแรงเพราะยังอายุน้อยอยู่ก็เถอะ”
            แต่ถึงอย่างนั้น หากมันเป็นโรคที่จำเป็นต้องพักฟื้นในทันทีหรือจำเป็นต้องรักษาในระยะยาวขึ้นมา ข้าคงรู้สึกปวดหัว
            “เฟเรสก็น่าจะเป็นกังวลมากด้วย”
            ข้าไม่อยากเห็นสีหน้ามืดมนของเขาเลยจริงๆ
            เมื่อข้าหลับตาลงในระหว่างที่ความคิดมากมายกำลังทำให้ภายในสมองสับสนยุ่งเหยิง  ความเหน็ดเหนื่อยก็พลันถาโถมเข้ามาอีกครั้ง
            โดยที่ไม่มีช่วงเวลาให้ครุ่นคิดว่าพักสายตาสักครู่จนกว่าเอสทีร่าจะมาดีหรือไม่ ข้าก็จมเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้ง
***
            ณ ห้องประชุมใหญ่ที่ปกติใช้เป็นที่จัดการประชุมของฟีเรนเทียและลูกจ้างของลอมบาร์เดีย
            ที่นั่นมีคนห้าคนมารวมตัวกันและนั่งอยู่
“ว่าไงนะครับ”
            “ท่านเจ้าตระกูลเป็นลมอย่างนั้นเหรอ…หมายความว่ายังไงกันครับ”
            คิลลีวูเด้งตัวขึ้นพรวด เครย์ลีบันถามกลับด้วยใบหน้าที่แข็งกระด้าง
            เมโลนมีสีหน้าบิดเบี้ยวราวกับจะถีบเก้าอี้และออกไปได้ทุกเมื่อ
            “ตอนนี้ได้สติกลับมาแล้ว และกำลังพักผ่อนอยู่ค่ะ”
            “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถึงกับเป็นลมไปเลยนะ” เมโลนใช้สองมือลูบหน้าอย่างกระวนกระวายใจ
            แคทเธอรีนมองคนทั้งสี่ที่แตกตื่นพลางอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นอย่างที่สุด
            “…ดังนั้นข้าจึงมาแจ้งอาการของท่านเจ้าตระกูลให้ทุกท่านได้ทราบค่ะ”
            บรรยากาศอันหมองหม่นกดทับลงมาในห้องประชุมจนหนักอึ้ง
            “อาจจะเป็นเพราะข้าก็ได้ครับ” เครนีย์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เป็นเพราะข้าไม่อาจเรียนรู้งานได้โดยไว…”
            เขาย้อนนึกถึงงานที่ตนทำผิดพลาดไปเมื่อไม่นานมานี้
            เป็นเพราะเรื่องนั้น ฟีเรนเทียก็เลยต้องจัดการตารางงานที่ยุ่งยิ่งกว่าเดิมตลอดหลายวันเพื่อเก็บกวาดมัน
            “แล้วหมอมาหรือยังครับ” เครย์ลีบันเอ่ยถาม
            ทันใดนั้น แคทเธอรีนก็ส่ายหัวไปมาราวกับว่าตนก็อึดอัดใจในเรื่องนั้นเช่นกัน
            “ท่านเจ้าตระกูลสั่งให้ไปพาดอกเตอร์เอสทีร่ามาแล้วค่ะ ข้าส่งคนไปทันที แต่การจะมาจากไซต์ก่อสร้างโรงพยาบาลต้องใช้เวลาสักพักเลยค่ะ”
            “งั้นก็ควรพาหมอคนอื่นมาก่อนไม่ดีกว่าเหรอครับ” เครนีย์กล่าว
            ทันใดนั้น เครย์ลีบันก็ตอบแทนแคทเธอรีนอย่างเฉียบขาด
            “ไม่ได้ครับ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ใครก็ได้มาตรวจร่างกายของท่านเจ้าตระกูลครับ ยิ่งไปกว่านั้นหากพลั้งพลาดทำให้อาการของท่านเจ้าตระกูลเผยแพร่ไปภายนอกขึ้นมาละก็…”
            “บางทีเทียเองก็คงกังวลในจุดนั้น ก็เลยบอกให้ไปพาดอกเตอร์เอสทีร่ามานั่นแหละ”
            คิลลีวูเองก็เห็นด้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกับเมโลน
            “คงต้องไปบอกให้หัวหน้ายกระดับการเฝ้ายามของคฤหาสน์แล้ว”
            “เพราะที่เทียป่วย อาจจะไม่ใช่เพราะโรคภัยก็ได้นะ”
            คำพูดสุดท้ายที่กล่าวออกมา ทำให้ใบหน้าของทุกคนพลันเย็นยะเยือกขึ้น
แม้จะเป็นเพียงการสันนิษฐาน แต่หากมีใครบางคนวางยาพิษเจ้าตระกูลของลอมบาร์เดียละก็
            “งั้นข้าจะไปเฝ้าหน้าห้องทำงานแล้วกัน”
            เมโลนกล่าวกับคิลลีวู ท่าทางที่ชอบเล่นสนุกในยามปกติหายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
            สองแฝดจ้องหน้ากันด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งรอยยิ้มใด
            เครย์ลีบันเองก็ไม่อาจเก็บซ่อนความกลัดกลุ้มใจได้และลุกขึ้นจากที่นั่ง
            “เอาเป็นว่า จนกว่าที่จะมีคำสั่งเพิ่มเติมจากท่านเจ้าตระกูล แต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตนเองให้เต็มที่กันเถอะครับ”
            ทุกคนที่มารวมตัวกันในห้องประชุมผงกศีรษะลงด้วยสีหน้าอันหนักอึ้ง
***
          ก๊อกก๊อก
            เสียงเคาะประตูดังก้องไปทั่วห้องทำงาน
            “เข้ามาได้”
            ได้ยินคำตอบของข้า เอสทีร่าที่หายใจหอบเบาๆ ก็เปิดประตูทันที
            แม้จะไม่สามารถวิ่งมาได้เพราะต้องระวังสายตาของคนอื่น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะรีบเดินมาอย่างเร็วที่สุด
            “ท่านเจ้าตระกูล เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
            “ไม่มีอะไร ก็แค่รู้สึกเวียนหัวเลยสลบไปครู่เดียวเท่านั้น”
            สีหน้าของเอสทีร่ายิ่งซีดเผือดมากขึ้นหลังได้ยินคำพูดของข้า
            “หมายความว่าหมดสติไปอย่างนั้นเหรอคะ?”
            “อือ ถึงจะแค่แป๊บเดียวก็เถอะ”
            “ตอนตรวจสุขภาพคราวก่อนก็ไม่พบสัญญาณเตือนอะไรเลยนะคะ ทำไมถึงได้…”
            หางเสียงของเอสทีร่าสั่นเทาอย่างไม่สบายใจ
            เห็นได้ชัดว่ากำลังนึกถึงชื่อของโรคต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยจนถึงขั้นหมดสติไปในเวลาอันสั้นได้อยู่ในสมอง
            แต่นั่นก็เพียงครู่เดียว เอสทีร่ากลับมาเยือกเย็นในไม่ช้าและกล่าวขึ้น
            “เอาเป็นว่าจะเริ่มการตรวจร่างกายก่อนนะคะ ท่านเจ้าตระกูล”
            ขั้นตอนการตรวจเป็นไปอย่างยาวนานและรอบคอบ
            เพราะเอสทีร่าไม่ได้เรียกใช้ลูกศิษย์ของนาง แต่เดินไปกลับห้องวิจัยในคฤหาสน์ด้วยตนเอง และใช้อุปกรณ์ตรวจทุกชนิดในการตรวจสอบสภาพร่างกายของข้า
            ถึงแม้ว่าภายนอก ข้าจะต้องแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านทุกครั้งที่อุปกรณ์เพิ่มขึ้นทีละอย่างก็ตาม
            ในแต่ละครั้งที่เอสทีร่านิ่วหน้าเพราะติดเป็นนิสัย ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ข้าจะเริ่มไม่สบายใจขึ้นทีละน้อย
            หรือว่าเป็นโรคร้ายแรง
            แต่ว่าข้ายังเด็กเกินไปนะ
            แต่ก็นะ ตอนที่ท่านพ่อป่วยเป็นโรคเทรนบลูก็ยังอายุน้อยเหมือนกัน
            ขณะที่ข้ากำลังแหงนหน้ามองต้นไม้โลกบนเพดานอยู่อย่างนั้น เอสทีร่าก็เก็บอุปกรณ์การตรวจทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย
            จากนั้นก็เปิดปากที่ปิดแน่นมาตลอดขึ้น
            “ท่านเจ้าตระกูล ไม่ทราบว่าระยะนี้รู้สึกเหนื่อยมากขึ้นบ่อยๆ หรือเปล่าคะ”
            รู้ได้ยังไงกัน
            “ใช่แล้ว ไม่ใช่ว่านอนไม่พอด้วย แต่ง่วงตลอดเลย”
            “ความอยากอาหารเป็นเช่นไรคะ”
            ข้าเบิกตาโตเพราะคำถามของเอสทีร่าที่ราวกับคาดเดาอาการที่เป็นมาตลอดได้อย่างแม่นยำ
            “อืมม ไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไร ดูจากที่เสื้อผ้าหลวมขึ้นนิดหน่อย เหมือนจะน้ำหนักลดด้วยละ”
            ได้ยินคำตอบของข้า เอสทีร่าก็มองบันทึกการรักษาที่ถืออยู่ในมือแล้วพยักหน้า
“หรือว่า” ข้ากลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง แล้วเอ่ยถาม
            “หรือว่าเป็นโรคร้ายแรง”
            ถ้าเอสทีร่าตอบว่าใช่ขึ้นมาจะทำยังไงดี
            ลอมบาร์เดียล่ะ แล้วเฟเรสล่ะ
            ในชั่วขณะสั้นๆ ความคิดทุกรูปแบบก็พลันผุดขึ้นมา
            “ไม่ใช่โรคค่ะ”
            “เฮ้อ” ราวกับเชือกที่กำลังจับหลุดมือไปทันที ข้าถอนหายใจออกมาสั้นๆ
            ค่อยยังชั่ว
            ไม่ใช่โรคอย่างนั้นเหรอ
            “เดี๋ยวนะ ไม่ใช่โรคเหรอ”
            “ค่ะ ไม่ใช่ค่ะ แต่ว่าในอนาคตร่างกายจะต้องรับภาระหนักไปอีกประมาณแปดเดือนเลยค่ะ”
            ข้าคิดไปเองหรือเปล่านะว่าที่มุมปากของเอสทีร่าเหมือนจะมีรอยยิ้มจางๆ แวบผ่านไป
            “หลังจากนั้นจำเป็นต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งปีค่ะ ท่านเจ้าตระกูล”
            ข้าเริ่มไม่เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ
            ไหนว่าไม่ได้ป่วยไง?
            “นั่นหมายความว่ายังไงน่ะ เอสทีร่า?”
            “ตั้งครรภ์แล้วค่ะ ยินดีด้วยนะคะ ท่านฟีเรนเทีย”
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		